ซีรีย์ซอมบี้เรื่องดังอย่าง The Walking Dead ได้เลือกเมืองแอตแลนตาให้เป็นเมืองที่มีกลุ่มผู้รอดชีวิตจากซอมบี้อาศัยอยู่ นั่นเป็นเพราะแอนแลนตาเป็นเมืองที่รู้จักกันในฐานะ “มหานครแห่งผู้บำบัดและขจัดเชื้อโรค”
ภาพของดร.เคนต์ แบรนต์ลีย์ (Dr. Kent Brantly) นายแพทย์ผู้ติดเชื้ออีโบลา (Ebola) จากไลบีเรียในชุดป้องกันโรคที่เดินออกมาจากรถพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเอโมรี (Emory University Hospital) ในเมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา อาจเปลี่ยนภาพจำของเมืองแห่งนี้ในสายตาของคนทั่วโลกไปตลอดกาล
เมื่อเอ่ยถึง “แอตแลนตา” หลายคนอาจยังคงจำได้ถึงเสียงโห่ร้องยินดีกับเหรียญทองแรกของไทยจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนในปี 1996 หรือยังคงติดตากับภาพเมืองเศรษฐกิจ แหล่งที่ตั้งสำนักงานใหญ่ขององค์กรชั้นนำระดับโลกมากมาย อย่างโคคา-โคล่า (Coca-Cola) เดลต้าแอร์ไลน์ (Delta Air Lines) เอทีแอนด์ที (AT&T) ซีเอ็นเอ็น (CNN) และยูพีเอส (UPS) เป็นต้น แต่ตั้งแต่การแพร่ระบาดของไวรัสอีโบลาในช่วงปีที่ผ่านมา เมืองแห่งนี้กลับโดดเด่นขึ้นมาในด้านการแพทย์และสาธารณสุขประจำชาติ จนอาจทำให้เราต้องหันกลับมามองเมืองที่ปกคลุมไปด้วยร่มเงาของต้นไม้น้อยใหญ่ ดังสมญานาม “City in a Forest” แห่งนี้ใหม่อีกครั้ง
The Serious Case of Disease
โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเอโมรี ในเมืองแอตแลนตา เป็น 1 ใน 4 สถาบันทางการแพทย์ในสหรัฐอเมริกาที่มีแผนกดูแลผู้ป่วยโรคติดต่อขั้นร้ายแรงอย่างปลอดภัยในระดับสูง โดยมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า Serious Communicable Disease Unit
แม้หลายคนจะตั้งคำถามกับการมีอยู่ของแผนกพิเศษนี้ แต่ทันทีที่ทางการสหรัฐฯ ตัดสินใจส่งผู้ติดเชื้ออีโบลาสองรายแรกของสหรัฐฯ ได้แก่ ดร.เคนต์ แบรนต์ลีย์ และนางแนนซี่ ไรท์โบล (Nancy Writebol) นายแพทย์วัย 33 ปีและนางพยาบาลชาวอเมริกันวัย 59 ผู้อุทิศตนดูแลรักษาผู้ป่วยอยู่ในเมืองมอนโรเวีย ประเทศไลบาเรีย มาเป็นเวลาเกือบหนึ่งปี มารักษายัง Serious Communicable Disease Unit แห่งนี้ในต้นเดือนสิงหาคม คำถามต่อการมีอยู่ดังกล่าวจึงได้รับคำตอบ “คณะแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ทุกคนของเราได้รับการฝึกอบรมเป็นพิเศษเพื่อรับมือกับการดูแลรักษาผู้ป่วยประเภทนี้มาเป็นอย่างดี กระบวนการดูแลรักษาและวิธีการปฏิบัติต่อผู้ป่วยเหล่านี้เป็นพื้นฐานที่เราฝึกทำกันอยู่เป็นกิจวัตร เพราะฉะนั้น พวกเราจึงพร้อมเป็นอย่างยิ่งสำหรับสถานการณ์เช่นนี้” โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเอโมรีกล่าว
