ลงทุนหุ้นวิธี Value Averaging(VA) เป็นวิธีหนึ่งที่น่าสนใจ

นักลงทุน ส่วนใหญ่ จะลงทุนวิธี DCA คือ ซื้อเฉลี่ยเท่ากันทุกเดือน เวลาหุ้นขึ้นจะได้จำนวนหุ้นน้อยและเวลาหุ้นลงจะได้จำนวนมากขึ้น แต่มีวิธีนึงที่น่าจะเวิร์คกว่าและน่าสนใจกว่าคือวิธีลงทุน Value Averaging(VA)
ลักษณะทั่วไป
-ลงทุนเป็นประจำ (Regular Investment)ตำมควำมถี่ที่กำหนดไว้ล่วงหน้ำ
-ควำมถี่สำมำรถกำหนดได้หลำกหลำย อำทิ รำยสัปดำห์ รำยเดือน รำยไตรมำส รำยปี
-ลงทุนในวันที่กำหนดไว้ล่วงหน้ำ โดยไม่คำดกำรณ์ภำวะตลำด
-เพิ่ม/ลดเงินลงทุนให้ “แตกต่างกันไปในแต่ละงวด”เพื่อให้เงินลงทุนเติบโตไปตำม “แผนการลงทุน”ที่กำหนดไว้ล่วงหน้ำ
-กรณีที่พอร์ตกำรลงทุนเติบโตไปเกินกว่ำแผนที่วำงไว้ จะ“มีการลดเงินลงทุน”หรือ “มีการขายสินทรัพย์” เพื่อพักไว้ในตรำสำรหนี้/เงินสด
ลักษณะพิเศษ
-มักมีกำรสำรองเงินบำงส่วนไว้ในตรำสำรหนี้/เงินสด เพื่อให้สำมำรถใช้ไปเพิ่มกำรลงทุนได้ในช่วงที่สินทรัพย์ที่ลงทุนอยู่ในทิศทำงขำลง
-อำจมีกำรกำหนดข้อจำกัดเช่น ยอดซื้อลงทุนสูงสุดต่องวด
เช่น มีเงินออม เดือนละ 2,000 บาท จะลงทุนหุ้น A ระยะยาวตลอดชีพ จะใช้วิธี VA คือจะต้องมีเงินสำรองอย่างน้อย 60-80 % เพื่อซื้อหุ้นในเวลาย่อลง คือ จะลงทุนหรือซื้อหุ้น เดือนละ 1,200 อีก 800 เก็บเงินสด โดยอาจจะฝากบัญชี MEBYTMB หรือพักในกองทุนตราสารหนี้ ซื้อหุ้นทุกวันที่ 2 ของเดือน
ราคาปัจจุบันX จำนวนหุ้นสะสม = มูลค่าปัจจุบัน     แผนลงทุน -  มูลค่าปัจจุบัน = จำนวนเงินจ่ายในแต่ละเดือน
ตัวอย่าง                                                          แผนลงทุน     มูลค่าปัจจุบัน    ซื้อ      ราคา    จำนวนหุ้น   จำนวนหุ้นสะสม    เงินสดที่ถือสะสม
2 ก.พ.58   ราคาหุ้น ณ ตอนนั้น 12 บาท                  1,200                    0         1200       12         100              100                       800
2 มี.ค.58   ราคาหุ้น ณ ตอนนั้น 10 บาท                                                                                                                
              มูลค่าปัจจุบันจะเป็น(10X100) 1,000 บาท  2,400             1,000         1500       10         150              250   (+800-300) 1,300
2 เม.ย.58  ราคาหุ้น ณ ตอนนั้น 16 บาท                   3,600             4,000           -             -           -                250   (2,000)        3,300  
(มูลค่าปัจจบันมากกว่าแผนลงทุน ถ้าเป็นแบบนี้ จะต้องขายออกไป 400 แต่เราไม่ทำแบบนั้น ถ้าจะลงทุนระยะยาวจริงจะต้องไม่ขายง่ายๆ เพราะเราจะลงทุนหุ้นที่เป็นกิจการดี มีความมั่นคง นอกจากพื้นฐานของกิจการจะเปลี่ยนไป จึงขายเอากำไร ดังนั้น เราจึงเอา 400 ไปรวมแผนลงทุนเดือนต่อไปให้เป้าหมายสินทรัพย์เพิ่มขึ้น)
