รถบรรทุก 4 ตันวิ่งเร็วที่สุดในโลก (605 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
The World's Fastest Jet Powered Truck



Shockwave รถบรรทุกที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก
โดยใช้เครื่องยนต์เครื่องบินเจ็ท 3 เครื่องยนต์
สามารถเร่งความเร็วได้สูงสุดถึง 400 ไมล์ต่อชั่วโมง (643.7376 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)
ดังนั้น จึงห้ามขับรถยนต์ตามหลังรถบรรทุกนี้โดยเด็ดขาด

Shockwave คือชื่อรถบรรทุกคันนี้
ที่ดัดแปลงจากรถบรรทุก Peterbilt Semi มีน้ำหนักรถ 4 ตัน
ใช้เครื่องยนต์เจ็ท Pratt & Whitney J34-48 jets ถึง 3 เครื่องยนต์
โดยนำมาจากเครื่องยนต์เจ็ทที่ใช้ในการฝึกของกองทัพอากาศสหรัฐ
ที่เรียกว่าเครื่องยนต์เจ็ท T-2 Buckeye
เครื่องยนต์เจ็ทที่ติดตั้งไม่ใช้อุปกรณ์ช่วยในการเผาไหม้ของเครื่องยนต์
ทำให้แต่ละเครื่องยนต์รีดแรงม้าได้ถึง 12,000 แรงม้า
ด้วยการติดตั้งเครื่องยนต์เจ็ทถึง 3 เครื่องยนต์
ทำให้มีแรงขับเคลื่อนรวม 36,000 แรงม้า
เร่งความเร็วที่ 1/4 ไมล์ (0.402336 กิโลเมตร) ในเวลาเพียง 6.5 วินาที

(หรือ 402.336 เมตรในเวลาเพียง 6.5 วินาที
หรือ 61.897 เมตรในเวลา 1 วินาที
1 G ค่าอัตราเร่งปกติที่ไม่มีการเคลื่อนที่
การทำให้เกิดแรง G มากกว่า 1 คือ
ต้องเร่งได้มากกว่า 9.80665 เมตรต่อ 1 วินาทียกกำลัง 2)



Shockwave สามารถวิ่งชนะความเร็วรถไฟหัวกระสุนของญี่ปุ่น
ทำให้ได้รับการบันทึกว่าเป็นรถบรรทุกที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก
โดยการวิ่งที่ความเร็ว  376 ไมล์ต่อชั่วโมง (605.113344 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)
ด้วยถังน้ำมันบรรจุ 190 แกลลอน (719.228239 ลิตร)
และกินน้ำมันถึง 180 แกลลอนกับการใช้พลังงานเต็มที่

Neal Darnell ผู้สร้างและคนขับ วัย  64 ปีกล่าวว่า
“ มันเป็นประสบการณ์ที่เยี่ยมมาก
คุณแทบจะไม่เชื่อกับสายตาเลย
จนกว่าคุณจะได้ทดลองขับมัน
มันสามารถมีอัตราเร่งถึงระดับ 6G ถึง 9G ได้ ”

Chris Darnell ลูกชายวัย 31 ปี ที่ได้ร่วมขับรถบรรทุก Shockwave
เริ่มหัดขับรถยนต์ครั้งแรกตอนวัย 7 ขวบ กล่าวว่า
“ การเพิ่มอัตราการเผาไหม้ของเครื่องยนต์อีก 2 เครื่องยนต์เพิ่มแรงขับเคลื่อนและแรงม้า
Shockwave ได้รีดพลังเครื่องบินเจ็ทได้ถึง 6 เท่าของเครื่องยนต์ที่ติดตั้ง "



“ ในการเร่งความเร็ว คนขับที่เคยผ่านประสบการณ์ที่ความเร็ว  6G จะรู้สึกได้
เราจึงต้องชะลอความเร็วเจ้าอสูรร้ายที่ด้วยร่มของกองทัพอากาศจำนวน 2 ตัว
ที่สามารถสร้างแรงต้านชะลอความเร็วถึง 9G ในการขับเคลื่อนได้ถ้าหากมีขึ้น "

