เมื่อสามวันก่อน ลูกสาวเดินตาแดงๆมาบอกว่า อยากคุยกับแม่ อยากปรึกษา หลังจากอาบน้ำแล้วขอคุยกับแม่หน่อยนะ
ตอนนั้นเราเพิ่งจะหย่อนก้นว่าจะนั่งทำบัญชีสักหน่อย แต่ดูจากสีหน้าลูกแล้วเราจึงรีบไปอาบน้ำ เพื่อรอที่จะคุยกับเค้า
เค้าเข้ามานั่งบีบนวดให้เราพร้อมกับเริ่มร้องไห้ ...ไอ้เราก็เฮ้ยย...เกิดอะไรขึ้น
ด้วยความปากไว เราเลยถามไปว่า “ท้องหรือลูก เเฟนทิ้ง หรือว่าเกรดตก?” ตอนที่ถาม เรามีอมยิ้มแบบล้อเล่นด้วยนะ.....
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณหลายเดือนที่แล้ว ...........
ลูกสาวเราเข้าเรียนในระดับมหาลัยเป็นเทอมแรก ตั้งแต่เล็กจนโต เค้าไม่เคยไปไกลบ้าน เค้ามีชีวิตวัยเด็กเหมือนกับเด็กที่พ่อแม่ใส่ใจมากๆทั่วไปคนนึง ที่ผ่านมาเราเลี้ยงเค้าด้วยความรักและพยายามที่จะเข้าใจถึงปัญหาต่างๆในแต่ละช่วงวัยของอายุ เรามักจะพูดคุยปรึกษากันในทุกๆเรื่อง เราให้ความสนิทสนมกับเค้ามากถึงมากที่สุด แต่เราก็มีกฏเกณฑ์และขอบเขตที่ชัดเจนอีกด้วยเช่นกัน
เริ่มเข้าเรียนในระดับมอปลาย ลูกสาวมักจะมาเล่าให้ฟังเมื่อเค้ามีความรู้สึกชอบพอเพื่อนต่างเพศคนไหน ซึ่งเราก็รับฟัง แต่ไม่เคยเห็นด้วย ซ้ำยังขอร้องว่าอย่าเพิ่งมีความรัก ชอบกันได้ แต่ห้ามเกินเลยถึงขั้นเป็นแฟน ซึ่งเค้าก็รับปากและไม่เคยคบหาใครเป็นแฟนจริงจัง (จะแอบคบหรือไม่ อันนั้นก็ไม่รู้)
เมื่อเค้าอายุครบสิบแปดปี ...ครั้งแรกในชีวิตที่ต้องจากบ้านไปอยู่หอที่มหาลัย แทบทุกวันเค้าจะโทรกลับบ้านด้วยน้ำเสียงที่หงอยเหงาบอกว่าคิดถึงบ้าน หลายครั้งเค้าเคยขอย้ายกลับมาเรียนมหาลัยไกล้บ้าน (บ้านและมหาลัยห่างกันประมาณขับรถเกือบสี่ชั่วโมง) แต่เราไม่เคยเห็นด้วย เราบอกเค้าไปว่า ตอนนี้เค้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว มันเป็นอีกช่วงเวลาของชีวิตที่เค้าจะต้องเรียนรู้ที่จะตัดสินใจทำอะไรด้วยตัวเอง โดยมีพ่อแม่เป็นแค่ที่ปรึกษา การที่ได้ออกไปอยู่นอกบ้าน มันเป็นเหมือนอีกวิชาชีวิตที่เค้าจะต้องเรียนรู้ และต้องผ่านมันไปให้ได้ ก่อนที่จะออกไปมีชีวิตเองจริงๆ
ผ่านไปสักระยะ เค้าเริ่มพูดคุยถึงเพื่อนใหม่ให้ฟัง อีกทั้งยังเกริ่นว่า ถ้าเค้ามีแฟน แม่จะว่าเค้าไหม...ตอนนั้นเราก็ อ้าว เฮ้ย!!