Serious Communicable Disease Unit แบ่งพื้นที่ออกเป็น 5 ส่วน ได้แก่ ห้องผู้ป่วยที่มีอุปกรณ์ครบครันไม่ต่างจากห้องไอซียู ห้องสวมชุดป้องกันเชื้อของเจ้าหน้าที่ ห้องพักรอสำหรับญาติที่มีช่องกระจกสำหรับให้สื่อสารกับผู้ป่วย ห้องน้ำภายในห้องผู้ป่วยที่มีระบบจัดการขยะและของเสียจากผู้ป่วยด้วยไอน้ำแรงดันสูงและการเผา และห้องแล็บพิเศษสำหรับการค้นคว้ารักษาผู้ติดเชื้อโรคติดต่อขั้นร้ายแรงโดยเฉพาะ
จุดเด่นของหน่วยพิเศษแห่งนี้ คือระบบควมคุมการไหลเวียนของอากาศถึงสองชั้น คือบริเวณก่อนเข้าห้องพักรอและก่อนเข้าห้องผู้ป่วย ที่จะควบคุมไม่ให้อากาศจากห้องผู้ป่วยไหลออกมายังห้องพักรอและโถงทางเดิน เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคผ่านทางอากาศ นอกจากนี้ ในแต่ละห้องจะมีการไหลเวียนของอากาศถึง 20 ครั้งภายในหนึ่งชั่วโมง หรือทุกๆ ประมาณ 3 นาที เพื่อการกำจัดเชื้อโรคออกไปอย่างรวดเร็ว
CDC: The War Room of the U.S.
เพราะแอตแลนตานั้นได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งของภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้แห่งสหรัฐอเมริกามาตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 19 จากการเป็นสถานีปลายทางของทางรถไฟสายตะวันตก และยังเป็นจุดหมายของเส้นทางรถไฟจาก 4 ทิศตลอดช่วงปี 1845-1854 เมื่อประกอบกับการที่ทางการสหรัฐฯ ต้องการจัดตั้งโปรแกรมควบคุมเชื้อมาลาเรียในพื้นที่สงคราม (Malaria Control in War Areas) ขึ้น เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคมาลาเรียที่อยู่คู่กับพื้นที่ตะวันออกเฉียงใต้มาโดยตลอด ไม่ให้ระบาดสู่ทหารที่กำลังฝึกอบรมสำหรับการรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งอยู่ในพื้นที่แถบนี้ แอตแลนตาจึงกลายเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ที่เหมาะสมที่สุดเหนือเมืองอื่นๆ ที่ได้รับการพิจารณาเช่นกัน อย่างเท็กซัสและแคลิฟอร์เนีย
โปรแกรมชั่วคราวที่ต้องการเพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่าง Malaria Control in War Areas ได้จุดประกายแนวคิดที่จะจัดตั้งหน่วยงานที่ดูแลเรื่องโรคติดต่ออย่างจริงจัง จึงเป็นที่มาของสำนักงานควบคุมและป้องกันโรคติดต่อสหรัฐอเมริกา (Centers for Disease Control and Prevention หรือ CDC) ที่ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่ควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคมาลาเรียเท่านั้น แต่ปัจจุบันยังครอบคลุมทั้งโรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อ มีการค้นคว้าวิจัยเพื่อรับมือกับเชื้อโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นและกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงการก่อการร้ายด้วยสารชีวภาพ (Bioterrorism) มีการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อติดตาม ป้องกัน และควบคุมโรค ตลอดจนให้การศึกษาด้านสาธารณสุขผ่านกิจกรรมต่างๆ แก่คนในชาติ
