จดหมายผิดซอง หัวอกคนเป็นแม่ ถึงลูกสาวที่จากบ้านไปเพราะFacebook

นี่เป็นกระทู้แรกค่ะ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง หลังจากที่ได้อ่านกระทู้ต่างๆจากพันทิพย์มากมาย เราเป็นครูค่ะ อายุ25 ปี มาบรรจุที่นี่ได้ 2 ปี โรงเรียนอยู่ชายแดน ไทย-พม่า อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตากค่ะ  ชาวบ้านที่นี้เป็นชาวเขาเผ่ากระเหรี่ยง และอีกครึ่งเป็นคนไร้สัญชาติ ไม่มีนามสกุล จริงๆเรื่องนี้ที่จะแชร์ต่อไปนี้ ก็ได้รับรู้มาซักระยะหนึ่งแล้ว เมื่อประมาณปีที่แล้ว จนเกือบจะลืมไป จนกระทั่งวันนี้เปิดลิ้นชักโต๊ะทำงาน จนไปเจอจดหมายอยู่มุมในสุดเลยอ่านอีกครั้ง ก็ยังรู้สึกสะเทือนใจ


เรื่องเริ่มจากที่จดหมายจากไปรษณีย์และเอกสารต่างๆของโรงเรียน ผอ.จะเช่าตู้ไปรษณีย์ไว้ที่ตัวอำเภอ เนื่องจาก ในอาทิตย์หนึ่ง ไปรษณีย์จะเข้ามาส่งจดหมายในหมู่บ้านครั้งหนึ่ง ผอ.จึงได้เช่าตู้ไว้และให้ครูที่พักในตัวอำเภอ นำจดหมายมาโรงเรียน
จนกระทั่งวันหนึ่ง ครูท่านอื่นๆก็หยิบจดหมายของตัวเองไป เราก็หยิบของเรามา เราพักอยู่ที่บ้านพักครูในโรงเรียนค่ะ หลังเลิกงาน จะไปๆมาๆ บ้านพักครูและห้องธุรการบ่อยๆ จนได้เห็นจดหมายฉบับหนึ่ง จ่าหน้าซองว่า ถึง กรและหญิง เลขที่นั้นเป็นของโรงเรียนเราค่ะ แต่ครูที่ทำงาน ณ ขณะนั้น ไม่มีครูชื่อกร หรือ หญิง และเป็น  EMS ส่งมาจาก จังหวัดนครราชสีมา
เวลาก็ผ่านไปหลายวัน จดหมายนี้ก็ยังอยู่ จึงได้ถามครูทุกๆคน ว่ามีใครรู้จักคนชื่อนี้หรือเปล่า หรือครูคนก่อนๆที่ย้ายไป มีใครชื่อนี้หรือเปล่า ก็ไม่มีใครทราบ จากนั้นก็นำจดหมายไปถามนักเรียน ห้องที่สอน ส่วนใหญ่จะถามเด็กมัธยม เด็กโต จะพอรู้เรื่องหน่อย ว่าชาวบ้านแถวนี้มีใครชื่อนี้หรือเปล่า ใครรู้จักบ้างไหม หรือมีคนจากแถบทางอิสานมาอยู่ที่นี่บ้างไหม ด้วยความเป็นห่วง(+ต่อมอยากรู้ทำงาน) ว่าใครส่งข่าวด่วนมาหาใครหรือเปล่า (หรือแอบเผือกนั่นเอง >< ) ก็ถือวิสาสะ เปิดอ่าน (จริงๆเป็นเจตนาที่ดีนะคะ แบบว่า จะได้เอาจดหมายฝากไปถึงเจ้าตัวได้ถูก)
เนื้อความในจดหมายมีดังนี้ค่ะ


หลังจากได้อ่านจดหมายนี้จบ โดยส่วนตัว งง ค่ะ ทวนอ่านหลายรอบ ประมาณว่า แม่ส่งจดหมายถึงลูกสาวที่ไปอยู่กับใครซักคนหนึ่ง และเป็นห่วงมากๆ โทรติดต่อก็ไม่ได้  (อ้อ ลืมบอกไปค่ะ ขณะนั้นบริเวณหมู่บ้านนี้และโรงเรียนไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ค่ะ)
คาบเรียนสุดท้าย สอนนักเรียนชั้นม.2 เลยลองถามเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง ว่าจำได้มั้ย ที่ครูเคยถามนักเรียนเรื่องจดหมายที่ส่งมาหา คนชื่อ กรและ หญิง ตอนนี้พอจะรู้หรือยังว่าเป็นใคร ได้ความมาว่ารู้แล้วค่ะ เพราะมีนักเรียน2คนในห้อง บ้านอยู่ติดๆกันกับ คนที่ถูกกล่าวถึงในจดหมาย ได้ฟังคร่าวๆแล้วสะเทือนใจ นึกถึงหัวอกคนเป็นแม่ค่ะ ขนาดเรามาทำงานที่นี่ด้วยหน้าที่ กลับบ้าน ทุกเย็นวันศุกร์ แม่ยังเป็นห่วงเลย เลยนัดนักเรียนคนนั้นว่า เย็นนี้หลังเลิกเรียนจะไปสอบถามรายละเอียดค่ะ เดี๋ยวได้จะเรียบเรียงเรื่องราวทั้งหมดมาให้ทราบค่ะ




