***สามารถข้ามช่วงเวิ่นเว้อไปที่สรุปสาระ 3 ย่อหน้าสุดท้ายได้ครับ
ต้องเล่าย้อนว่าก่อนที่จะมาแชร์ห้องกับรูมเมทคนนี้
ผมอยู่บ้านอื่นกับเพื่อนมาก่อนครับ จนเมื่อห้าเดือน
ก่อนเพื่อนผมย้ายไปเรียนรัฐอื่นประจวบเหมาะกับที่
ผมโดนไล่ออกจากบ้านเก่าพอดี ทุกอย่างมันกระทัน
หัน หาบ้านที่ไหนได้ก็ต้องอยู่ไปก่อน ซึ่งรูมเมท
ล่าสุดคนนี้เค้าเพิ่งมาจากไทยแล้วกำลังหาคนแชร์
ห้องพอดี ผมก็ตอบตกลง
มาถึงความทรมานของผมที่มันก่อตัวอย่างช้าๆ
หลังจากช่วงหนึ่งเดือนแรกที่ร่วมห้องกัน เดือนแรก
ยังไม่ค่อยประจักษ์ในปัญหาเท่าไร เพราะโรงเรียน
ผมปิดอยู่ ผมก็จะออกไปเที่ยวแทบทุกคืน กว่าจะ
กลับก็เช้าๆสายๆ ก็คือเวลานอนจะไม่ค่อยตรงกัน
แหละครับ แต่หายนะก็เริ่มขึ้นเมื่อผมต้องไปเรียน
และทำงานเยอะขึ้น
ขออธิบายสมรรถนะการกรนของรูมเมทคนนี้ เริ่ม
จากด้านเสียงก่อน ทุกคนคงเคยได้ยินเสียงกรน
ปกติทั่วไป นั่นคือเสียงพื้นฐานครับ แต่รูมเมทผมจะ
มีเสียงสอดแทรกอื่นๆอีกหลายเสียง บางทีเป็นเสียง
เหมือนสูบยางรถ บางทีเป็นเสียงเหมือนแมวขู่
บางทีก็เป็นเสียงคล้ายๆกลั้วคอ สลับกันไป คือ
เรียกได้ว่ารวมทุกเสียงที่น่ารำคาญไว้ในลูป
เดียวกัน ส่วนต่อมาคือกลิ่นครับ กลิ่นนี่ให้ทุกคน
นึกถึงสมัยประถมที่เวลาเราอมปากกาเล่นแล้วทิ้งไว้
จนน้ำลายมันแห้ง แต่ระดับความรุนแรงของมัน
เหมือนการเอาด้ามปากกานั้นมาจ่อไว้ประชิดรูจมูก
เราทั้งสองข้างตลอดเวลา ไม่ว่าสบัดหน้าหนีหรือ
เดินออกห่าง มันก็จะยังตราตรึงอยู่ที่ปลายจมูกเรา
(พูดแล้วได้กลิ่นขึ้นมาเลย) แล้วกลิ่นนี้ไม่ใช่จะเกิด
ตอนกรนอย่างเดียวนะครับ ในชีวิตประจำวันคน
รอบข้างที่เคยสัมผัสก็มาพูดๆให้ผมฟังเหมือนกัน
หลายๆครั้งก็มีแผลงฤทธิ์หนัก โดยเฉพาะช่วงวัน
เสาร์-อาทิตย์ที่รูมเมทผมอยู่บ้านเพราะไม่ต้องไป
เรียน ก็เลยไม่ต้องอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟัน แต่ผม
ต้องออกไปทำงาน พอกลับห้องมา แค่เปิดประตู
เข้าไปเท่านั้นแหละครับ อื้อฮือ มันตลบอบอวลไป
ทั่วทุกอณูห้องจริงๆ ไม่จำเป็นต้องเปิดปากพูดนะ
ครับ เพราะมันฝังอยู่ในโปรตรอน นิวตรอนและอี
เล็คตรอนของอากาศไปหมดแล้ว... ที่พูดทั้งหมด
เหมือนจะเป็นเรื่องตลกนะครับ แต่เคยได้ยินไหม
