จะด้วยจงใจ หรือด้วยความไม่รู้ หรือเรื่องมาเลยหน้ามาไกลอันนี้ก็ไม่ทราบได้
เพราะการที่ท่านพระอาจารย์คึกฤทธิ์ แห่งวัดนาป่าพง มาตั้งบัญญัติเองขึ้นใหม่
ที่ว่าด้วย "การไม่ให้ฟังคำสาวก" มีปรากฎให้เห็นในแผ่นพับ
และหน้าท้ายของพุทธวจนทุกเล่ม จนหลายคนเข้าใจว่าเป็นบัญญัติ ๑๐ ประการ
โดยท่านเลือกสำนวนประโยคแปลบาลีที่ว่า มาจากสำนวนของท่านพุทธทาส
ในหนังสือชุดพระโอษฐ์ห้าเล่ม จากหัวข้อเรือ่งที่ชื่อว่า
"บริษัทเลิศเพราะสนใจโลกุตตระสุญญตา (ทางแห่งนิโรธ)
ซึ่งชาวพุทธวจนและที่ไม่ใช่ น่าจะจดจำได้ดีในบาลีที่ท่านมักยกมาขึ้นเอ่ยอ้าง
"ปฏิปุจฉาวินีตาปริสา โนอุกกาจิตวินีตา"
โดยแปลมาจากพระไตรปิฎกในเล่มอังคุตตรนิกาย ทุกนิบาต เล่ม ๒๐/๙๑/๒๙๒
ซึ่งอย่างที่โดยทราบ ไตรปิฎกแต่ละทีก็แปลไปต่างสำนวน แต่ความหมายโดยแก่น
แทบจะรวมความเหมือนกัน จึงขอตัดมาเฉพาะตอนที่พระคึกฤทธิ์ท่องจนก้องโสตะตามที่ต่างๆ
เพื่อมิให้ชาวพุทธไปหลงฟัง จนถึงขั้นปฏิเสธสติปัญญาปฏิภาณสาวกครูบาอาจารย์กันเชียว
อย่างในส่วนของพระไตรปิฏกมหามกุฎ (แปล) เล่มที่ ๓๓ หน้า ๔๐๘ ข้อ ๒๙๒
อันว่าด้วยบริษัทที่ดื้อด้าน และไม่ดื้อด้าน
"เมื่อผู้อื่นกล่าวพระสูตรที่กวีได้รจนาไว้เป็นคำกวี มีอักษรวิจิตร มีพยัญชนะวิจิตร
มีในภายนอก ซึ่งสาวกได้ภาษิตไว้"
ในพระไตรปิฎกฉบับมหาเถรสมาคม (แปล) เล่มที่ ๒๐ หน้า ๖๘ ข้อที่ ๒๙๒
"เมื่อผู้อื่นกล่าวพระสูตรที่กวีได้รจนาไว้เป็นคำกวี มีอักษรวิจิตร มีพยัญชนะวิจิตร
มีในภายนอก ซึ่งสาวกได้ภาษิตไว้" (น่าจะคัดลอกกันมาเพราะเล่มนี้แปลช้ากว่า ๒๔ ปี)
และในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา (แปล) มีในอาณิสูตร เล่มที่ ๑๖ หน้า ๓๑๘ ข้อ ๖๗๒
"เมื่อผู้อื่นกล่าวสูตรที่ท่านผู้เชี่ยวชาญรจนาว่าเป็นบทกวี มีอักษรวิจิตร
มีพยัญชนะวิจิตร อยู่ภายนอก เป็นสาวกภาษิต"
(ในฉบับมหาจุฬา มีเชิงอรรถบรรทัดล่าง อธิบายถึง "อยู่ภายนอก" ว่าหมายถึง
ภายนอกพุทธศาสนา และ "สาวกภาษิต" ว่าเป็นภาษิตอันเหล่าสาวกของเจ้าลัทธิ
คนใดคนหนึ่ง ที่ไม่ได้ชื่อว่าเป็นพระพุทธสาวกได้ภาษิตไว้)
ซึ่งทั้งสามสำนวนพึ่งเห็นว่า ทางสำนักของท่านไม่ได้เลือกใช้สำนวนแปลเล่มดังกล่าว
แต่ท่านนั้นกลับเลือกเอาสำนวนของชุดพระโอษฐ์ห้าเล่มของท่านพุทธทาส ที่ว่า ....