แม้จะมีข้อกังขาเกี่ยวกับการตั้งสถาบันทางการแพทย์และสาธารณสุขที่มีความสำคัญระดับชาติเช่นนี้ไว้ห่างจากเมืองหลวงอย่างกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. กว่าหลายร้อยไมล์ แต่นายแพทย์บิล ชาฟเนอร์ (Dr. Bill Schaffner) อดีตเจ้าหน้าที่ในหน่วยสืบราชการลับด้านโรคระบาดของ CDC กลับมองไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องย้ายหน่วยงานนี้ออกไปจากแอตแลนตา “CDC เติบโตขึ้นแทบจะทันทีภายหลังการก่อตั้ง ตอนที่ผมไปเป็นเจ้าหน้าที่อยู่ที่นั่น ห้องปฏิบัติการณ์ต่างๆ กำลังเข้าที่เข้าทาง ผู้เชี่ยวชาญ แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ทั้งหมดล้วนมีบ้านอยู่ที่แอตแลนตา หากจะย้ายหน่วยงานนี้ไปตั้งที่อื่น คงจะเป็นงานช้างที่ต้องใช้ทั้งกำลังและความพยายามอย่างมาก อีกทั้งยังต้องใช้เงินจำนวนมากอย่างไม่จำเป็น” นายแพทย์บิลกล่าว
นับตั้งแต่นั้นมา CDC ได้พัฒนาบทบาทหน้าที่ของตนเองจนก้าวขึ้นมามีบทบาทอยู่ในวงการสาธารณสุขระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของโรคระบาด อย่างไรก็ตาม หนึ่งในโปรเจ็กต์ของ CDC ที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในสาธารณสุขของชาวอเมริกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับโรคระบาดหรือไม่ก็ตาม ก็คือโปรเจ็กต์ Communities Putting Prevention to Work (CPPW)
จากผลการสำรวจพบว่า ผู้ใหญ่ทุกๆ สามคน จะมีหนึ่งคนที่เป็นโรคอ้วน และมีชาวอเมริกันกว่า 45 ล้านคนที่สูบบุหรี่ ในขณะที่มีอีก 126 ล้านคนที่ไม่ได้สูบบุหรี่แต่กลับได้รับผลกระทบจากควันบุหรี่ ส่งผลให้โรคอ้วนและบุหรี่คือสาเหตุการเสียชีวิตของชาวอเมริกันติดอันดับต้นๆ ของสาเหตุการเสียชีวิตทั้งหมด

โปรเจ็กต์ CPPW จึงเข้ามาให้การสนับสนุน 50 ชุมชนทั่วสหรัฐฯ เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดโรคอ้วนและอันตรายต่างๆ ที่ตามมาจากการใช้บุหรี่ ไม่ว่าจะเป็นการเสนอแนะให้การบริโภคอาหารสดในท้องถิ่นเป็นนโยบายและกลยุทธ์ของชุมชน มีการปรับปรุงสภาพแวดล้อมและทางเท้าให้เอื้อต่อการเดินและการขี่จักรยาน กำหนดให้เยาวชนได้ใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงต่อวันกับกิจกรรมกลางแจ้งต่างๆ รวมไปถึงสนับสนุนให้รับประทานผัก ผลไม้ และเครื่องดื่มที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมากขึ้น มีการประกาศให้บางพื้นที่สาธารณะเช่น ร้านอาหาร โรงแรม ไนต์คลับ ที่ทำงาน หรือสถานศึกษาเป็นเขตปลอดบุหรี่ ยกเลิกนโยบายทางการตลาดของบุหรี่ เช่น การลดราคาหรือการทดลองใช้ผลิตภัณฑ์จากยาสูบหรือนิโคติน ตลอดจนเพิ่มฮอตไลน์สำหรับผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่ เป็นต้น ซึ่งผลลัพธ์ก็คือ CPPW สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวสหรัฐฯ ได้กว่า 50 ล้านคน หรือนับเป็น 1 ใน 6 ของชาวอเมริกันทั้งหมด