Shockwave สร้างขึ้นครั้งแรกโดย Les Shockley ในปี 1984(2527) ซึ่งตอนนี้มีอายุกว่า 30 ปีแล้ว
พ่อลูกทั้งสองคนนี้ได้ซื้อรถคันนี้มาและปรับปรุงใหม่ในปี 2012(2555)
ทั้งสองจะเฉลิมฉลองรถบรรทุกที่อัตราเร่งบนพื้นถนนที่เร็วที่สุดในโลก
ในการทดสอบสมรรถภาพอีกครั้งที่เส้นทางข้ามพรมแดนระหว่างสหรัฐอเมริกากับแคนนาดา



เรียบเรียง/ที่มา  https://bitly.com/a/bitlinks#




เรื่องเดิมเกี่ยวกับรถยนต์

http://pantip.com/topic/30141376  เครื่องยนต์ V12 เล็กที่สุดในโลก

http://pantip.com/topic/30175334  ผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำระดับโลก

http://pantip.com/topic/30584131  สุสานรถยนต์

http://pantip.com/topic/31562641  Rolls Royce เคยเป็นรถทำความสะอาดถนนกับขนขยะ

http://pantip.com/topic/31582905  Porsche คันแรกเป็นรถยนต์ไฟฟ้า

http://pantip.com/topic/32939323  รถยนต์ Fiat S76 อายุ 104 ปีติดเครื่องได้อีกครั้ง


The Beast of Turin trailer





หมายเหตุเพิ่มเติม

1 G ค่าอัตราเร่งปกติที่ไม่มีการเคลื่อนที่
การทำให้เกิดแรง G มากกว่า 1 คือ
ต้องเร่งได้มากกว่า 9.80665 เมตรต่อ 1 วินาทียกกำลังสอง
นักวิทยาศาสตร์กำหนดไว้ว่าวัตถุตั้งนิ่ง ๆ อยู่กับพื้นโลกจะมีอัตราเร่งเท่ากับ 1 G
เครื่องบินที่บินด้วยความเร็วสูง หรือเลี้ยวโค้งหรือหักโค้ง จะเกิดอัตราเร่งมากกว่า 1 G
รถแข่งฟอร์มิวลาวัน  ขณะเลี้ยวโค้งด้วยความเร็วสูง
สามารถสร้างอัตราเร่งให้ตัวรถเองและคนขับได้ 3-4 G

เราทราบดีว่าเลือดเป็นของเหลวไม่ต่างจากน้ำหรือของเหลวอื่น ๆ
โดยธรรมชาติแล้วของเหลวจะไหลลงต่ำตามแรงโน้มถ่วง
และจะไหลลงเร็วยิ่งขึ้นเมื่อถูกกดดัน
เลือดในร่างกายคนจะไหลไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ด้วยการบีบรัดของหัวใจและหลอดเลือด
ในสภาวะแวดล้อมตามปกติที่ตัวนักบินมีอัตราเร่ง 1 G
คืออยู่นิ่ง ๆ หรือเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสม่ำเสมอ
ไม่ว่าจะเป็น 10 หรือ 900 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

การไหลเวียนของเลือดจะเป็นปกติ
ทุกอวัยวะจะมีเลือดไปเลี้ยงโดยเฉพาะสมอง
สมองที่ไม่ขาดเลือดจะทำให้นักบินตื่นตัว
คิด ตัดสินใจและเคลื่อนไหวได้เป็นปกติ
รวมถึงมองเห็นภาพได้ชัดเจน