หลังจากนั้นไม่นาน ในเฟสบุคของลูกสาวก็เริ่มมีรูปของหนุ่มน้อยคนนึงเข้ามาเป็นระยะ แทบจะทุกรูปที่เค้าโพส จะต้องมีพ่อหนุ่มคนนี้เสนอหน้าเข้ามาทุกครั้ง และเป็นคนเดียวที่จะต้องยืนไกล้เค้าตลอด
ตอนนั้นทั้งเราและสามีก็เริ่มขุดคุ้ยแล้ว เริ่มอยากรู้ว่าพ่อหนุ่มน้อยนี่เป็นใคร มาจากไหนและทำอะไร ครอบครัวเป็นใครอยู่ที่ไหน สามีเราซึ่งเห็นเงียบๆนี่ตามกระจายเลย (ลูกสาวคนเดียว) ในเฟสบุคของเพื่อนของเพื่อนที่มีพ่อหนุ่มคนนี้เข้าไปเกี่ยวข้อง เรามุดทุกคน
ปิดเทอมย่อยครั้งแรก เราขับรถไปรับลูกสาวกลับบ้าน เค้าบอกว่ามีเพื่อนผู้ชายอยากทำความรู้จักกับเรา เราก็เฮ้ย..ไม่เอา ยังไม่อยากเจอ ไม่อยากรู้จัก เราปฏิเสธการพบเจอในครั้งนั้น โดยให้เหตุผลว่าขับรถมาไกล เหนื่อย ยังไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะทำความรู้จักกับใครทั้งนั้น (จริงๆแล้วกลัวช๊อก เพราะยังไม่ได้ทำใจมา) ตอนที่ขับรถกลับบ้าน เค้าคุยให้ฟังว่า พอเคซี (ชื่อพ่อหนุ่มน้อย) รู้ว่าแม่ไม่อยากเจอ เค้าก็หน้าหงอยไปในทันที
เช้ามืดวันที่สอง......ลูกสาวเข้ามานอนกอดแต่เช้ามืด เค้าเข้ามากระซิบเบาๆว่า เคซีกำลังจะมาบ้านเรานะแม่ ตอนนั้นเรางี้ตาสว่างเลย ในใจอดคิดไม่ได้ว่า ช่างกล้ามาก..กล้าบุกถ้ำเสือ พ่อเด็กหนุ่มนี่ท่าจะยังไม่เคยตาย! ตอนนั้นคิดแต่ว่า เอาว่ะ! เมื่อกล้ามา เราก็กล้าต้อนรับเหมือนกัน !
เราบอกให้ลูกสาวพาเพื่อนไปเจอกับเราที่ทำงาน.....และแล้วช่วงเวลาที่ไม่ได้คิดไม่ได้ฝันก็มาถึง พ่อหนุ่มน้อยลูกครึ่งเกาหลีกับฝรั่งมังค่ามายืนอยู่ตรงหน้าเรา สูงยาวเข่าดี รูปร่างหน้าตาจัดว่าใช้ได้เอามากๆ (ตอนนั้นมีแอบคิดว่า ลูกสาวเรานี่ก็ตาถึงเหมือนกันแฮะ)
สามีเราเรียกพ่อหนุ่มเข้าไปคุยในห้องทำงานกันสองคน เราเรียกสามีมากระซิบว่า เค้าอายุแค่สิบแปดเท่าลูกเรานะเธอ จำเอาไว้ว่าเค้าอายุสิบแปด!
สามีมาเล่าให้ฟังทีหลังว่า พ่อหนุ่มน้อยสั่นตั้งแต่ปากลงไปถึงขาเพราะความกลัว ประโยคแรกที่เค้าพูดก็คือ “ถ้าคุณบอกให้ผมกลับบ้าน ผมจะกลับเดี๋ยวนี้”
เราไม่รู้หรอกว่าผู้ชายเค้าคุยอะไรกันบ้าง แต่ดูจากท่าทางตอนที่ออกมาจากห้องทำงานแล้ว รู้ได้เลยว่า เด็กหนุ่มคนนี้ พ่อแม่สอนมาดี เค้ามีสัมมาคารวะต่อผู้ใหญ่มากๆคนนึง ลูกสาวเราเข้ามากอด พร้อมกับคำขอบคุณ ขอบคุณมากๆนะแม่ หนูรักแม่..........
วันนั้นเด็กๆไปปีนเขากันต่อ (พร้อมกับเพื่อนๆลูกสาวอีกกลุ่มใหญ่) กรรมของฉันแล้วไง ขับรถมาหาสาวสี่ชั่วโมง ไปปีนเขากันต่อทั้งวัน แล้วเราจะปล่อยให้ลูกชายคนอื่นขับรถกลับบ้านได้ยังไงกัน เหนื่อยขนาดนั้น ถ้ายังต้องขับรถกลับบ้าน เกิดอุบัติเหตุอะไรนขึ้นมาเราคงโทษตัวเอง.......ท้ายแล้วก็ต้องเอาไปฝากไว้กับเพื่อนชั่วคราว (เพื่อนเรามีบ้านพักให้เช่า) ไม่อยากให้พักโรงแรมเพราะเป็นห่วง และยังไม่พร้อมให้พักที่บ้าน เพราะยังทำใจไม่ได้
สองคืนกับสองวันที่เราต้องต้อนรับแขกที่ไม่ได้รับเชิญ ไม่ได้เชิญ มาเอง แต่ก็ต้องดูแล วันสุดท้าย เราเชิญมาที่บ้านพร้อมกับทำบาร์บีคิวเลี้ยง นอกจากญาติๆแล้วก็ยังเชิญเพื่อนของเด็กๆมาที่บ้าน เด็กๆสนิทกันอย่างรวดเร็ว สนุกสนานและหัวเราะกันร่วน............