"เมื่อสุตตันตะทั้งหลาย ที่กวีแต่งขึ้นใหม่ เป็นคำร้อยกรองประเภทกาพย์กลอน
มีอักษรสละสลวย มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นเรือ่งนอกแนว เป็นคำกล่าวของสาวก"
แต่กระผมไม่เข้าใจ หรือว่าท่านอาจจะหลงลืมจนตีความไปเลยเถิด
เพราะเอาเข้าจริง! ประโยคสำนวนเต็มท่านก็คัดลอกจากฉบับพระโอษฐ์ของพุทธทาสมาไม่หมด
อันเป็นต้นฉบับสำนวนหลักที่ท่านเลือก และนำไปบรรจุใส่ลงใน "พุทธวจนเล่มแรก : ตามรอยธรรม"
ที่เป็นหัวข้อธรรมหลักที่หนึ่งของเล่มเสียด้วยซ้ำ และยังบรรจุใน ๑๐ พระสูตรของความสำคัญ
ที่ชาวพุทธต้องศึกษาแต่คำสอนจากพระพุทธเจ้าเท่านั้นในข้อที่ ๕ ชื่อหัวข้อที่ว่า
"ทรงกำชับให้ศึกษาปฏิบัติเฉพาะจากคำของพระองค์เท่านั้น อย่าฟังคนอื่น" (จริงฤา??-ผมว่า)
เพราะเอาเข้าจริงแล้ว ท่านพุทธทาสเองตัวท่านได้รจนาแปลในสิ่งที่สังคม
กำลังถกเถียงเป็นประเด็นอยู่ในที่นี้เพื่อหาข้อสรุป เพียงแต่ในพุทธวจนดันลอกเพียงส่วนกลางและท้าย
เนื่องจากในตอนต้นของพระโอษฐ์ในหัวข้อ "บริษัทเลิศเพราะสนใจโลกุตตระสุญญตา (ทางแห่งนิโรธ)
ท่านพุทธทาสได้แปลประเด็นเจ้าปัญหาของคำที่เรียกว่า "ปฏิปุจฉาวินีตาปริสา โนอุกกาจิตวินีตา"
เป็นที่เรียบร้อยไว้แล้ว ดังนั้นผมจึงขอคัดส่วนที่พุทธวจน ตามรอยธรรม [(เปิดธรรมที่ถูกปิด)
ที่สงสัยจะเปิดมาไม่หมด??
"ภิกษุ ท.! บริษัทสองจำพวกเหล่านี้ มีอยู่ สองจำพวกเหล่าไหนเล่า?