2 พ.ค.58  ราคาหุ้น ณ ตอนนั้น 15 บาท                   5,200             3,750         1,450       15         96(ปัดเศษลง) 346   (+800-250) 3,850
              (แผนลงทุนเพิ่มขึ้น 400 บาท คำนวณจาก 3,600+1200+400 หรือ มูลค่าปัจจุบัน+แผนลงทุนงวดต่อไป)
2 มิ.ย.58  ราคาหุ้น ณ ตอนนั้น 10 บาท                    6,400            3,460          2,940       10       294            640  (+800-1740) 2,910
2 ก.ค.58  ราคาหุ้น ณ ตอนนั้นตกเหลือ 5 บาท           7,600            3,200          4,400         5       880         1,520 (+800-3200)  510
2 ส.ค.58  ราคาหุ้น ณ ตอนนั้น 8 บาท                      8,800           12,160            -            -         -            1,520        (2000)  2,510.
              (แผนลงทุนเพิ่มขึ้น 12,160-8,800 = 3,360 เอาไปรวมแผนลงทุนงวดต่อไป
2 ก.ย.58  ราคาหุ้น ณ ตอนนั้น 10 บาท                   13,360           15,200           -             -          -           1,520        (2000)  4,510
               (แผนลงทุน(8800+1200+3360) = 13,360 บาท
2 ต.ค.58  ราคาหุ้น ณ ตอนนั้น 12 บาท                   16,400           18,240           -             -         -            1,520        (2000)  6,510
               (แผนลงทุน(13360+1200+1840) = 16,400 บาท
2 พ.ย.58  ราคาหุ้น ณ ตอนนั้น ตกลงไป 9 บาท         17,600          13,680        3,920       9         435         1,955                     4,590  
2 ธ.ค.58  ราคาหุ้น ณ ตอนนั้น ตกลงไป 6 บาท         18,800          11,730        7,070       6        1,178        3,133                           0
2 ม.ค.59  ราคาหุ้น ณ ตอนนั้น เพิ่มเป็น 10 บาท        20,000          31,330           -          -            -            3,133                     2000
      ณ 2 ก.พ.59 แผนลงทุนจะกลายเป็น 20000+1200+11330 = 32530 บาท   เงินสดที่จ่ายซื้อหุ้น = 22,480 จำนวนหุ้นคงเหลือ 3,133 บาท ต้นทุนจะเป็น 22480 / 3133 = 7.175 บาท  กำไรประมาณ 31,330 - 22480 = 8,850 คิดเป็น %  = 28.25%  แค่ตัวอย่างเฉยๆ
เป็นวิธีที่น่าสนใจทีเดียว แต่อาจจะต้องคำนวณเยอะหน่อย  สำหรับนักลงทุนที่ชอบตัวเลขและอยากได้สินทรัพย์หุ้นที่เพิ่มขึ้นเรื่อย กินปันผลเรื่อยๆเลี้ยงชีพ วิธีนี้น่าเหมาะ เดี๋ยวผมจะลงใช้วิธีนี้สัก 10 ปี ดูว่าport จะเป็นอย่างไร เพื่อนๆสามารถนำวิธีนี้มาใช้ได้ในการลงทุนได้ครับ แต่อาจจะยากไปนึดนึงแต่ก็ประสบความสำเร็จได้ ถ้าใช้วิธีแบบนี้ต่อเนื่อง และใจแข็ง ไม่ขายง่ายๆและไม่หวั่นในอารมณ์ตลาด   เพื่อนๆคิดว่าวิธีนี้เป็นอย่างไรบ้าง แสดงความคิดเห็นได้ครับ เผื่อจะได้แนะนำ ปรับปรุงเพิ่มเติมได้ครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่