กลับมาที่การจัดการกับเรื่องโรคระบาดที่ไม่อาจมองข้ามได้อีกครั้ง 2 สัปดาห์ภายหลังจากที่นายแพทย์แบรนต์ลีย์และนางไรท์โบลเข้ารับการรักษาที่ Serious Communicable Disease Unit แห่งโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเอโมรี ทั้งสองถูกปล่อยตัวกลับบ้านพร้อมได้รับการประกาศจาก CDC ว่าหายจากโรคร้ายดังกล่าวแล้ว เช่นเดียวกันกับผู้ติดเชื้ออีกสองรายที่ถูกส่งตัวมารักษายังโรงพยาบาลแห่งนี้ ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้รอดชีวิตจากโรคระบาดที่ร้ายแรงที่สุดโรคหนึ่งในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ ได้แก่ แอมเบอร์ วิลสัน (Amber Vinson) นางพยาบาลผู้ติดเชื้อจากการดูแลผู้ป่วยอีโบลาที่เสียชีวิตในเวลาต่อมา และผู้ป่วยซึ่งติดเชื้อจากการปฏิบัติหน้าที่ในองค์การอนามัยโลก (WHO) ในเซียร์ราลีโอนแต่ไม่ประสงค์จะออกนาม ในขณะที่ผู้ป่วยในสหรัฐฯ อีก 6 ราย ที่ถูกส่งตัวไปรักษายังโรงพยาบาลอื่น มี 2 รายที่เสียชีวิต
ตราบใดที่การแพร่ระบาดของเชื้อโรคนั้นยังคงรวดเร็วว่องไวไม่ต่างกับการคมนาคมและการติดต่อสื่อสารในสังคมโลกาภิวัฒน์ เราก็คงจะยังได้ยินข่าวคราวของมหานครแห่งนี้ในฐานะผู้บำบัดและขจัดเชื้อโรคอยู่ต่อไปอย่างแน่นอน
http://www.tcdc.or.th/creativethailand/article/CreativeCity/21918/#Atlanta-มหานครขจัดโรค
Atlanta มหานครขจัดโรค
ซีรีย์ซอมบี้เรื่องดังอย่าง The Walking Dead ได้เลือกเมืองแอตแลนตาให้เป็นเมืองที่มีกลุ่มผู้รอดชีวิตจากซอมบี้อาศัยอยู่ นั่นเป็นเพราะแอนแลนตาเป็นเมืองที่รู้จักกันในฐานะ “มหานครแห่งผู้บำบัดและขจัดเชื้อโรค”
ภาพของดร.เคนต์ แบรนต์ลีย์ (Dr. Kent Brantly) นายแพทย์ผู้ติดเชื้ออีโบลา (Ebola) จากไลบีเรียในชุดป้องกันโรคที่เดินออกมาจากรถพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเอโมรี (Emory University Hospital) ในเมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา อาจเปลี่ยนภาพจำของเมืองแห่งนี้ในสายตาของคนทั่วโลกไปตลอดกาล