สองจำพวก คือ อุกกาจิตวินีตาปริสา (บริษัทอาศัยความเชื่อจากบุคคลภายนอกเป็นเครือ่งนำไป)
โนปฏิปุจฉาวินีตา (ไม่อาศัยการสอบสวนทบทวนกันเอาเองเป็นเครือ่งนำไป) นี้อย่างหนึ่ง
และ ปฏิปุจฉาวินีตาปริสา (บริษัทอาศัยการสอบสวนทบทวนกันเอาเองเป็นเครื่องนำไป)
โนอุกกาจิตวินีตา (ไม่อาศัยความเชื่อจากบุคคลภายนอกเป็นเครื่องนำไป) นี้อีกอย่างหนี่ง"
จากที่คัดลอกมา จะเห็นว่า ...... การที่ท่านพระคึกฤทธิ์ตีความว่าไม่ให้ฟังแม้คำของสาวก
เป็นการตีความเอาเองไปคนละโยชน์กับสำนวนของท่านพุทธทาสที่ตัวท่านคัดลอกมาเกือบทั้งกะปิ
เอาเข้าจริง มันเป็นคำสอนที่พระองค์ประทานให้ภิกษุในบวรพุทธศาสนาและสาวกขององค์พระศาสดา
ให้มีความสามัคคีและสมานฉันท์ในการช่วยกันทบทวน ตรวจสอบ คำสอนของพระศาสดาเป็นสำคัญ
อย่าได้ไปเสียเวลาหรือให้ค่ากับคำสอนของพวกเดียรถีย์ลัทธิอื่นนอกพุทธศาสนา หาได้ปฏิเสธคำสาวกไม่
(แต่งัยจึงเตลิดนึกไกลจนหวยไปลงใส่ "สาวก" ทั้งๆที่เจ้าของสำนวนแปลบอกชัด "ความเชื่อของบุคคลภายนอก"
หรือบุคคลภายในมีแค่พระศาสดาตถาคตเท่านั้น แล้วไล่ผู้อื่นเป็นบุคคลภายนอกหมด ซึ่งมิใช่วิสัยชาวพุทธ)
ตรงกันข้ามกับให้ความสำคัญกับ "กลุ่มสาวกของพุทธศาสนาหรือพุทธบริษัทสี่" เสียด้วยซ้ำ
อันนี้คงชัดเจนผมไม่ต้องตีความแล้ว (โดยแทบไม่ต้องอิงอรรถอธิบายท้ายบรรทัดของฉบับมหาจุฬาเพิ่ม)
ยิ่งมาเจอะการแปลปฏิปุจฉาวินีตาปริสา ที่ให้สอบสวนทบทวนกันเอาเอง ผมว่า
เราคงได้เห็นแก่นของพุทธวจนนี้ชัดขึ้น เพียงแต่ผมไม่เข้าใจว่า "ทำไม" ในหนังสือพุทธวจน
จึงเลือกที่จะไม่ใส่เสริมเข้าไป (จะได้ไม่เถียงกัน) หรือหากอยากจะให้สอดคล้องตามความเชื่อเอาเอง
ของท่านคึกฤทธิ์ ก็ควรไม่เอาสำนวนแปลของท่านพุทธทาส แล้วเปลี่ยนมาอิงสำนวนอื่นๆ
ของพระไตรปิฏกสามเล่มที่ยกมาอ้าง ยังพอจะฟังให้ดูคลุมเครือ เอียงพอให้เข้าหลักการ
ที่อยากจะให้เชือว่า "ไม่ให้ฟังคำสาวก" ที่ท่านอยากให้เป็นมากกว่า
ถ้าเลือกที่น่าจะเป็นทางออกให้กับพระอาจารย์คึกฤทธิ์สำหรับความคิดผม
๑) ถ้าท่านยังยืนยันความเชื่อ "ไม่ให้ฟังคำสาวก" ท่านก็เปลี่ยนสำนวนแปล
ให้เป็นฉบับอื่นที่อ่านแล้วฟังดูคลุมเครือ โดยไม่ควรใช้ของพุทธทาสและมหาจุฬา
ที่มีเชิงอรรถอธิบายสวนทางกับความเชื่อของท่าน
๒) ก็ไม่ต้องไปเปลี่ยนแปลงสำนวนแปลในหนังสือพุทธวจน
เพราะพิมพ์เพื่อจำหน่ายไปเยอะแล้ว ไหนจะแผ่นพับสิบบัญญัติสิบประการของท่านอีก
ท่านก็อาจโบ้ยว่าการแปลเหล่านั้น ไปเพิ่มการตีความที่ผู้แปลไปอิงอรรถกถาที่ท่านไม่ให้ค่า
