บ้านเราอยู่ที่ อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา
วันนั้นเรากำลังจัดงานกีฬาสีอยู่ที่โรงเรียน มีโทรศัพท์จากญาติของเพื่อนโทรมาบอกว่าน้ำท่วมที่ "เขาหลัก"
เรากับเพื่อนก็หัวเราะ ว่าจะท่วมได้ยังไง ฝนก็ไม่ตก ก็ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร (ตอนนั้นเราเรียนอยู่ ม.4)
แต่ก็แยกย้ายกันกลับบ้านเพราะครูบอกให้กลับ
เราขับมอไซด์กลับมาถึงบ้าน เราพบว่าพ่อเราไม่อยู่ แม่บอกกับพ่อไปตามหาคุณย่าและน้องชาย (คุณย่ามีลูกชายหลายคน โดยน้องชายพ่อเป็น อบต.บ้านน้ำเค็ม ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวประมง ที่โดนสึนามิหนักที่สุด) อารมณ์เราเปลี่ยนทันที เราเป็นห่วงพ่อมาก จนตัดสินใจตามพ่อไป โดยมีลูกพี่ลูกน้องเราอีกคนหนึ่งไปด้วย โดยขับมอไซด์ไป
เราขับรถจากบ้านระยะทางประมาน 10 กิโลเมตร ไปถึงปากทางเข้าซอยหมู่บ้านน้ำเค็ม เราพบว่ามีชาวบ้านออกมาอยู่บนถนนเยอะมากๆ ทุกๆคนกำลังหนีออกมาจากหมู่บ้านหลายๆคนเดินเท้าออกมา ถึงตอนนี้เรายังไม่เจอพ่อเรา แต่เราก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปตามพ่อในหมู่บ้าน เพราะเราไม่เห็นใครเลยที่เดินทางเข้าในหมู่บ้าน ยกเว้นทีมกู้ภัย
พี่ที่ไปด้วยกันเลยชวนเราไปดูที่ "เขาหลัก" ว่าจะเป็นยังไงบ้าง ด้วยความอยากรู้ของเรา เราเลยตอบตกลง เรา2คนขับรถไปอีก 6-7 กิโลเมตร ไปถึง "หาดบางสัก" (ห่างจากเขาหลักประมาน 20กม.) เราไปต่อไม่ได้ ถนนถูกตัดขาด เสาไฟฟ้าและต้นไม้ใหญ่ ล้มอยู่เต็มถนน ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เรา2คน เลยตัดสินใจเดินเท้า ระหว่างทางที่เดินเข้าไป เราเจอปลาตัวใหญ่มาก ใหญ่พอๆกับทีวี 32 นิ้ว นอนตายอยู่บนถนนสภาพเหมือนพึ่งตายไม่นานนัก ถ้าเอาไปขายคงได้เงินพอสมควร แต่ในสมองเราตอนนั้นไม่สนใจเลยสักนิด ปลาตัวนั้นไม่มีค่าเลยสักบาท เราสนใจแค่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับที่นี่
หลังจากที่เราเดินเข้าไปได้สักพัก มีเสียงตะโกนมาจากด้านหน้าว่ามีคลื่นมาอีกรอบ เรากับพี่รีบหันลังกลับวิ่งหนีกันชุลมุนขึ้นมอไซด์ แล้วรีบบิดกลับบ้านทันที พอมาถึงบ้าน ผ่านไปซักพัก เราถึงมารู้ว่าเราโดนหลอก เราไม่รู้ว่าคนที่ตะโกนคนแรกคือใคร และต้องการอะไร ทำเพื่อความสนุก รึป่าว
หลังจากกลับมาบ้าน ญาติๆเรารวมตัวกันอยู่ที่บ้านเปิดทีวีดูรายงานข่าว เราเจอพ่อเรากลับมาที่บ้านและพาคุณย่ากลับมาด้วย