ลูกสาวกลับมหาลัยพร้อมกับพ่อหนุ่มน้อย (เค้าเรียนที่เดียวกัน อายุมากกว่าลูกสาวแค่สองเดือน) หลังจากที่ได้ที่อยู่เราก็ทำการค้นหาจากอากู๋ บ้านอยู่ที่ไหน พ่อแม่ทำอะไร ครอบครัวเป็นแบบไหน ....
กลับมาเมื่อลูกสาวมาร้องไห้กับเรา............ลูกสาวบอกว่าที่ร้องไห้ก็เพราะว่าลำบากใจ ตอนนื้ทางญาติพี่น้องเริ่มรู้แล้วว่าเค้ามีแฟน (บ้านเราเป็นครอบครัวใหญ่ ญาติพี่น้องที่อยู่เมืองเดียวกันเยอะมาก) เค้าเริ่มได้ยินว่าทางญาติผู้ใหญ่เริ่มเอาไปพูด และเอาไปสอนลูกหลานคนอื่นว่า “อย่าริทำตัวเหมือนเค้า อายุแค่นี้ริมีแฟน เป็นเรื่องที่น่าอับอาย และไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง”
ลูกสาวเราร้องไห้.........เค้าบอกว่า ต่อไปจะไม่ให้แฟนมาบ้านอีกแล้ว ...........
เราดึงลูกมากอด......
เราถามลูกว่า “ หนูคิดว่าพ่อแม่รักหนูไหม ถ้าสิ่งที่หนูทำมันผิด หนูคิดว่าพ่อแม่จะห้ามปรามหนูไหม หนูรู้ไหมว่าเพราะอะไรพ่อแม่ถึงไม่ได้ว่าอะไรเมื่อรู้ว่าหนูมีแฟน เพราะหนูเป็นผู้ใหญ่แล้วไงลูก หนูอายุสิบแปดแล้ว พ่อแม่เคารพการตัดสินใจของหนู
แม่มองว่าความรักของหนุ่มสาวนั้นเป็นเรื่องของธรรมชาติ แม่ไม่ห่วงถ้าหนูจะรักใคร แต่ที่แม่ห่วงก็คือ หนูจะรักจนลืมนึกถึงอนาคตของตัวเอง มีความรักไม่ผิดหรอกลูก แต่ความรักที่ดีนั้น ต้องมาให้ถูกที่ถูกเวลาและถูกคน ...แม่ว่าหนูกับเคซีเหมาะสมกันดีนะ ต่อไปถ้ามีลูกต้องน่ารักแน่ๆเลย (เราอมยิ้ม ลูกสาวหยุดร้องไห้และฟังเราพูด) แต่หนูก็เห็นแล้วใช่ไหม ความรักในวัยเรียนนั้นมักจะจบลงที่การท้องก่อนวัยอันควร เรียนไม่จบ ต้องเป็นพ่อแม่ทั้งๆที่ยังดูแลชีวิตตัวเองยังไม่ได้ อนาคตต้องจบลงอย่างน่าเสียดาย ตรงนี้ต่างหากที่เเม่เป็นห่วง............
ลูกสาวเราหัวเราะ....มันไม่ใช่อย่างที่เเม่คิดหรอกแม่ หนูกับเคซีเรารักกัน เราช่วยติวการบ้านให้กันและกัน เราไปยิมด้วยกัน เราไปวิ่งด้วยกันบ่อยๆ เคซีเค้าเรียนเก่งมาก เค้าเรียนเก่งกว่าหนูอีกนะแม่ พ่อแม่เค้าดีกับหนูมากๆ เคซีเค้าเป็นคนดีมาก หนูมั่นใจว่าเคซีจะไม่แตะต้องหนู ถ้าหนูไม่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน (อ้าวเฮ้ย!!)
เพศสัมพันธ์นั้นเป็นเรื่องธรรมดา คนเรารักกันสักวันมันก็ต้องมี แต่แม่อยากให้หนูรู้จักการป้องกัน ไม่ว่าจะในเรื่องของการตั้งครรภ์ในวัยเรียน อีกทั้งยังโรคติดต่อ จำไว้นะลูก...ความรักจะสวยงาม เมื่อมาถูกที่และถูกเวลา ถ้าหนูพลาดพลั้ง แม่อยากให้หนูตั้งสติและปรึกษาแม่ อย่าคิดว่าพ่อแม่จะโกรธจนถึงกับต้องแอบไปทำแท้ง ...แม่คลอดหนูมาพร้อมกับความเจ็บปวด แต่มันก็เป็นความเจ็บปวดที่มาพร้อมกับความสุข ถ้าลูกของแม่ต้องเจ็บปวดพร้อมกับความทุกข์แล้วละก็ รู้ไว้นะลูก ว่าแม่จะเจ็บปวดมากกว่าหนู..............