แต่เมื่อใดที่สมองขาดเลือด
พฤติกรรมทั้งหมดจะกลายเป็นตรงกันข้าม
นักบินจะหมดสติ ที่เคยมองเห็นชัด ๆ จะพร่าพราย
เมื่อเลือดไม่ไปเลี้ยงสมองและตา
เพื่อป้องกันไม่ให้สมองนักบินขาดเลือด
เขาจึงต้องมีเครื่องช่วยกดดันไล่เลือดขึ้นเลี้ยงสมองอยู่ตลอดเวลา

เปรียบเลือดเป็นน้ำในกระป๋องนมผูกเชือกที่เราเหวี่ยงเป็นวง
ยิ่งเหวี่ยงเร็วยิ่งพบว่ากระป๋องนั้นยิ่งหนัก
หมายความว่าอัตราเร่งที่เพิ่มขึ้น
ทำให้น้ำพยายามดันตัวเอง
ให้ทะลุก้นกระป๋องด้วยแรงที่มากขึ้นเรื่อย ๆ
ถ้าก้นกระป๋องอ่อนนุ่มและเปื่อยน้ำก็จะพุ่งออกจากตรงนั้น
เปรียบได้กับเลือดของเราที่ถูกเหวี่ยง
ให้ไหลจากหัวไปกองที่เท้าขณะเครื่องบินหักเลี้ยว
ยิ่งเครื่องบินเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงแรง G ก็ยิ่งรุนแรง
เราไม่รู้สึกถึงแรง G ในรถยนต์ธรรมดา
หรือเครื่องบินโดยสารเพราะอัตราเร่งไม่รุนแรงพอ
กล่าวคือทั้งสองตัวอย่างมีการเปลี่ยนแปลงความเร็วไม่ฉับพลัน
เท่ากับเครื่องบินรบความเร็วสูง เช่น เครื่องบินขับไล่หรือโจมตี
ที่การออกแบบและกำลังของเครื่องยนต์
สามารถก่อให้เกิดอัตราเร่งได้มากกว่า
1 G หรือ 9.80665 เมตรต่อวินาทียกกำลัง 2 เมื่อเปลี่ยนทิศทาง

ถ้า 1 G เท่ากับน้ำหนักปกติ การที่เครื่องบินบินมาแล้วลดความเร็วฉับพลัน
เพื่อหักเลี้ยวแทบเป็นมุมฉากจนทำให้เกิดอัตราเร่งหนีศูนย์ขึ้นมากกว่า 1 G
ซึ่งอาจเป็นได้ตั้งแต่ 4 G  ถึง 9 G
น้ำหนักของเครื่องบินและนักบินก็จะเพิ่มขึ้นชั่วขณะ
ตั้งแต่ 4 ถึง 9 เท่า  ปัจจุบันเครื่องบินรบทำ G ได้มากที่สุดถึง12 G
แต่นักบินกับจีสูทปกติทนได้ 9 G
เว้นแต่กับจีสูทรุ่นใหม่ที่ทำให้นักบินทนแรง G ได้เท่าเครื่องบิน

นั่นหมายความว่านักบินน้ำหนัก 80 ก.ก.
จะมีน้ำหนักเป็น 80 คูณจำนวนแรง G ตั้งแต่คูณ 2 ถึงคูณ 9
ยิ่ง G มากเลือดก็ยิ่งไหลลงเท้าเร็ว
ถ้าเลี้ยวแล้วคงอัตราเร่งไว้นานอาการหน้ามืดตามัวก็ยิ่งนาน
วิธีสู้กับแรง หรือไล่เลือดกลับสู่สมองตามหลักง่าย ๆ คือ
ต้องบีบเส้นเลือดในส่วนต่ำที่สุดของร่างกายถึงส่วนกลางให้ตีบเพื่อไล่เลือดกลับ
จะบีบได้ก็ต้องมีแรงกดดันสม่ำเสมอตลอดช่วงขาและหน้าท้อง
ตรงนี้แหละที่ G สูทหรือชื่อเต็มๆว่า”แอนตี้จีสูท”(anti-G suit)เข้ามามีบทบาท

ที่มา http://bit.ly/1HKmgCU
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่