เมื่อเอ่ยถึง “แอตแลนตา” หลายคนอาจยังคงจำได้ถึงเสียงโห่ร้องยินดีกับเหรียญทองแรกของไทยจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนในปี 1996 หรือยังคงติดตากับภาพเมืองเศรษฐกิจ แหล่งที่ตั้งสำนักงานใหญ่ขององค์กรชั้นนำระดับโลกมากมาย อย่างโคคา-โคล่า (Coca-Cola) เดลต้าแอร์ไลน์ (Delta Air Lines) เอทีแอนด์ที (AT&T) ซีเอ็นเอ็น (CNN) และยูพีเอส (UPS) เป็นต้น แต่ตั้งแต่การแพร่ระบาดของไวรัสอีโบลาในช่วงปีที่ผ่านมา เมืองแห่งนี้กลับโดดเด่นขึ้นมาในด้านการแพทย์และสาธารณสุขประจำชาติ จนอาจทำให้เราต้องหันกลับมามองเมืองที่ปกคลุมไปด้วยร่มเงาของต้นไม้น้อยใหญ่ ดังสมญานาม “City in a Forest” แห่งนี้ใหม่อีกครั้ง
The Serious Case of Disease
โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเอโมรี ในเมืองแอตแลนตา เป็น 1 ใน 4 สถาบันทางการแพทย์ในสหรัฐอเมริกาที่มีแผนกดูแลผู้ป่วยโรคติดต่อขั้นร้ายแรงอย่างปลอดภัยในระดับสูง โดยมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า Serious Communicable Disease Unit
แม้หลายคนจะตั้งคำถามกับการมีอยู่ของแผนกพิเศษนี้ แต่ทันทีที่ทางการสหรัฐฯ ตัดสินใจส่งผู้ติดเชื้ออีโบลาสองรายแรกของสหรัฐฯ ได้แก่ ดร.เคนต์ แบรนต์ลีย์ และนางแนนซี่ ไรท์โบล (Nancy Writebol) นายแพทย์วัย 33 ปีและนางพยาบาลชาวอเมริกันวัย 59 ผู้อุทิศตนดูแลรักษาผู้ป่วยอยู่ในเมืองมอนโรเวีย ประเทศไลบาเรีย มาเป็นเวลาเกือบหนึ่งปี มารักษายัง Serious Communicable Disease Unit แห่งนี้ในต้นเดือนสิงหาคม คำถามต่อการมีอยู่ดังกล่าวจึงได้รับคำตอบ “คณะแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ทุกคนของเราได้รับการฝึกอบรมเป็นพิเศษเพื่อรับมือกับการดูแลรักษาผู้ป่วยประเภทนี้มาเป็นอย่างดี กระบวนการดูแลรักษาและวิธีการปฏิบัติต่อผู้ป่วยเหล่านี้เป็นพื้นฐานที่เราฝึกทำกันอยู่เป็นกิจวัตร เพราะฉะนั้น พวกเราจึงพร้อมเป็นอย่างยิ่งสำหรับสถานการณ์เช่นนี้” โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเอโมรีกล่าว
Serious Communicable Disease Unit แบ่งพื้นที่ออกเป็น 5 ส่วน ได้แก่ ห้องผู้ป่วยที่มีอุปกรณ์ครบครันไม่ต่างจากห้องไอซียู ห้องสวมชุดป้องกันเชื้อของเจ้าหน้าที่ ห้องพักรอสำหรับญาติที่มีช่องกระจกสำหรับให้สื่อสารกับผู้ป่วย ห้องน้ำภายในห้องผู้ป่วยที่มีระบบจัดการขยะและของเสียจากผู้ป่วยด้วยไอน้ำแรงดันสูงและการเผา และห้องแล็บพิเศษสำหรับการค้นคว้ารักษาผู้ติดเชื้อโรคติดต่อขั้นร้ายแรงโดยเฉพาะ
จุดเด่นของหน่วยพิเศษแห่งนี้ คือระบบควมคุมการไหลเวียนของอากาศถึงสองชั้น คือบริเวณก่อนเข้าห้องพักรอและก่อนเข้าห้องผู้ป่วย ที่จะควบคุมไม่ให้อากาศจากห้องผู้ป่วยไหลออกมายังห้องพักรอและโถงทางเดิน เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคผ่านทางอากาศ นอกจากนี้ ในแต่ละห้องจะมีการไหลเวียนของอากาศถึง 20 ครั้งภายในหนึ่งชั่วโมง หรือทุกๆ ประมาณ 3 นาที เพื่อการกำจัดเชื้อโรคออกไปอย่างรวดเร็ว
CDC: The War Room of the U.S.