ลูกสาวเราเข้ามากอดเราแน่น......หนูกับเคซีเราแค่รักกันมากๆ เราคิดอยากแต่งงานกันหลังจากที่เรียนจบแล้ว เรายังไม่มีอะไรเกินเลยถึงขนาดนั้นนะแม่ เอ...แต่แม่พูดแบบนี้ แสดงว่าแม่คิดว่าหนูโตพอที่จะมีเพศสัมพันธ์แล้วใช่ไหมน้า......
เราลูบผมลูกสาวพร้อมกับบอกว่า “เสียตัวมันง่ายนิดเดียวเองลูก ถ้ารักกันมากถึงขนาดนั้น ทำไมไม่เรียนรู้ที่จะทำเรื่องยากๆกันก่อนละลูก ความรักที่มาพร้อมกับการยับยั้งชั่งใจมันมีความสุขจะตาย ได้ฝันถึงกัน ได้ยิ้มเมื่อนึกถึงกัน ช่วงนี้มีความสุขที่สุดแล้ว ทำไมไม่เก็บมันไว้นานๆหล่ะลูก”
ลูกสาวปิดเทอมและกลับมาอยู่บ้านสามอาทิตย์ค่ะ เค้ามีความสุขมากที่ได้อยู่บ้าน เกือบทุกคืนเค้าจะเข้ามาบีบนวดให้เราพร้อมกับคุยเรื่องจิปาถะ บางครั้งเค้าจะเปิดกล้องคุยกับแฟน เราก็โผล่หน้าเข้าไปทักทาย พร้อมกับแซวว่า นี่เวลานวดให้แม่นะ เอาไปให้แฟนแบบนี้แม่ไม่ชอบเลย พร้อมกับแกล้งทำเป็นงอนตุ๊บป่องเดินกลับมาที่ห้อง สักพักลูกสาวก็จะเดินตามลงมาที่ห้องเรา เค้าบอกว่าแฟนบอกให้ไปนวดให้แม่ก่อน นวดนานๆเลยนะ อย่าทำให้แม่โกรธ เดี๋ยวไม่ได้เป็นแฟนกัน 55+
เห็นว่าปีใหม่นี้พ่อหนุ่มน้อยจะมาบ้านเราอีกครั้ง เค้าวางแผนกันเรียบร้อยแล้วว่าจะไปสกีด้วยกัน ไปกับเพื่อนกลุ่มใหญ่ ลูกสาวชวนเราด้วยนะ เค้าตื่นเต้นที่เราจะสโนบอร์ดกับแฟนเค้า ..........ส่วนเราตื่นเต้นมากกว่าที่จะได้ปล่อยแก่ในกลุ่มวัยรุ่น ^__^
เป็นพ่อแม่ที่เข้าใจลูกนั้นไม่ยากหรอกค่ะ ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ วัยหนุ่มสาวนั้นเป็นวัยที่เลือดร้อน ยิ่งห้ามมันก็จะเหมือนกับยิ่งยุ เราไม่ให้เค้าเจอกัน เค้าก็จะแอบไปเจอกันในที่ลับ แต่ถ้าเราเปิดใจ เค้าก็จะชวนกันไปในที่สาธารณะ มีความรักนั้นไม่ผิด แต่เด็กต้องเรียนรู้ถึงการป้องกัน เราไม่รู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้นถูกหรือผิด แต่เรารู้ว่า ลูกสาวเรามีความสุขมาก เค้าให้ความสำคัญกับความรู้สึกของครอบครัวมากๆ เค้าปรึกษาเรา กอดเราและรักเราอย่างไม่มีข้อแม้ เค้าฟังเมื่อเราพูด เค้าเชื่อในสิ่งที่เราแนะนำ........
เรามองความรักของเด็กทั้งคู่เหมือนเบลล่ากับเอ๊ดเวิร์ดนะ (ติดงอมเเงม ไปดูกับลูกสาวนี่เเหละ 55+) คือเค้าน่ารักกันมาก ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เราก็เชื่อว่าเค้ารักกันจริง มันเป็นความรักบริสุทธิ์ที่หนุ่มสาวพึงจะมีให้กัน ความรักที่ไม่มีข้อแม้ ความรักที่ไม่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน อนาคตต่อไปจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ แต่วันนี้ เรามีความสุขจริงๆค่ะ ที่ได้เห็นลูกสาวมีความสุข ...............