ครับว่า 'กลิ่นปากไม่ใช่เรื่องตลก' ทั้งหมดนี่ไม่ได้
กล่าวเกินจริงเลยครับ
มาถึงวิธีการรับมือของผมกันบ้าง ช่วงแรกๆ ผม
อาศัยกินยาที่ช่วยให้หลับแล้วก็ใส่หูฟังเปิดเสียงฝน
เสียงไวท์นอยซ์ หรือเพลงไปด้วย มันก็ช่วยได้ใน
ระดับนึงครับ แต่ปัญหาคือผมเป็นคนกินยาเยอะ
มาก แล้วเหมือนว่าไตจะมีปัญหาหรืออย่างไรก็ไม่
แน่ใจ บางทีเวลากินยาอะไรพวกนี้จะทำให้ปวดฉี่
บ่อย กลายเป็นว่าไม่ได้นอนอีก แล้วยานี้มันควรมี
เวลานอนอย่างน้อย 8-10 ชั่วโมง (สำหรับผมนะ)
ไม่อย่างนั้นมันจะตื่นยากมากถึงมากที่สุด ซึ่งแต่ละ
คืนผมไม่มีเวลานอนมากขนาดนั้น ก็เลยลองวิธีที่
สอง คือฟองน้ำอุดหู เทสท์ไดรฟ์คืนแรกคือเฟลทันที
ฟองน้ำนุ่มๆจากซีวีเอสไม่สามารถต้านทานได้ เลย
กูเกิ้ลหาที่อุดหูแบบทรงประสิทธิภาพ ก็ไปเจอแบบ
ที่เป็นคล้ายๆดินน้ำมัน ที่เรายัดเข้าไปแล้วมันก็จะ
อุดไปตามลักษณะช่องรูหูเราได้สนิท ซึ่งอันนี้ใช้ได้
ผลครับ (เยสสสสสสสส!!!!) แต่! ก็นั่นหละ กันเสียง
รบกวนได้ดีเกิน พาลมาจนบางทีก็ไม่ได้ยินเสียง
นาฬิกาปลุก (คือถ้าเราตื่นอยู่ก็จะได้ยินแหละครับ
แต่ตอนเราหลับอยู่บางทีมันก็จะไม่รู้ตัว) แต่ถือว่าวิธี
นี้เวิร์คสุด เลยปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่อง 2-3 เดือน
จนมาถึงช่วงหน้าหนาวครับ วิธีนี้ก็ไม่ผ่าน เพราะ
ช่วงที่ผ่านมา อากาศหนาวมาก ติดลบ 22 องศา
เซลเซียส ช็อค! งานไข้ก็มาซิครับ คือมันหนาวจน
เจ็บหูครับ แล้วมันใส่ที่อุดหูไม่ได้ พอใส่ตอนนอน
แล้วมันจะปวดๆและอึดอัดมาก ช่วงนั้น(ก็คือช่วงนี้
ด้วย)คือเรียนด้วยทำงานด้วย ตั้งแต่เช้ายันเที่ยงคืน
กว่า 5-6 วันต่อสัปดาห์ หมดปัญญาและความ
อดทนมาถึงขีดสุด คืนนั้น ผมนี่หอบผ้าห่มหมอนมุ้ง
มานอนโซฟาห้องรับแขกเลยครับ แล้วสุดท้ายก็พบ
ว่าวิธีนี้ดีที่สุด ผมก็จะออกมานอน 3-4 คืนต่อ
สัปดาห์ครับ... ส่วนเรื่องของกลิ่น (ซึ่งจะมีแค่สัปดาห์
ละประมาณ 2-3 ครั้งครับ) เริ่มแรกผมใช้วิธี
'ฝนเทียมเกลดทัชแอนด์เฟรช' คือพ่นมันเข้าไป พ่น
สู้ (นึกภาพการปะทะระหว่างสายพลังงานจากไม้
กายสิทธิ์ของลอร์ดโวเดอมอรท์กับแฮร์รี่ครับ) ซึ่งวิธี
นี้ล้มเหลวมากครับ เพราะต้นกำเนิดกลิ่นจะยังคง
ปล่อยกลิ่นอยู่ตลอดเวลา และความแตกต่างของ
กลิ่นหอมกับกลิ่นเหม็นมันแยกได้ชัดเจนเกินไป ยิ่ง