บอกก่อนนะคะ ต่อไปนี้เป็นเรื่องที่รับฟังมาจากนักเรียนอีกทีหนึ่ง เพราะคงไม่กล้าไปพูดคุยกับเขาค่ะ เดี๋ยวเขาจะว่า เผือก และกลัวสามีน้องเขาด้วยค่ะเราเป็นคนต่างถิ่นมาอยู่ที่นี่ ไม่อยากมีปัญหากับใคร โดยเฉพาะชายแดน ข้ามแม่น้ำเมยไปก็เป็นต่างประเทศแล้ว กลัวโดนฆ่าหมกป่า ><
หญิง น่าจะเป็นชื่อของเด็กผู้หญิงคนนั้นค่ะ ที่แม่ส่งจดหมายมาถึง อายุ ประมาณ 15-16 ค่ะ น่าจะเป็นคนมาจากจังหวัดนครราชสีมา
ส่วน กร เป็นชื่อที่แม่ฝ่ายหญิงเรียกค่ะ จริงๆชื่อว่าแป๊ะโคะ เป็นชาวไทยภูเขาเผ่ากระเหรี่ยง หาข้อมูลมาได้จากประวัตินักเรียนเก่าของโรงเรียน จบไปได้หลายปีแล้ว ตอนนี้อายุประมาณ 20 ปี
เด็กเล่าให้ฟังว่า เมื่อประมาณปีที่แล้ว แป๊ะโคะที่ไปบวชเรียนโรงเรียนวัดที่อำเภอแม่สอด กลับมาบ้าน (สึกแล้ว) พร้อมกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เจอ พูดคุย กันใน Facebook  แล้วหญิงก็มาอยู่กับฝ่ายชายค่ะ เชื่อมโยงกับเนื้อความในจดหมายคือ แม่คงจะพอรู้ว่าลูกสาวออกจากบ้านมาเพราะอะไร แต่ไม่มีข้อมูลอื่นๆเลย (อันนี้คิดเอาเองนะคะ) ฝ่ายชาย ไม่มีนามสกุล เป็นคนไร้สัญชาติข้ามไปจังหวัดอื่นไม่ได้ ทำให้รู้เลยว่าฝ่ายหญิงเต็มใจมาอยู่ด้วยและไม่กลับบ้านเลยตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ทุกวันนี้คืออยู่บ้านบนเนินเขา
ได้รูปมาจากคุณครูท่านหนึ่ง ที่ถ่ายไว้เมื่อครั้งไปเยี่ยมบ้านเด็ก นร. เดือนที่ผ่านมา พอดีเด็กอนุบาล อยู่บ้านเดียวกันหลังนี้







ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกใดๆ  เด็กนักเรียนบอกว่า จะเห็นหญิง ลงมาอาบน้ำ และหาบน้ำขึ้นไปบ้านค่ะ คือถ้าบ้านแถวนี้ใครอยู่ที่สูงๆจะต้องลงมาอาบน้ำ ตักน้ำที่ลำห้วยขึ้นบ้านไปไว้ใช้ นอกนั้นใช้น้ำประปาภูเขาค่ะ โรงเรียนเองก็เช่นกัน  เมื่อปิดเทอมใหญ่ปีที่แล้ว หญิงโกนหัว เพราะคนที่นี่เขาถือกัน หรือเป็นธรรมเนียมว่าคนเกิดวันพุธและวันศุกร์จะต้องโกนผม เด็ก นร.เปิดเทอมมาก็หัวโล้นกันหลายคน แต่เดี๋ยวนี้เห็นว่าเริ่มยาวกันล่ะ
ทำมาหากินโดยการเข้าป่า หาเก็บของป่า ฝ่ายชายก็อยู่บ้านไม่ได้ไปรับจ้างทำงานที่ไหน ขณะที่มีเสา AIS 3G มาตั้งได้ระยะหนึ่งแล้วค่ะ แต่นร.บอกว่า หญิงไม่ได้ใช้โทรศัพท์
จดหมายที่หลงมาวันนั้น ทำให้ได้รับรู้เรื่องราว ที่ไม่เข้าใจเลยว่าเพราะอะไร ถึงทำให้ เด็กสาวคนนั้นต้องจากอกแม่ มาอยู่ที่กันดาร แถบชายแดนแบบนี้ แค่คิดก็ปวดใจแล้ว ว่าทุกๆวันคนเป็นแม่จะเป็นยังไง ลูกสาวทั้งคน และจดหมายฉบับนี้ก็ได้ฝากนักเรียนไปให้เขาแล้วค่ะ  แต่เราไม่กล้าไปถามเขาหรอกค่ะว่าเขาติดต่อไปหาแม่บ้างหรือเปล่า  น้องคนนี้น่าจะส่งข่าวให้แม่เขารับรู้บ้าง ว่าลูกสาวของเขายังอยู่ดีตามอัตภาพและวิถีชีวิตที่เขาเลือก...