"ถ้ามีใครสักคน..รักลูกของเเม่ได้สักครึ่งที่เเม่รัก เเม่ก็พร้อมที่จะเปิดใจ รับลูกชายเพิ่มอีกคน"
รับมือยังไง "เมื่อลูกสาววัย 18 ปี มีเเฟน"
ตอนนั้นเราเพิ่งจะหย่อนก้นว่าจะนั่งทำบัญชีสักหน่อย แต่ดูจากสีหน้าลูกแล้วเราจึงรีบไปอาบน้ำ เพื่อรอที่จะคุยกับเค้า
เค้าเข้ามานั่งบีบนวดให้เราพร้อมกับเริ่มร้องไห้ ...ไอ้เราก็เฮ้ยย...เกิดอะไรขึ้น
ด้วยความปากไว เราเลยถามไปว่า “ท้องหรือลูก เเฟนทิ้ง หรือว่าเกรดตก?” ตอนที่ถาม เรามีอมยิ้มแบบล้อเล่นด้วยนะ.....
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณหลายเดือนที่แล้ว ...........
ลูกสาวเราเข้าเรียนในระดับมหาลัยเป็นเทอมแรก ตั้งแต่เล็กจนโต เค้าไม่เคยไปไกลบ้าน เค้ามีชีวิตวัยเด็กเหมือนกับเด็กที่พ่อแม่ใส่ใจมากๆทั่วไปคนนึง ที่ผ่านมาเราเลี้ยงเค้าด้วยความรักและพยายามที่จะเข้าใจถึงปัญหาต่างๆในแต่ละช่วงวัยของอายุ เรามักจะพูดคุยปรึกษากันในทุกๆเรื่อง เราให้ความสนิทสนมกับเค้ามากถึงมากที่สุด แต่เราก็มีกฏเกณฑ์และขอบเขตที่ชัดเจนอีกด้วยเช่นกัน
เริ่มเข้าเรียนในระดับมอปลาย ลูกสาวมักจะมาเล่าให้ฟังเมื่อเค้ามีความรู้สึกชอบพอเพื่อนต่างเพศคนไหน ซึ่งเราก็รับฟัง แต่ไม่เคยเห็นด้วย ซ้ำยังขอร้องว่าอย่าเพิ่งมีความรัก ชอบกันได้ แต่ห้ามเกินเลยถึงขั้นเป็นแฟน ซึ่งเค้าก็รับปากและไม่เคยคบหาใครเป็นแฟนจริงจัง (จะแอบคบหรือไม่ อันนั้นก็ไม่รู้)
เมื่อเค้าอายุครบสิบแปดปี ...ครั้งแรกในชีวิตที่ต้องจากบ้านไปอยู่หอที่มหาลัย แทบทุกวันเค้าจะโทรกลับบ้านด้วยน้ำเสียงที่หงอยเหงาบอกว่าคิดถึงบ้าน หลายครั้งเค้าเคยขอย้ายกลับมาเรียนมหาลัยไกล้บ้าน (บ้านและมหาลัยห่างกันประมาณขับรถเกือบสี่ชั่วโมง) แต่เราไม่เคยเห็นด้วย เราบอกเค้าไปว่า ตอนนี้เค้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว มันเป็นอีกช่วงเวลาของชีวิตที่เค้าจะต้องเรียนรู้ที่จะตัดสินใจทำอะไรด้วยตัวเอง โดยมีพ่อแม่เป็นแค่ที่ปรึกษา การที่ได้ออกไปอยู่นอกบ้าน มันเป็นเหมือนอีกวิชาชีวิตที่เค้าจะต้องเรียนรู้ และต้องผ่านมันไปให้ได้ ก่อนที่จะออกไปมีชีวิตเองจริงๆ
ผ่านไปสักระยะ เค้าเริ่มพูดคุยถึงเพื่อนใหม่ให้ฟัง อีกทั้งยังเกริ่นว่า ถ้าเค้ามีแฟน แม่จะว่าเค้าไหม...ตอนนั้นเราก็ อ้าว เฮ้ย!!