เราเห็นคุณอย่าเรากลัวมาก คุณย่าเองก็โดนคลื่นซัดด้วยเหมือนกัน คุณย่าเล่าทั้งน้ำตาว่าท่านรอดมาได้เพราะ ตอนคลื่นลูกแรกซัดมาคุณน้าอุ้มให้ยืนบนโต๊ะ แล้วน้ำก็พัดท่านไปติดกับเสาบ้าน คุณย่าก็กอดเสาบ้านจนคุณน้ามาช่วย แล้วพาขึ้นรถหนีออกมาได้ ส่วนคุณน้าลืมของไว้ที่บ้านก็เลยวิ่งกลับเข้าไปอีกรอบ ประจวบกับคลื่นลูกที่2มาพอดี(คลื่นลูกที่2คือลูกที่ใหญ่ที่สุด) และนั่นคือครั้งสุดท้ายที่คุณย่าเราได้เห็นคุณน้า
จากนั้นๆ พี่ๆและน้าๆเลยชวนกันไปดูสถานที่เกิดเหตุที่ "เขาหลัก" เราก็ไปด้วย ซึ่งนี่เป็นรอบที่ 2 ของเรา แต่รอบนี้ไปด้วยรถกระบะ และไปด้วยกันประมาน 5-6 คน โดยเรานั่งกระบะหลัง เมื่อมาถึง "หาดบางสัก" พวกเราพบว่าถนนสามารถเอารถยนต์เข้าไปได้ (รถ4X4) โดยมีรถขับตามหลังมาอีกสองสามคัน หลังจากขับไปได้สักพัก ก็มีรถมูลนิธิพูดผ่านโทรโข่งเสียงดังมาจากด้านหน้าว่า ตอนนี้มีคลื่นมาอีกลูกให้ออกไปจากพื้นที่ทันที ในตอนนั้นเอง รถทุกคันกลับหลังหัน แล้วหนีกันสุดชีวิต เราเข้าใจถึงความรู้สึกคนที่หนีคลื่นตอนที่เกิดเหตุขึ้นมาได้ทันที จนในที่สุดทุกคนก็ถึงบ้าน และมาพบว่า นี่เป็นอีกครั้งที่โดนหลอก (จนถึงวันนี้เราก็ไม่รู้วัตถุประสงค์ว่า เขาเหล่านั้นต้องการอะไร ต้องการเคลียรเส้นทางให้สันจรและทำงานง่ายขึ้น หรือทำด้วยความคึกคะนอง)
ในวันนี้เองเราเริ่มรู้สึกได้ถึงความสูญเสีย เราได้รับมอบหมายให้ตามหาญาติๆที่ยังตามหาตัวไม่เจอ โดยให้ไปดูตามโรงพยาบาลต่างๆและที่วัด
ในตอนนั้นเรารู้สึกได้ถึงความสูญเสียเราร้องไห้ด้วยความกลัว จนกระทั่งเราไปถึงโรงพยาบาล เราได้พบกับน้าชาย(น้องชายอีกคนของพ่อ) ภาพแรกที่เราเห็นคือ แกนั่งร้องไห้อยู่บนรถเข็นคนเดียวที่โรงพยาบาล ขาขวาเป็นแผลเหมือนถูกของมีคมปาดเนื้อหายไป แผลใหญ่มาก แกเล่าให้ฟังว่าแกอยู่ที่ร้านขายส้มตำของเมียที่ "บ้านทุงละออง" แกบอกว่าแกเห็นคลื่นมาแต่ไกล แต่ก็หนีไม่ทัน แกบอกว่าก่อนจะโดนคลื่นซัด แกกับเมียและลูกกอดกันกลม แต่พอโดนคลื่นซัด ก็หายไปคนทิศละทาง น้าชายขอร้องให้เราตามหาลูกคนเล็กและเมีย เพราะแกเดินไม่ได้ เราเลยออกตามหาให้ทันที เราใช้เวลาตามหาตลอดช่วงเย็นแต่ก็ไม่เจอ จนกระทั่งถึงตอนค่ำ แม่เราโทรมาบอกเจอศพลูกและเมียของน้าชายแล้ว เราเลยรีบไปที่ "วัดบางม่วง" และพบว่าเป็นศพของหลานและเมียน้าเราจริงๆ โดยมีญาติๆเรายืนร้องไห้อยู่ เราถูกขอร้องให้ช่วยอุมศพของทั้ง2คนใส่โลงศพ เพราะตอนนั้นมีเราเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่อยู่ที่นั่น และนั่นเป็นครั้งแรกที่เราได้สัมผัสกับคนตายเป็นครั้งแรก ตัวของหลานเราเย็นเฉียบ เราน้ำตาซึม