๓) ยอมรับความผิดพลาดโดยดุษฎี เพื่อไม่ให้ไปขัดแย้งกับพุทธวจนบัญญัติ
อาทิ คำพูดศาสดาเป็นหนึ่งไม่ขัดแย้งกัน พระองค์ตั้งสมาธิจิตก่อนเอ่ยทุกคร่า
ไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่บัญญัติเพื่อความเจริญของภิกษุทั้งหลาย ความหมายของบทพยัญชนะ
ที่ใช้ต้องถูก ย่อมมีนัยอันถูกต้องพระสัทธรรมจึงตั้งอยู่ไม่เลอะเลือนจนเสื่อมสูญ
บทและพยัญชนะเหล่านั้นสอบลงในสูตรเทียบวินัยพึงได้ และที่สำคัญ
เธออย่าได้เป็นบุรุษคนสุดท้ายของเราในความขาดสูญแห่งกัลยาณวัตร
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ท่านได้พึงสอนแก่ผู้อื่นอยู่สม่ำเสมอ
จริงๆแล้ว ผมไม่ได้มีปัญหากับพุทธวจนเพราะหลายประเด็นในหนังสือชุด ๑๔
อย่างที่หัวหนังสือบอก เปิดธรรมที่ถูกปิด ทำให้ได้รับรู้กระจ่างในเรื่องที่ไม่เคยรู้
หรือบางอย่างที่รู้แต่ไม่ค่อยมีเอ่ยกัน ให้พอได้รับทราบ (แม้แต่ข้อมูลพระไตรปิฎก
ผมก็ศึกษาเอาจาก app E-Tipitaka ที่วัดนาป่าพงจัดทำเสียด้วยซ้ำ
เพียงแต่ความพยายามเป็นอรรถกถาจารย์ของท่านเท่านั้น ที่ผมรู้สึกเคลือบแคลง
นอกจากนี้ ตถาคตยังยกย่องและให้เกียรติ์ "สาวกของตถาคต" มาก
พูดถึงในหลายพระสูตร แต่ทางหนังสือพุทธวจนทั้ง ๑๔ เล่ม
ก็ไม่เคยหยิบพิมพ์มาใส่ไว้ ซึ่งตามอ่านได้จากลิงค์ข้างใต้
http://pantip.com/topic/33031833/comment49
เพราะคัดลอกไม่หมด จึงทำให้พระคึกฤทธิ์คิดลึกไปไกลถึงขั้น "ไม่ให้ฟังคำสาวก"
เพราะการที่ท่านพระอาจารย์คึกฤทธิ์ แห่งวัดนาป่าพง มาตั้งบัญญัติเองขึ้นใหม่
ที่ว่าด้วย "การไม่ให้ฟังคำสาวก" มีปรากฎให้เห็นในแผ่นพับ
และหน้าท้ายของพุทธวจนทุกเล่ม จนหลายคนเข้าใจว่าเป็นบัญญัติ ๑๐ ประการ
โดยท่านเลือกสำนวนประโยคแปลบาลีที่ว่า มาจากสำนวนของท่านพุทธทาส
ในหนังสือชุดพระโอษฐ์ห้าเล่ม จากหัวข้อเรือ่งที่ชื่อว่า
"บริษัทเลิศเพราะสนใจโลกุตตระสุญญตา (ทางแห่งนิโรธ)
ซึ่งชาวพุทธวจนและที่ไม่ใช่ น่าจะจดจำได้ดีในบาลีที่ท่านมักยกมาขึ้นเอ่ยอ้าง
โดยแปลมาจากพระไตรปิฎกในเล่มอังคุตตรนิกาย ทุกนิบาต เล่ม ๒๐/๙๑/๒๙๒
ซึ่งอย่างที่โดยทราบ ไตรปิฎกแต่ละทีก็แปลไปต่างสำนวน แต่ความหมายโดยแก่น
แทบจะรวมความเหมือนกัน จึงขอตัดมาเฉพาะตอนที่พระคึกฤทธิ์ท่องจนก้องโสตะตามที่ต่างๆ
เพื่อมิให้ชาวพุทธไปหลงฟัง จนถึงขั้นปฏิเสธสติปัญญาปฏิภาณสาวกครูบาอาจารย์กันเชียว
อย่างในส่วนของพระไตรปิฏกมหามกุฎ (แปล) เล่มที่ ๓๓ หน้า ๔๐๘ ข้อ ๒๙๒