หอมมากเท่าไร ก็ยิ่งรับรู้ว่าเหม็นมากเท่านั้น แล้ว
สุดท้ายผมก็เจอทางออกที่ดูจะรันทดนิดๆ เมื่อผม
เอายำหอยดองมากินในห้องนอน แล้วพบว่ากลิ่น
มันสู้ได้จริงๆ คือถามว่าหอยดองเหม็นไม๊ก็เหม็น
แต่อย่างน้อยมันคือกลิ่นของอาหารไงครับ สมอง
มนุษย์เรา (หรือผมคนเดียวก็ไม่รู้) ก็จะตีความไปว่า
มันไม่น่ารังเกียจ ปลอดภัย และเป็นมิตร จากนั้นผม
ก็จะมีแคทตาล็อคกลิ่นเอาไว้สู้ บางคืนก็ปลาหมึก
ตากแห้ง บางคืนก็ทุเรียนกวน หมุนเวียนกันไป
ตอนสองคืนแรกผ่านไป รูมเมทผมเพิ่งรู้ครับว่าผม
ออกมานอนข้างนอก (เพราะปกติผมจะต้องนอนที่
หลังและตื่นก่อนมัน) มันถามผมว่าทำไม ผมก็ตอบ
ไปว่าเพราะมันกรน (แต่ไม่เคยพูดถึงเรื่องกลิ่นนะ
ครับ กลัวมันทำตัวไม่ถูก ฮ่าาาา) มันก็บอกผมว่า
ทำไมไม่ปลุกมัน ผมก็เงียบครับ เพราะจากที่ผม
ศึกษาอาการ (ขอใช้คำว่าศึกษา) ลักษณะการกรน
ของรูมเมทผม มันไม่ได้เกินจากการที่อ้วนไป หรือ
นอนผิดท่า หรือว่าเหนื่อยมากเกินไปครับ พวกนี้ผม
เคยเจอมาหมดแล้ว แต่ปัญหาของรูมเมทผมน่าจะ
เป็นที่สรีระทางช่องปากของมันเลยครับ คือพอมัน
นอนปุ๊ป ในจังหวะที่มันผลอยหลับแล้วกล้ามเนื้อ
คลายตัว มันจะเริ่มกรนทันทีเลยครับ (ก็ไม่ใช่ทุก
ครั้ง แต่ประมาณ 80-90% ครับ) ไม่ใช่เพราะว่า
นอนผิดท่า เพราะต่อให้มันจะนอนท่าไหน มันก็กรน
ได้ แล้วก็ไม่ใช่เพราะว่าเหนื่อย เพราะบางทีตอน
กลางวันมันนอนดูทีวีแล้วมันเผลอหลับ มันก็กรน
ทันทีเลยครับ
เอาละ สิ่งที่ผมจะถามไม่ใช่ทางออกของปัญหา
หรอกครับ เพราะปลายกุมภานี้มันก็จะกลับไทยแล้ว
(มันมาเรียนคอร์ส 6 เดือน) ผมก็แค่ทนๆไปอีก
หน่อย แต่ผมอยากถามความเห็นว่า
"ผมควรจะบอกมันดีไหมว่ากลับไทยแล้วให้ไป
ปรึกษาแพทย์ คือทั้งเรื่องเสียงเรื่องกลิ่น มันต้องมี
อะไรผิดปกติอ่ะครับ"
ต้องปรึกษาแพทย์จริงๆ บางครั้งมันก็เหมือนจะรู้ตัว
แต่คงไม่คิดว่ามันหนักหนาอะไรเพราะไม่เคยมีใคร
บอกมันจริงๆจังๆหรือเปล่าก็ไม่ทราบ... ส่วนตัวผม
ไม่กล้าบอกหรอกครับ แต่สงสาร(ใช้คำนี้จะถูก
ไม๊เนี่ย?) เพราะมันเพิ่งเรียนจบ กลับไปก็เป็นช่วงหา
งาน กลัวจะกลายเป็นปัญหา ไหนจะเรื่องแฟนอีก
ถ้าได้กันคืนแรกแล้วเจอแบบนี้ ผู้หญิงก็อาจวิ่งได้นะ
ฮ่าาาาา
รูมเมทกรนและกลิ่นปากแรงมาก ควรบอกดีไหม?