หลังจากนั้นไม่นาน ในเฟสบุคของลูกสาวก็เริ่มมีรูปของหนุ่มน้อยคนนึงเข้ามาเป็นระยะ แทบจะทุกรูปที่เค้าโพส จะต้องมีพ่อหนุ่มคนนี้เสนอหน้าเข้ามาทุกครั้ง และเป็นคนเดียวที่จะต้องยืนไกล้เค้าตลอด
ตอนนั้นทั้งเราและสามีก็เริ่มขุดคุ้ยแล้ว เริ่มอยากรู้ว่าพ่อหนุ่มน้อยนี่เป็นใคร มาจากไหนและทำอะไร ครอบครัวเป็นใครอยู่ที่ไหน สามีเราซึ่งเห็นเงียบๆนี่ตามกระจายเลย (ลูกสาวคนเดียว) ในเฟสบุคของเพื่อนของเพื่อนที่มีพ่อหนุ่มคนนี้เข้าไปเกี่ยวข้อง เรามุดทุกคน
ปิดเทอมย่อยครั้งแรก เราขับรถไปรับลูกสาวกลับบ้าน เค้าบอกว่ามีเพื่อนผู้ชายอยากทำความรู้จักกับเรา เราก็เฮ้ย..ไม่เอา ยังไม่อยากเจอ ไม่อยากรู้จัก เราปฏิเสธการพบเจอในครั้งนั้น โดยให้เหตุผลว่าขับรถมาไกล เหนื่อย ยังไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะทำความรู้จักกับใครทั้งนั้น (จริงๆแล้วกลัวช๊อก เพราะยังไม่ได้ทำใจมา) ตอนที่ขับรถกลับบ้าน เค้าคุยให้ฟังว่า พอเคซี (ชื่อพ่อหนุ่มน้อย) รู้ว่าแม่ไม่อยากเจอ เค้าก็หน้าหงอยไปในทันที
เช้ามืดวันที่สอง......ลูกสาวเข้ามานอนกอดแต่เช้ามืด เค้าเข้ามากระซิบเบาๆว่า เคซีกำลังจะมาบ้านเรานะแม่ ตอนนั้นเรางี้ตาสว่างเลย ในใจอดคิดไม่ได้ว่า ช่างกล้ามาก..กล้าบุกถ้ำเสือ พ่อเด็กหนุ่มนี่ท่าจะยังไม่เคยตาย! ตอนนั้นคิดแต่ว่า เอาว่ะ! เมื่อกล้ามา เราก็กล้าต้อนรับเหมือนกัน !
เราบอกให้ลูกสาวพาเพื่อนไปเจอกับเราที่ทำงาน.....และแล้วช่วงเวลาที่ไม่ได้คิดไม่ได้ฝันก็มาถึง พ่อหนุ่มน้อยลูกครึ่งเกาหลีกับฝรั่งมังค่ามายืนอยู่ตรงหน้าเรา สูงยาวเข่าดี รูปร่างหน้าตาจัดว่าใช้ได้เอามากๆ (ตอนนั้นมีแอบคิดว่า ลูกสาวเรานี่ก็ตาถึงเหมือนกันแฮะ)
สามีเราเรียกพ่อหนุ่มเข้าไปคุยในห้องทำงานกันสองคน เราเรียกสามีมากระซิบว่า เค้าอายุแค่สิบแปดเท่าลูกเรานะเธอ จำเอาไว้ว่าเค้าอายุสิบแปด!
สามีมาเล่าให้ฟังทีหลังว่า พ่อหนุ่มน้อยสั่นตั้งแต่ปากลงไปถึงขาเพราะความกลัว ประโยคแรกที่เค้าพูดก็คือ “ถ้าคุณบอกให้ผมกลับบ้าน ผมจะกลับเดี๋ยวนี้”
เราไม่รู้หรอกว่าผู้ชายเค้าคุยอะไรกันบ้าง แต่ดูจากท่าทางตอนที่ออกมาจากห้องทำงานแล้ว รู้ได้เลยว่า เด็กหนุ่มคนนี้ พ่อแม่สอนมาดี เค้ามีสัมมาคารวะต่อผู้ใหญ่มากๆคนนึง ลูกสาวเราเข้ามากอด พร้อมกับคำขอบคุณ ขอบคุณมากๆนะแม่ หนูรักแม่..........
วันนั้นเด็กๆไปปีนเขากันต่อ (พร้อมกับเพื่อนๆลูกสาวอีกกลุ่มใหญ่) กรรมของฉันแล้วไง ขับรถมาหาสาวสี่ชั่วโมง ไปปีนเขากันต่อทั้งวัน แล้วเราจะปล่อยให้ลูกชายคนอื่นขับรถกลับบ้านได้ยังไงกัน เหนื่อยขนาดนั้น ถ้ายังต้องขับรถกลับบ้าน เกิดอุบัติเหตุอะไรนขึ้นมาเราคงโทษตัวเอง.......ท้ายแล้วก็ต้องเอาไปฝากไว้กับเพื่อนชั่วคราว (เพื่อนเรามีบ้านพักให้เช่า) ไม่อยากให้พักโรงแรมเพราะเป็นห่วง และยังไม่พร้อมให้พักที่บ้าน เพราะยังทำใจไม่ได้
สองคืนกับสองวันที่เราต้องต้อนรับแขกที่ไม่ได้รับเชิญ ไม่ได้เชิญ มาเอง แต่ก็ต้องดูแล วันสุดท้าย เราเชิญมาที่บ้านพร้อมกับทำบาร์บีคิวเลี้ยง นอกจากญาติๆแล้วก็ยังเชิญเพื่อนของเด็กๆมาที่บ้าน เด็กๆสนิทกันอย่างรวดเร็ว สนุกสนานและหัวเราะกันร่วน............