จากตอนแรกที่คิดไว้ว่านอกจากส่งจดหมายให้กับเจ้าของแล้ว และจากนั้นก็สุดแล้วแต่จะเป็นยังไง
แต่ในที่สุด ก็ได้ไปถึงบ้านน้องเขามาแล้วค่ะ โดยให้ครูเก่าที่อยู่ที่นี่มานานพาไป เนื่องจาก เขาเคยได้สอนฝ่ายชายมาแล้ว ครูกับลูกศิษย์คุยกัน น่าจะดีกว่าที่เราไปตัวคนเดียว


กว่าจะไปถึงบ้านบนเนินเขา เล่นเอาเหนื่อยเลยค่ะ ทางชัน ดินถูกขุดเป็นขั้นบันไดขึ้นไปเรื่อยๆ ก็เจออยู่บนบ้านกัน 2 คน  ตอนแรกให้ครูอีกคนถามไถ่ฝ่ายชายตามประสาศิษย์เก่า กับครู ได้ความว่า
ฝ่ายชายตั้งแต่จบ ม.3 ก็ได้ไปบวชเรียนที่โรงเรียนวัดในอำเภอแม่สอด จนครบ 3 ปี ก็กลับบ้านมาพร้อมกับแฟนสาวคนนี้
ฝ่ายหญิง ก็ได้ถามไปว่าได้จดหมายที่ฝากมาให้หรือยัง ก็บอกมาว่าได้แล้ว

จากนั้นก็สอบถามว่า ไปยังไงมายังไงถึงได้มาอยู่ที่นี่ น้องเค้าก็อึกอัก น้ำตาคลอ ตอนแรกเหมือนจะไม่ค่อยพูดค่ะ พูดน้อย จากถามคำตอบคำ สรุปได้ดังนี้ น้องเค้าเป็นลูกคนเดียวจบ ม.3 แล้ว กำลังเรียนม 5 เล่นเฟซคุยกับฝ่ายชายไม่ถึงเดือน ก็มาหา ฝ่ายชายบอกว่า ตอนแรกผมก็บอกเขาแล้วว่ารอจบม.6 ก่อน ค่อยมา แต่ก็ไม่รอ พอมาแล้วก็ไม่รู้จะทำไง มาก็มาก็พามาอยู่บ้าน (ฝ่ายชายเค้าพูดดีนะคะ เป็นคนที่จัดได้ว่าเรียบร้อย คำพูดจาอ่อนน้อม ดูเป็นคนมีความรับผิดชอบค่ะ ครูที่เคยสอนมาก็บอกเป็นคนนิสัยดี )  มาอยู่ที่นี่ก็ขยันขันแข็ง ช่วยงานไร่ หนักเอาเบาสู้จนชาวบ้านชม
ก่อนมาก็ได้บอกปู่กับย่าไว้แล้วก็มา หลังจากนั้นก็ส่งข่าวไปหาแม่ ตอนแรกแม่โกรธมาก แต่ตอนนี้ก็ได้คุยกับแม่แล้ว ล่าสุดแม่ก็โทรมา ก่อนหน้านี้ติดต่อไม่ได้เลยเพราะโทรศัพท์พัง ก็อยากกลับไปหาแม่ แต่กลับไปพาแฟนไปให้แม่เห็นหน้า จากนั้นก็จะรับจ้างทำมาหากิน แต่ฝ่ายชายบอกว่า ก็อยากไปแต่ตอนนี้ยังไม่พร้อม เพราะต้องใช้เงินค่าเดินทางมากอยู่ ถ้าหากไปทำงานคงไปทำงานด้วยกัน
ก่อนกลับก็ได้ขอเบอร์แม่ของหญิงและหญิงมาด้วยค่ะ บอกไว้ก่อนกลับว่าถ้ามีอะไรให้ช่วยเหลือก็ไปหาที่โรงเรียนได้ มาถึงตรงนี้คิดว่าน่าจะจบแล้ว แม่ลูกก็ได้คุยกันแล้ว เลยยังชั่งใจ ว่าจะโทรไปหาดีหรือไม่ ยังตัดสินใจไม่ได้ค่ะ ใจหนึ่งก็คิดว่าไม่ใช่เรื่องของเรา แต่ใจหนึ่งก็อยากพูดคุยอย่างน้อยแม่เขาจะได้อุ่นใจ ให้เราเป็นหูเป็นตาได้บ้าง
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่