ต้องเล่าย้อนว่าก่อนที่จะมาแชร์ห้องกับรูมเมทคนนี้
ผมอยู่บ้านอื่นกับเพื่อนมาก่อนครับ จนเมื่อห้าเดือน
ก่อนเพื่อนผมย้ายไปเรียนรัฐอื่นประจวบเหมาะกับที่
ผมโดนไล่ออกจากบ้านเก่าพอดี ทุกอย่างมันกระทัน
หัน หาบ้านที่ไหนได้ก็ต้องอยู่ไปก่อน ซึ่งรูมเมท
ล่าสุดคนนี้เค้าเพิ่งมาจากไทยแล้วกำลังหาคนแชร์
ห้องพอดี ผมก็ตอบตกลง
มาถึงความทรมานของผมที่มันก่อตัวอย่างช้าๆ
หลังจากช่วงหนึ่งเดือนแรกที่ร่วมห้องกัน เดือนแรก
ยังไม่ค่อยประจักษ์ในปัญหาเท่าไร เพราะโรงเรียน
ผมปิดอยู่ ผมก็จะออกไปเที่ยวแทบทุกคืน กว่าจะ
กลับก็เช้าๆสายๆ ก็คือเวลานอนจะไม่ค่อยตรงกัน
แหละครับ แต่หายนะก็เริ่มขึ้นเมื่อผมต้องไปเรียน
และทำงานเยอะขึ้น
ขออธิบายสมรรถนะการกรนของรูมเมทคนนี้ เริ่ม
จากด้านเสียงก่อน ทุกคนคงเคยได้ยินเสียงกรน
ปกติทั่วไป นั่นคือเสียงพื้นฐานครับ แต่รูมเมทผมจะ
มีเสียงสอดแทรกอื่นๆอีกหลายเสียง บางทีเป็นเสียง
เหมือนสูบยางรถ บางทีเป็นเสียงเหมือนแมวขู่
บางทีก็เป็นเสียงคล้ายๆกลั้วคอ สลับกันไป คือ
เรียกได้ว่ารวมทุกเสียงที่น่ารำคาญไว้ในลูป
เดียวกัน ส่วนต่อมาคือกลิ่นครับ กลิ่นนี่ให้ทุกคน
นึกถึงสมัยประถมที่เวลาเราอมปากกาเล่นแล้วทิ้งไว้
จนน้ำลายมันแห้ง แต่ระดับความรุนแรงของมัน
เหมือนการเอาด้ามปากกานั้นมาจ่อไว้ประชิดรูจมูก
เราทั้งสองข้างตลอดเวลา ไม่ว่าสบัดหน้าหนีหรือ
เดินออกห่าง มันก็จะยังตราตรึงอยู่ที่ปลายจมูกเรา
(พูดแล้วได้กลิ่นขึ้นมาเลย) แล้วกลิ่นนี้ไม่ใช่จะเกิด
ตอนกรนอย่างเดียวนะครับ ในชีวิตประจำวันคน
รอบข้างที่เคยสัมผัสก็มาพูดๆให้ผมฟังเหมือนกัน
หลายๆครั้งก็มีแผลงฤทธิ์หนัก โดยเฉพาะช่วงวัน
เสาร์-อาทิตย์ที่รูมเมทผมอยู่บ้านเพราะไม่ต้องไป
เรียน ก็เลยไม่ต้องอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟัน แต่ผม
ต้องออกไปทำงาน พอกลับห้องมา แค่เปิดประตู
เข้าไปเท่านั้นแหละครับ อื้อฮือ มันตลบอบอวลไป
ทั่วทุกอณูห้องจริงๆ ไม่จำเป็นต้องเปิดปากพูดนะ
ครับ เพราะมันฝังอยู่ในโปรตรอน นิวตรอนและอี
เล็คตรอนของอากาศไปหมดแล้ว... ที่พูดทั้งหมด
เหมือนจะเป็นเรื่องตลกนะครับ แต่เคยได้ยินไหม
ครับว่า 'กลิ่นปากไม่ใช่เรื่องตลก' ทั้งหมดนี่ไม่ได้