อันว่าด้วยบริษัทที่ดื้อด้าน และไม่ดื้อด้าน
"เมื่อผู้อื่นกล่าวพระสูตรที่กวีได้รจนาไว้เป็นคำกวี มีอักษรวิจิตร มีพยัญชนะวิจิตร
มีในภายนอก ซึ่งสาวกได้ภาษิตไว้"
ในพระไตรปิฎกฉบับมหาเถรสมาคม (แปล) เล่มที่ ๒๐ หน้า ๖๘ ข้อที่ ๒๙๒
"เมื่อผู้อื่นกล่าวพระสูตรที่กวีได้รจนาไว้เป็นคำกวี มีอักษรวิจิตร มีพยัญชนะวิจิตร
มีในภายนอก ซึ่งสาวกได้ภาษิตไว้" (น่าจะคัดลอกกันมาเพราะเล่มนี้แปลช้ากว่า ๒๔ ปี)
และในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา (แปล) มีในอาณิสูตร เล่มที่ ๑๖ หน้า ๓๑๘ ข้อ ๖๗๒
"เมื่อผู้อื่นกล่าวสูตรที่ท่านผู้เชี่ยวชาญรจนาว่าเป็นบทกวี มีอักษรวิจิตร
มีพยัญชนะวิจิตร อยู่ภายนอก เป็นสาวกภาษิต"
(ในฉบับมหาจุฬา มีเชิงอรรถบรรทัดล่าง อธิบายถึง "อยู่ภายนอก" ว่าหมายถึง
ภายนอกพุทธศาสนา และ "สาวกภาษิต" ว่าเป็นภาษิตอันเหล่าสาวกของเจ้าลัทธิ
คนใดคนหนึ่ง ที่ไม่ได้ชื่อว่าเป็นพระพุทธสาวกได้ภาษิตไว้)
ซึ่งทั้งสามสำนวนพึ่งเห็นว่า ทางสำนักของท่านไม่ได้เลือกใช้สำนวนแปลเล่มดังกล่าว
แต่ท่านนั้นกลับเลือกเอาสำนวนของชุดพระโอษฐ์ห้าเล่มของท่านพุทธทาส ที่ว่า ....
"เมื่อสุตตันตะทั้งหลาย ที่กวีแต่งขึ้นใหม่ เป็นคำร้อยกรองประเภทกาพย์กลอน
มีอักษรสละสลวย มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นเรือ่งนอกแนว เป็นคำกล่าวของสาวก"
แต่กระผมไม่เข้าใจ หรือว่าท่านอาจจะหลงลืมจนตีความไปเลยเถิด
เพราะเอาเข้าจริง! ประโยคสำนวนเต็มท่านก็คัดลอกจากฉบับพระโอษฐ์ของพุทธทาสมาไม่หมด
อันเป็นต้นฉบับสำนวนหลักที่ท่านเลือก และนำไปบรรจุใส่ลงใน "พุทธวจนเล่มแรก : ตามรอยธรรม"
ที่เป็นหัวข้อธรรมหลักที่หนึ่งของเล่มเสียด้วยซ้ำ และยังบรรจุใน ๑๐ พระสูตรของความสำคัญ
ที่ชาวพุทธต้องศึกษาแต่คำสอนจากพระพุทธเจ้าเท่านั้นในข้อที่ ๕ ชื่อหัวข้อที่ว่า
"ทรงกำชับให้ศึกษาปฏิบัติเฉพาะจากคำของพระองค์เท่านั้น อย่าฟังคนอื่น" (จริงฤา??-ผมว่า)
เพราะเอาเข้าจริงแล้ว ท่านพุทธทาสเองตัวท่านได้รจนาแปลในสิ่งที่สังคม
กำลังถกเถียงเป็นประเด็นอยู่ในที่นี้เพื่อหาข้อสรุป เพียงแต่ในพุทธวจนดันลอกเพียงส่วนกลางและท้าย
เนื่องจากในตอนต้นของพระโอษฐ์ในหัวข้อ "บริษัทเลิศเพราะสนใจโลกุตตระสุญญตา (ทางแห่งนิโรธ)
ท่านพุทธทาสได้แปลประเด็นเจ้าปัญหาของคำที่เรียกว่า "ปฏิปุจฉาวินีตาปริสา โนอุกกาจิตวินีตา"
เป็นที่เรียบร้อยไว้แล้ว ดังนั้นผมจึงขอคัดส่วนที่พุทธวจน ตามรอยธรรม [(เปิดธรรมที่ถูกปิด)
ที่สงสัยจะเปิดมาไม่หมด??
