อริยมรรคนั้นต้องประจักจริงใน (ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความดับทุกข์) อย่างยิ่งไม่พึงคิดเอา ประมาณเอา รู้สึกเอา เพราะจะวิปลาส

ขอเสนอข้อความ ก่อนวันพระ
   
     การจะบรรลุ อริยมรรคนั้น ต้องปรากฏและประจักจริงๆ ใน 1.อนิจจัง คือเห็นการเกิด-ดับ สุดประมาณ ยิ่งกว่าประมาณยิ่ง  2.ทุกขัง เป็นทุกข์เห็นทุกข์(เหตุแห่งทุกข์) อย่างยิ่งจนดังตายสิ้นไปจริงๆ  3.รู้อนัตตา เป็นความหมดสิ้น สูญสิ้นไปจากขันธ์ อย่างสิ้นเชิงอย่างยิ่ง   ที่เกื่อหนุนจากวิปัสสนาญาณ ตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงที่สุด อย่างเป็นอนุโลม และปฏิโลมมาตลอดนั้นเอง.

     เมื่อใดอริยมรรคยังไม่บังเกิดอย่างแท้จริง เมื่อไปคิดเอาว่าเราบรรลุธรรมเป็นพระอริยะ  ไปประมาณเอาว่าเราบรรลุธรรมเป็นพระอริยะ ไปรู้สึกเอาเองว่าเราบรรลุธรรมเป็นพระอริยะ โดยขาดสติปัญญาตรวจสอบ กิเลสที่ปรากฏกับใจของตนเองทั้ง ราคะ โทสะ โมหะ  ที่ปะทุประดังอยู่ในใจตนเองอย่างชัดเจนและรุนแรงควบคุมระงับได้ยาก แม้จะยังไม่ผิดทางกายหรือวาจา แล้วกลับมองข้ามไปว่าเป็นเรื่องธรรมดาเพราะเราเป็นพระอริยะ นั้นแหละเป็นความหลงที่ก่อให้เกิดอัตตายึดมั่นถือมั่นอย่างแน่นหนา ก่อให้เกิดความวิปลาสต่อไปเมื่อเวลาผ่านๆ ไป.

     ดังตัวอย่างอดีตพระที่ได้ชื่อว่า โดงดังมีชื่อเสียง ที่ได้กระทำผิดทางเมถุนธรรมต้องอาบัติปาราชิก จนไม่สามารถเป็นพระภิกษุได้อีกปรากฏอย่างชัดเจนให้ทราบในสังคมปัจจุบัน   แต่ก็อาจจะยังมีผู้แสดงตนเป็นภิกษุสงฆ์ยังไม่สึกสาลาเพศไป เพราะต้องอาบัติปาราชิกในเรื่องอวดอุตริมนุษยธรรมที่ไม่มีในตนแฝงอยู่ ก็เป็นได้  และอาจจะมีท่านที่ต้องอาบัติปาราชิกแล้วแต่ยังหลอกลวงคงฐานะเป็นภิกษุสงฆ์จนตายไปแล้วก็มี เป็นธรรมดา.

     ดังนั้นผู้ที่ศึกษาธรรมปฏิบัติธรรมทั้งหลาย พึงอย่าประมาท พึงมีสติปัญญาพิจารณาดูใจตนเองที่มีกิเลสบังเกิดขึ้นอยู่เนื่อง พึงปลดพึงปลอยวาง อัตตาความยึดมั่นถือมั่นแห่งใจตนเองเอง เนื่องๆ  ดังนั้นแม้เกิดความหลง ความเข้าใจผิด ก็พึงคลายความหลงคลายความเข้าใจผิดนั้นไปได้ ก่อนที่จะทำผิดทำกรรมอย่างร้ายแรง หรือถล่ำผิดไปจนเกิดอาบัติปาราชิกของท่านผู้ที่มีฐานะเป็นภิกษุสงฆ์นั้นเอง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่