กล่าวเกินจริงเลยครับ
มาถึงวิธีการรับมือของผมกันบ้าง ช่วงแรกๆ ผม
อาศัยกินยาที่ช่วยให้หลับแล้วก็ใส่หูฟังเปิดเสียงฝน
เสียงไวท์นอยซ์ หรือเพลงไปด้วย มันก็ช่วยได้ใน
ระดับนึงครับ แต่ปัญหาคือผมเป็นคนกินยาเยอะ
มาก แล้วเหมือนว่าไตจะมีปัญหาหรืออย่างไรก็ไม่
แน่ใจ บางทีเวลากินยาอะไรพวกนี้จะทำให้ปวดฉี่
บ่อย กลายเป็นว่าไม่ได้นอนอีก แล้วยานี้มันควรมี
เวลานอนอย่างน้อย 8-10 ชั่วโมง (สำหรับผมนะ)
ไม่อย่างนั้นมันจะตื่นยากมากถึงมากที่สุด ซึ่งแต่ละ
คืนผมไม่มีเวลานอนมากขนาดนั้น ก็เลยลองวิธีที่
สอง คือฟองน้ำอุดหู เทสท์ไดรฟ์คืนแรกคือเฟลทันที
ฟองน้ำนุ่มๆจากซีวีเอสไม่สามารถต้านทานได้ เลย
กูเกิ้ลหาที่อุดหูแบบทรงประสิทธิภาพ ก็ไปเจอแบบ
ที่เป็นคล้ายๆดินน้ำมัน ที่เรายัดเข้าไปแล้วมันก็จะ
อุดไปตามลักษณะช่องรูหูเราได้สนิท ซึ่งอันนี้ใช้ได้
ผลครับ (เยสสสสสสสส!!!!) แต่! ก็นั่นหละ กันเสียง
รบกวนได้ดีเกิน พาลมาจนบางทีก็ไม่ได้ยินเสียง
นาฬิกาปลุก (คือถ้าเราตื่นอยู่ก็จะได้ยินแหละครับ
แต่ตอนเราหลับอยู่บางทีมันก็จะไม่รู้ตัว) แต่ถือว่าวิธี
นี้เวิร์คสุด เลยปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่อง 2-3 เดือน
จนมาถึงช่วงหน้าหนาวครับ วิธีนี้ก็ไม่ผ่าน เพราะ
ช่วงที่ผ่านมา อากาศหนาวมาก ติดลบ 22 องศา
เซลเซียส ช็อค! งานไข้ก็มาซิครับ คือมันหนาวจน
เจ็บหูครับ แล้วมันใส่ที่อุดหูไม่ได้ พอใส่ตอนนอน
แล้วมันจะปวดๆและอึดอัดมาก ช่วงนั้น(ก็คือช่วงนี้
ด้วย)คือเรียนด้วยทำงานด้วย ตั้งแต่เช้ายันเที่ยงคืน
กว่า 5-6 วันต่อสัปดาห์ หมดปัญญาและความ
อดทนมาถึงขีดสุด คืนนั้น ผมนี่หอบผ้าห่มหมอนมุ้ง
มานอนโซฟาห้องรับแขกเลยครับ แล้วสุดท้ายก็พบ
ว่าวิธีนี้ดีที่สุด ผมก็จะออกมานอน 3-4 คืนต่อ
สัปดาห์ครับ... ส่วนเรื่องของกลิ่น (ซึ่งจะมีแค่สัปดาห์
ละประมาณ 2-3 ครั้งครับ) เริ่มแรกผมใช้วิธี
'ฝนเทียมเกลดทัชแอนด์เฟรช' คือพ่นมันเข้าไป พ่น
สู้ (นึกภาพการปะทะระหว่างสายพลังงานจากไม้
กายสิทธิ์ของลอร์ดโวเดอมอรท์กับแฮร์รี่ครับ) ซึ่งวิธี
นี้ล้มเหลวมากครับ เพราะต้นกำเนิดกลิ่นจะยังคง
ปล่อยกลิ่นอยู่ตลอดเวลา และความแตกต่างของ
กลิ่นหอมกับกลิ่นเหม็นมันแยกได้ชัดเจนเกินไป ยิ่ง
