อนึ่ง ภิกษุใด ไม่รู้เฉพาะ กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม1
อันเป็นความรู้ ความเห็น อย่างประเสริฐ อย่างสามารถ
น้อมเข้ามาในตนว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้
ครั้นสมัยอื่นแต่นั้น อันผู้ใดผู้หนึ่ง ถือเอาตามก็ตาม ไม่ถือ
เอาตามก็ตาม เป็นอันต้องอาบัติแล้ว มุ่งความหมดจด
จะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะท่าน ข้าพเจ้าไม่รู้อย่างนั้นได้
กล่าวว่ารู้ ไม่เห็นอย่างนั้นได้กล่าวว่าเห็น ได้พูดพล่อยๆ
เป็นเท็จเปล่าๆ เว้นไว้แต่สำคัญว่าได้บรรลุ แม้ภิกษุนี้
ก็เป็นปาราชิก2หาสังวาส3มิได้.
1. อุตตริมนุสสธรรม = ธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์
2. ปาราชิก = อาบัติหนักที่แก้ไขไม่ได้ เมื่อภิกษุกระทำ แล้ว ต้องขาดจากความ
เป็นภิกษุ
3. สังวาส = การอยู่ร่วมกัน, ธรรมเป็นเครื่องอยู่ร่วมกันของสงฆ์ เช่น การทำ
สังฆกรรมร่วมกัน, การกินร่วมกัน, การนอนร่วมกัน
พระสัมมาสัมพุทธะ ห้ามภิกษุ แกล้งบอกคุณวิเศษที่ตนเองไม่มี
อันเป็นความรู้ ความเห็น อย่างประเสริฐ อย่างสามารถ
น้อมเข้ามาในตนว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้
ครั้นสมัยอื่นแต่นั้น อันผู้ใดผู้หนึ่ง ถือเอาตามก็ตาม ไม่ถือ
เอาตามก็ตาม เป็นอันต้องอาบัติแล้ว มุ่งความหมดจด
จะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะท่าน ข้าพเจ้าไม่รู้อย่างนั้นได้
กล่าวว่ารู้ ไม่เห็นอย่างนั้นได้กล่าวว่าเห็น ได้พูดพล่อยๆ
เป็นเท็จเปล่าๆ เว้นไว้แต่สำคัญว่าได้บรรลุ แม้ภิกษุนี้
ก็เป็นปาราชิก2หาสังวาส3มิได้.
1. อุตตริมนุสสธรรม = ธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์
2. ปาราชิก = อาบัติหนักที่แก้ไขไม่ได้ เมื่อภิกษุกระทำ แล้ว ต้องขาดจากความ
เป็นภิกษุ
3. สังวาส = การอยู่ร่วมกัน, ธรรมเป็นเครื่องอยู่ร่วมกันของสงฆ์ เช่น การทำ
สังฆกรรมร่วมกัน, การกินร่วมกัน, การนอนร่วมกัน