ลูกสาวกลับมหาลัยพร้อมกับพ่อหนุ่มน้อย (เค้าเรียนที่เดียวกัน อายุมากกว่าลูกสาวแค่สองเดือน) หลังจากที่ได้ที่อยู่เราก็ทำการค้นหาจากอากู๋ บ้านอยู่ที่ไหน พ่อแม่ทำอะไร ครอบครัวเป็นแบบไหน ....
กลับมาเมื่อลูกสาวมาร้องไห้กับเรา............ลูกสาวบอกว่าที่ร้องไห้ก็เพราะว่าลำบากใจ ตอนนื้ทางญาติพี่น้องเริ่มรู้แล้วว่าเค้ามีแฟน (บ้านเราเป็นครอบครัวใหญ่ ญาติพี่น้องที่อยู่เมืองเดียวกันเยอะมาก) เค้าเริ่มได้ยินว่าทางญาติผู้ใหญ่เริ่มเอาไปพูด และเอาไปสอนลูกหลานคนอื่นว่า “อย่าริทำตัวเหมือนเค้า อายุแค่นี้ริมีแฟน เป็นเรื่องที่น่าอับอาย และไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง”
ลูกสาวเราร้องไห้.........เค้าบอกว่า ต่อไปจะไม่ให้แฟนมาบ้านอีกแล้ว ...........
เราดึงลูกมากอด......
เราถามลูกว่า “ หนูคิดว่าพ่อแม่รักหนูไหม ถ้าสิ่งที่หนูทำมันผิด หนูคิดว่าพ่อแม่จะห้ามปรามหนูไหม หนูรู้ไหมว่าเพราะอะไรพ่อแม่ถึงไม่ได้ว่าอะไรเมื่อรู้ว่าหนูมีแฟน เพราะหนูเป็นผู้ใหญ่แล้วไงลูก หนูอายุสิบแปดแล้ว พ่อแม่เคารพการตัดสินใจของหนู
แม่มองว่าความรักของหนุ่มสาวนั้นเป็นเรื่องของธรรมชาติ แม่ไม่ห่วงถ้าหนูจะรักใคร แต่ที่แม่ห่วงก็คือ หนูจะรักจนลืมนึกถึงอนาคตของตัวเอง มีความรักไม่ผิดหรอกลูก แต่ความรักที่ดีนั้น ต้องมาให้ถูกที่ถูกเวลาและถูกคน ...แม่ว่าหนูกับเคซีเหมาะสมกันดีนะ ต่อไปถ้ามีลูกต้องน่ารักแน่ๆเลย (เราอมยิ้ม ลูกสาวหยุดร้องไห้และฟังเราพูด) แต่หนูก็เห็นแล้วใช่ไหม ความรักในวัยเรียนนั้นมักจะจบลงที่การท้องก่อนวัยอันควร เรียนไม่จบ ต้องเป็นพ่อแม่ทั้งๆที่ยังดูแลชีวิตตัวเองยังไม่ได้ อนาคตต้องจบลงอย่างน่าเสียดาย ตรงนี้ต่างหากที่เเม่เป็นห่วง............
ลูกสาวเราหัวเราะ....มันไม่ใช่อย่างที่เเม่คิดหรอกแม่ หนูกับเคซีเรารักกัน เราช่วยติวการบ้านให้กันและกัน เราไปยิมด้วยกัน เราไปวิ่งด้วยกันบ่อยๆ เคซีเค้าเรียนเก่งมาก เค้าเรียนเก่งกว่าหนูอีกนะแม่ พ่อแม่เค้าดีกับหนูมากๆ เคซีเค้าเป็นคนดีมาก หนูมั่นใจว่าเคซีจะไม่แตะต้องหนู ถ้าหนูไม่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน (อ้าวเฮ้ย!!)
เพศสัมพันธ์นั้นเป็นเรื่องธรรมดา คนเรารักกันสักวันมันก็ต้องมี แต่แม่อยากให้หนูรู้จักการป้องกัน ไม่ว่าจะในเรื่องของการตั้งครรภ์ในวัยเรียน อีกทั้งยังโรคติดต่อ จำไว้นะลูก...ความรักจะสวยงาม เมื่อมาถูกที่และถูกเวลา ถ้าหนูพลาดพลั้ง แม่อยากให้หนูตั้งสติและปรึกษาแม่ อย่าคิดว่าพ่อแม่จะโกรธจนถึงกับต้องแอบไปทำแท้ง ...แม่คลอดหนูมาพร้อมกับความเจ็บปวด แต่มันก็เป็นความเจ็บปวดที่มาพร้อมกับความสุข ถ้าลูกของแม่ต้องเจ็บปวดพร้อมกับความทุกข์แล้วละก็ รู้ไว้นะลูก ว่าแม่จะเจ็บปวดมากกว่าหนู..............