หอมมากเท่าไร ก็ยิ่งรับรู้ว่าเหม็นมากเท่านั้น แล้ว
สุดท้ายผมก็เจอทางออกที่ดูจะรันทดนิดๆ เมื่อผม
เอายำหอยดองมากินในห้องนอน แล้วพบว่ากลิ่น
มันสู้ได้จริงๆ คือถามว่าหอยดองเหม็นไม๊ก็เหม็น
แต่อย่างน้อยมันคือกลิ่นของอาหารไงครับ สมอง
มนุษย์เรา (หรือผมคนเดียวก็ไม่รู้) ก็จะตีความไปว่า
มันไม่น่ารังเกียจ ปลอดภัย และเป็นมิตร จากนั้นผม
ก็จะมีแคทตาล็อคกลิ่นเอาไว้สู้ บางคืนก็ปลาหมึก
ตากแห้ง บางคืนก็ทุเรียนกวน หมุนเวียนกันไป
ตอนสองคืนแรกผ่านไป รูมเมทผมเพิ่งรู้ครับว่าผม
ออกมานอนข้างนอก (เพราะปกติผมจะต้องนอนที่
หลังและตื่นก่อนมัน) มันถามผมว่าทำไม ผมก็ตอบ
ไปว่าเพราะมันกรน (แต่ไม่เคยพูดถึงเรื่องกลิ่นนะ
ครับ กลัวมันทำตัวไม่ถูก ฮ่าาาา) มันก็บอกผมว่า
ทำไมไม่ปลุกมัน ผมก็เงียบครับ เพราะจากที่ผม
ศึกษาอาการ (ขอใช้คำว่าศึกษา) ลักษณะการกรน
ของรูมเมทผม มันไม่ได้เกินจากการที่อ้วนไป หรือ
นอนผิดท่า หรือว่าเหนื่อยมากเกินไปครับ พวกนี้ผม
เคยเจอมาหมดแล้ว แต่ปัญหาของรูมเมทผมน่าจะ
เป็นที่สรีระทางช่องปากของมันเลยครับ คือพอมัน
นอนปุ๊ป ในจังหวะที่มันผลอยหลับแล้วกล้ามเนื้อ
คลายตัว มันจะเริ่มกรนทันทีเลยครับ (ก็ไม่ใช่ทุก
ครั้ง แต่ประมาณ 80-90% ครับ) ไม่ใช่เพราะว่า
นอนผิดท่า เพราะต่อให้มันจะนอนท่าไหน มันก็กรน
ได้ แล้วก็ไม่ใช่เพราะว่าเหนื่อย เพราะบางทีตอน
กลางวันมันนอนดูทีวีแล้วมันเผลอหลับ มันก็กรน
ทันทีเลยครับ
เอาละ สิ่งที่ผมจะถามไม่ใช่ทางออกของปัญหา
หรอกครับ เพราะปลายกุมภานี้มันก็จะกลับไทยแล้ว
(มันมาเรียนคอร์ส 6 เดือน) ผมก็แค่ทนๆไปอีก
หน่อย แต่ผมอยากถามความเห็นว่า
"ผมควรจะบอกมันดีไหมว่ากลับไทยแล้วให้ไป
ปรึกษาแพทย์ คือทั้งเรื่องเสียงเรื่องกลิ่น มันต้องมี
อะไรผิดปกติอ่ะครับ"
ต้องปรึกษาแพทย์จริงๆ บางครั้งมันก็เหมือนจะรู้ตัว
แต่คงไม่คิดว่ามันหนักหนาอะไรเพราะไม่เคยมีใคร
บอกมันจริงๆจังๆหรือเปล่าก็ไม่ทราบ... ส่วนตัวผม
ไม่กล้าบอกหรอกครับ แต่สงสาร(ใช้คำนี้จะถูก
ไม๊เนี่ย?) เพราะมันเพิ่งเรียนจบ กลับไปก็เป็นช่วงหา
งาน กลัวจะกลายเป็นปัญหา ไหนจะเรื่องแฟนอีก
ถ้าได้กันคืนแรกแล้วเจอแบบนี้ ผู้หญิงก็อาจวิ่งได้นะ
ฮ่าาาาา