เพราะแอตแลนตานั้นได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งของภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้แห่งสหรัฐอเมริกามาตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 19 จากการเป็นสถานีปลายทางของทางรถไฟสายตะวันตก และยังเป็นจุดหมายของเส้นทางรถไฟจาก 4 ทิศตลอดช่วงปี 1845-1854 เมื่อประกอบกับการที่ทางการสหรัฐฯ ต้องการจัดตั้งโปรแกรมควบคุมเชื้อมาลาเรียในพื้นที่สงคราม (Malaria Control in War Areas) ขึ้น เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคมาลาเรียที่อยู่คู่กับพื้นที่ตะวันออกเฉียงใต้มาโดยตลอด ไม่ให้ระบาดสู่ทหารที่กำลังฝึกอบรมสำหรับการรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งอยู่ในพื้นที่แถบนี้ แอตแลนตาจึงกลายเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ที่เหมาะสมที่สุดเหนือเมืองอื่นๆ ที่ได้รับการพิจารณาเช่นกัน อย่างเท็กซัสและแคลิฟอร์เนีย
โปรแกรมชั่วคราวที่ต้องการเพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่าง Malaria Control in War Areas ได้จุดประกายแนวคิดที่จะจัดตั้งหน่วยงานที่ดูแลเรื่องโรคติดต่ออย่างจริงจัง จึงเป็นที่มาของสำนักงานควบคุมและป้องกันโรคติดต่อสหรัฐอเมริกา (Centers for Disease Control and Prevention หรือ CDC) ที่ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่ควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคมาลาเรียเท่านั้น แต่ปัจจุบันยังครอบคลุมทั้งโรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อ มีการค้นคว้าวิจัยเพื่อรับมือกับเชื้อโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นและกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงการก่อการร้ายด้วยสารชีวภาพ (Bioterrorism) มีการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อติดตาม ป้องกัน และควบคุมโรค ตลอดจนให้การศึกษาด้านสาธารณสุขผ่านกิจกรรมต่างๆ แก่คนในชาติ
แม้จะมีข้อกังขาเกี่ยวกับการตั้งสถาบันทางการแพทย์และสาธารณสุขที่มีความสำคัญระดับชาติเช่นนี้ไว้ห่างจากเมืองหลวงอย่างกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. กว่าหลายร้อยไมล์ แต่นายแพทย์บิล ชาฟเนอร์ (Dr. Bill Schaffner) อดีตเจ้าหน้าที่ในหน่วยสืบราชการลับด้านโรคระบาดของ CDC กลับมองไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องย้ายหน่วยงานนี้ออกไปจากแอตแลนตา “CDC เติบโตขึ้นแทบจะทันทีภายหลังการก่อตั้ง ตอนที่ผมไปเป็นเจ้าหน้าที่อยู่ที่นั่น ห้องปฏิบัติการณ์ต่างๆ กำลังเข้าที่เข้าทาง ผู้เชี่ยวชาญ แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ทั้งหมดล้วนมีบ้านอยู่ที่แอตแลนตา หากจะย้ายหน่วยงานนี้ไปตั้งที่อื่น คงจะเป็นงานช้างที่ต้องใช้ทั้งกำลังและความพยายามอย่างมาก อีกทั้งยังต้องใช้เงินจำนวนมากอย่างไม่จำเป็น” นายแพทย์บิลกล่าว