"ภิกษุ ท.! บริษัทสองจำพวกเหล่านี้ มีอยู่ สองจำพวกเหล่าไหนเล่า?
สองจำพวก คือ อุกกาจิตวินีตาปริสา (บริษัทอาศัยความเชื่อจากบุคคลภายนอกเป็นเครือ่งนำไป)
โนปฏิปุจฉาวินีตา (ไม่อาศัยการสอบสวนทบทวนกันเอาเองเป็นเครือ่งนำไป) นี้อย่างหนึ่ง
และ ปฏิปุจฉาวินีตาปริสา (บริษัทอาศัยการสอบสวนทบทวนกันเอาเองเป็นเครื่องนำไป)
โนอุกกาจิตวินีตา (ไม่อาศัยความเชื่อจากบุคคลภายนอกเป็นเครื่องนำไป) นี้อีกอย่างหนี่ง"
จากที่คัดลอกมา จะเห็นว่า ...... การที่ท่านพระคึกฤทธิ์ตีความว่าไม่ให้ฟังแม้คำของสาวก
เป็นการตีความเอาเองไปคนละโยชน์กับสำนวนของท่านพุทธทาสที่ตัวท่านคัดลอกมาเกือบทั้งกะปิ
เอาเข้าจริง มันเป็นคำสอนที่พระองค์ประทานให้ภิกษุในบวรพุทธศาสนาและสาวกขององค์พระศาสดา
ให้มีความสามัคคีและสมานฉันท์ในการช่วยกันทบทวน ตรวจสอบ คำสอนของพระศาสดาเป็นสำคัญ
อย่าได้ไปเสียเวลาหรือให้ค่ากับคำสอนของพวกเดียรถีย์ลัทธิอื่นนอกพุทธศาสนา หาได้ปฏิเสธคำสาวกไม่
(แต่งัยจึงเตลิดนึกไกลจนหวยไปลงใส่ "สาวก" ทั้งๆที่เจ้าของสำนวนแปลบอกชัด "ความเชื่อของบุคคลภายนอก"
หรือบุคคลภายในมีแค่พระศาสดาตถาคตเท่านั้น แล้วไล่ผู้อื่นเป็นบุคคลภายนอกหมด ซึ่งมิใช่วิสัยชาวพุทธ)
ตรงกันข้ามกับให้ความสำคัญกับ "กลุ่มสาวกของพุทธศาสนาหรือพุทธบริษัทสี่" เสียด้วยซ้ำ
อันนี้คงชัดเจนผมไม่ต้องตีความแล้ว (โดยแทบไม่ต้องอิงอรรถอธิบายท้ายบรรทัดของฉบับมหาจุฬาเพิ่ม)
ยิ่งมาเจอะการแปลปฏิปุจฉาวินีตาปริสา ที่ให้สอบสวนทบทวนกันเอาเอง ผมว่า
เราคงได้เห็นแก่นของพุทธวจนนี้ชัดขึ้น เพียงแต่ผมไม่เข้าใจว่า "ทำไม" ในหนังสือพุทธวจน
จึงเลือกที่จะไม่ใส่เสริมเข้าไป (จะได้ไม่เถียงกัน) หรือหากอยากจะให้สอดคล้องตามความเชื่อเอาเอง
ของท่านคึกฤทธิ์ ก็ควรไม่เอาสำนวนแปลของท่านพุทธทาส แล้วเปลี่ยนมาอิงสำนวนอื่นๆ
ของพระไตรปิฏกสามเล่มที่ยกมาอ้าง ยังพอจะฟังให้ดูคลุมเครือ เอียงพอให้เข้าหลักการ