ลูกสาวเราเข้ามากอดเราแน่น......หนูกับเคซีเราแค่รักกันมากๆ เราคิดอยากแต่งงานกันหลังจากที่เรียนจบแล้ว เรายังไม่มีอะไรเกินเลยถึงขนาดนั้นนะแม่ เอ...แต่แม่พูดแบบนี้ แสดงว่าแม่คิดว่าหนูโตพอที่จะมีเพศสัมพันธ์แล้วใช่ไหมน้า......
เราลูบผมลูกสาวพร้อมกับบอกว่า “เสียตัวมันง่ายนิดเดียวเองลูก ถ้ารักกันมากถึงขนาดนั้น ทำไมไม่เรียนรู้ที่จะทำเรื่องยากๆกันก่อนละลูก ความรักที่มาพร้อมกับการยับยั้งชั่งใจมันมีความสุขจะตาย ได้ฝันถึงกัน ได้ยิ้มเมื่อนึกถึงกัน ช่วงนี้มีความสุขที่สุดแล้ว ทำไมไม่เก็บมันไว้นานๆหล่ะลูก”
ลูกสาวปิดเทอมและกลับมาอยู่บ้านสามอาทิตย์ค่ะ เค้ามีความสุขมากที่ได้อยู่บ้าน เกือบทุกคืนเค้าจะเข้ามาบีบนวดให้เราพร้อมกับคุยเรื่องจิปาถะ บางครั้งเค้าจะเปิดกล้องคุยกับแฟน เราก็โผล่หน้าเข้าไปทักทาย พร้อมกับแซวว่า นี่เวลานวดให้แม่นะ เอาไปให้แฟนแบบนี้แม่ไม่ชอบเลย พร้อมกับแกล้งทำเป็นงอนตุ๊บป่องเดินกลับมาที่ห้อง สักพักลูกสาวก็จะเดินตามลงมาที่ห้องเรา เค้าบอกว่าแฟนบอกให้ไปนวดให้แม่ก่อน นวดนานๆเลยนะ อย่าทำให้แม่โกรธ เดี๋ยวไม่ได้เป็นแฟนกัน 55+
เห็นว่าปีใหม่นี้พ่อหนุ่มน้อยจะมาบ้านเราอีกครั้ง เค้าวางแผนกันเรียบร้อยแล้วว่าจะไปสกีด้วยกัน ไปกับเพื่อนกลุ่มใหญ่ ลูกสาวชวนเราด้วยนะ เค้าตื่นเต้นที่เราจะสโนบอร์ดกับแฟนเค้า ..........ส่วนเราตื่นเต้นมากกว่าที่จะได้ปล่อยแก่ในกลุ่มวัยรุ่น ^__^
เป็นพ่อแม่ที่เข้าใจลูกนั้นไม่ยากหรอกค่ะ ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ วัยหนุ่มสาวนั้นเป็นวัยที่เลือดร้อน ยิ่งห้ามมันก็จะเหมือนกับยิ่งยุ เราไม่ให้เค้าเจอกัน เค้าก็จะแอบไปเจอกันในที่ลับ แต่ถ้าเราเปิดใจ เค้าก็จะชวนกันไปในที่สาธารณะ มีความรักนั้นไม่ผิด แต่เด็กต้องเรียนรู้ถึงการป้องกัน เราไม่รู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้นถูกหรือผิด แต่เรารู้ว่า ลูกสาวเรามีความสุขมาก เค้าให้ความสำคัญกับความรู้สึกของครอบครัวมากๆ เค้าปรึกษาเรา กอดเราและรักเราอย่างไม่มีข้อแม้ เค้าฟังเมื่อเราพูด เค้าเชื่อในสิ่งที่เราแนะนำ........
เรามองความรักของเด็กทั้งคู่เหมือนเบลล่ากับเอ๊ดเวิร์ดนะ (ติดงอมเเงม ไปดูกับลูกสาวนี่เเหละ 55+) คือเค้าน่ารักกันมาก ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เราก็เชื่อว่าเค้ารักกันจริง มันเป็นความรักบริสุทธิ์ที่หนุ่มสาวพึงจะมีให้กัน ความรักที่ไม่มีข้อแม้ ความรักที่ไม่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน อนาคตต่อไปจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ แต่วันนี้ เรามีความสุขจริงๆค่ะ ที่ได้เห็นลูกสาวมีความสุข ...............
"ถ้ามีใครสักคน..รักลูกของเเม่ได้สักครึ่งที่เเม่รัก เเม่ก็พร้อมที่จะเปิดใจ รับลูกชายเพิ่มอีกคน"