นับตั้งแต่นั้นมา CDC ได้พัฒนาบทบาทหน้าที่ของตนเองจนก้าวขึ้นมามีบทบาทอยู่ในวงการสาธารณสุขระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของโรคระบาด อย่างไรก็ตาม หนึ่งในโปรเจ็กต์ของ CDC ที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในสาธารณสุขของชาวอเมริกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับโรคระบาดหรือไม่ก็ตาม ก็คือโปรเจ็กต์ Communities Putting Prevention to Work (CPPW)
จากผลการสำรวจพบว่า ผู้ใหญ่ทุกๆ สามคน จะมีหนึ่งคนที่เป็นโรคอ้วน และมีชาวอเมริกันกว่า 45 ล้านคนที่สูบบุหรี่ ในขณะที่มีอีก 126 ล้านคนที่ไม่ได้สูบบุหรี่แต่กลับได้รับผลกระทบจากควันบุหรี่ ส่งผลให้โรคอ้วนและบุหรี่คือสาเหตุการเสียชีวิตของชาวอเมริกันติดอันดับต้นๆ ของสาเหตุการเสียชีวิตทั้งหมด
โปรเจ็กต์ CPPW จึงเข้ามาให้การสนับสนุน 50 ชุมชนทั่วสหรัฐฯ เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดโรคอ้วนและอันตรายต่างๆ ที่ตามมาจากการใช้บุหรี่ ไม่ว่าจะเป็นการเสนอแนะให้การบริโภคอาหารสดในท้องถิ่นเป็นนโยบายและกลยุทธ์ของชุมชน มีการปรับปรุงสภาพแวดล้อมและทางเท้าให้เอื้อต่อการเดินและการขี่จักรยาน กำหนดให้เยาวชนได้ใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงต่อวันกับกิจกรรมกลางแจ้งต่างๆ รวมไปถึงสนับสนุนให้รับประทานผัก ผลไม้ และเครื่องดื่มที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมากขึ้น มีการประกาศให้บางพื้นที่สาธารณะเช่น ร้านอาหาร โรงแรม ไนต์คลับ ที่ทำงาน หรือสถานศึกษาเป็นเขตปลอดบุหรี่ ยกเลิกนโยบายทางการตลาดของบุหรี่ เช่น การลดราคาหรือการทดลองใช้ผลิตภัณฑ์จากยาสูบหรือนิโคติน ตลอดจนเพิ่มฮอตไลน์สำหรับผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่ เป็นต้น ซึ่งผลลัพธ์ก็คือ CPPW สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวสหรัฐฯ ได้กว่า 50 ล้านคน หรือนับเป็น 1 ใน 6 ของชาวอเมริกันทั้งหมด
กลับมาที่การจัดการกับเรื่องโรคระบาดที่ไม่อาจมองข้ามได้อีกครั้ง 2 สัปดาห์ภายหลังจากที่นายแพทย์แบรนต์ลีย์และนางไรท์โบลเข้ารับการรักษาที่ Serious Communicable Disease Unit แห่งโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเอโมรี ทั้งสองถูกปล่อยตัวกลับบ้านพร้อมได้รับการประกาศจาก CDC ว่าหายจากโรคร้ายดังกล่าวแล้ว เช่นเดียวกันกับผู้ติดเชื้ออีกสองรายที่ถูกส่งตัวมารักษายังโรงพยาบาลแห่งนี้ ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้รอดชีวิตจากโรคระบาดที่ร้ายแรงที่สุดโรคหนึ่งในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ ได้แก่ แอมเบอร์ วิลสัน (Amber Vinson) นางพยาบาลผู้ติดเชื้อจากการดูแลผู้ป่วยอีโบลาที่เสียชีวิตในเวลาต่อมา และผู้ป่วยซึ่งติดเชื้อจากการปฏิบัติหน้าที่ในองค์การอนามัยโลก (WHO) ในเซียร์ราลีโอนแต่ไม่ประสงค์จะออกนาม ในขณะที่ผู้ป่วยในสหรัฐฯ อีก 6 ราย ที่ถูกส่งตัวไปรักษายังโรงพยาบาลอื่น มี 2 รายที่เสียชีวิต
ตราบใดที่การแพร่ระบาดของเชื้อโรคนั้นยังคงรวดเร็วว่องไวไม่ต่างกับการคมนาคมและการติดต่อสื่อสารในสังคมโลกาภิวัฒน์ เราก็คงจะยังได้ยินข่าวคราวของมหานครแห่งนี้ในฐานะผู้บำบัดและขจัดเชื้อโรคอยู่ต่อไปอย่างแน่นอน