ที่อยากจะให้เชือว่า "ไม่ให้ฟังคำสาวก" ที่ท่านอยากให้เป็นมากกว่า
ถ้าเลือกที่น่าจะเป็นทางออกให้กับพระอาจารย์คึกฤทธิ์สำหรับความคิดผม
๑) ถ้าท่านยังยืนยันความเชื่อ "ไม่ให้ฟังคำสาวก" ท่านก็เปลี่ยนสำนวนแปล
ให้เป็นฉบับอื่นที่อ่านแล้วฟังดูคลุมเครือ โดยไม่ควรใช้ของพุทธทาสและมหาจุฬา
ที่มีเชิงอรรถอธิบายสวนทางกับความเชื่อของท่าน
๒) ก็ไม่ต้องไปเปลี่ยนแปลงสำนวนแปลในหนังสือพุทธวจน
เพราะพิมพ์เพื่อจำหน่ายไปเยอะแล้ว ไหนจะแผ่นพับสิบบัญญัติสิบประการของท่านอีก
ท่านก็อาจโบ้ยว่าการแปลเหล่านั้น ไปเพิ่มการตีความที่ผู้แปลไปอิงอรรถกถาที่ท่านไม่ให้ค่า
๓) ยอมรับความผิดพลาดโดยดุษฎี เพื่อไม่ให้ไปขัดแย้งกับพุทธวจนบัญญัติ
อาทิ คำพูดศาสดาเป็นหนึ่งไม่ขัดแย้งกัน พระองค์ตั้งสมาธิจิตก่อนเอ่ยทุกคร่า
ไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่บัญญัติเพื่อความเจริญของภิกษุทั้งหลาย ความหมายของบทพยัญชนะ
ที่ใช้ต้องถูก ย่อมมีนัยอันถูกต้องพระสัทธรรมจึงตั้งอยู่ไม่เลอะเลือนจนเสื่อมสูญ
บทและพยัญชนะเหล่านั้นสอบลงในสูตรเทียบวินัยพึงได้ และที่สำคัญ
เธออย่าได้เป็นบุรุษคนสุดท้ายของเราในความขาดสูญแห่งกัลยาณวัตร
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ท่านได้พึงสอนแก่ผู้อื่นอยู่สม่ำเสมอ
จริงๆแล้ว ผมไม่ได้มีปัญหากับพุทธวจนเพราะหลายประเด็นในหนังสือชุด ๑๔
อย่างที่หัวหนังสือบอก เปิดธรรมที่ถูกปิด ทำให้ได้รับรู้กระจ่างในเรื่องที่ไม่เคยรู้
หรือบางอย่างที่รู้แต่ไม่ค่อยมีเอ่ยกัน ให้พอได้รับทราบ (แม้แต่ข้อมูลพระไตรปิฎก
ผมก็ศึกษาเอาจาก app E-Tipitaka ที่วัดนาป่าพงจัดทำเสียด้วยซ้ำ
เพียงแต่ความพยายามเป็นอรรถกถาจารย์ของท่านเท่านั้น ที่ผมรู้สึกเคลือบแคลง
นอกจากนี้ ตถาคตยังยกย่องและให้เกียรติ์ "สาวกของตถาคต" มาก
พูดถึงในหลายพระสูตร แต่ทางหนังสือพุทธวจนทั้ง ๑๔ เล่ม
ก็ไม่เคยหยิบพิมพ์มาใส่ไว้ ซึ่งตามอ่านได้จากลิงค์ข้างใต้
http://pantip.com/topic/33031833/comment49