เราไม่เคยคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับคนใกล้ตัวของเรา คืนนั้นเราเลยนอนเฝ้าศพที่ศาลา จนกระทั่งคืนนั้นผ่านไป วันที่ 2เราเปลี่ยนเวรกับน้าเพื่อจะกลับไปอาบน้ำที่บ้าน และกลับมาที่วัดอีกครั้ง เราพบว่าศพถูกขนมาเรียงไว้ตามพื้นในวัดเต็มไปหมด และเพิ่มจำนวนเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนเต็มพื้นที่ จากนั้นเราก็ช่วยพ่อออกตามหาน้าอีกคน ที่พ่อตามหาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่3แล้วก็ยังตามหาไม่เจอ เรากับน้องสาวจึงตัดสินใจไปหากันที่วัด "ย่านยาว" ซึ่งตอนนั้นถูกใช้เป็นศูนย์บัญชาการของทีมช่วยเหลือ จนเราได้พบกับศพๆนึง ที่คล้ายกับน้าเรามาก (ภาพตอนนั้นคือศพนอนเรียงกันเป็นแถว หากนึกไม่ออกให้ลองดูภาพประมานสปอยด้านล่าง)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
จากนั้นพ่อเราก็มารับศพ และพบว่าเป็นศพของน้าจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เราเห็นพ่อเราร้องไห้ต่อหน้า มันทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดและรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดของพ่อถึงที่สุด เราอยู่ที่วัดเป็นประมานเวลา 5 วันจนทำพิธีศพเสร็จก็กลับบ้าน
จากเหตุการณ์นี้ เราสูญเสียญาติไปมากกว่า 10 คน
และคนรู้จักอีกหลายคน
หลังจากคลื่นผ่านไป10ปี จนถึงวันนี้
สึนามิสอนให้เรารู้ว่า ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ
ปล.สิ่งที่เลวร้ายที่สุดในเหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่คลื่นยักษ์ แต่กลับเป็นคนไทยด้วยกัน
พ่อเล่าให้ฟังว่าตอนที่พบศพของน้า มีคนอ้างตัวเป็นตำรวจ บอกว่าต้องการเก็บหลักฐานทั้งหมดเกี่ยวกับผู้ตายไว้ก่อน เพื่อป้องกันการสลับกันของศพ นั่นหมายถึงสร้อยทองคำหนักเกือบห้าบาทที่ห้อยคออยู่ที่ศพด้วย โดยอ้างว่าจะคืนให้ภายหลัง และให้ชื่อกับเบอร์โทรศัพท์ไว้ แต่หลังจากนั้น พ่อเราก็ไม่สามารถติดต่อชายคนนั้นได้อีกเลย
10 ปีสึนามิ ที่เราไม่อาจลืม
วันนั้นเรากำลังจัดงานกีฬาสีอยู่ที่โรงเรียน มีโทรศัพท์จากญาติของเพื่อนโทรมาบอกว่าน้ำท่วมที่ "เขาหลัก"
เรากับเพื่อนก็หัวเราะ ว่าจะท่วมได้ยังไง ฝนก็ไม่ตก ก็ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร (ตอนนั้นเราเรียนอยู่ ม.4)
แต่ก็แยกย้ายกันกลับบ้านเพราะครูบอกให้กลับ
เราขับมอไซด์กลับมาถึงบ้าน เราพบว่าพ่อเราไม่อยู่ แม่บอกกับพ่อไปตามหาคุณย่าและน้องชาย (คุณย่ามีลูกชายหลายคน โดยน้องชายพ่อเป็น อบต.บ้านน้ำเค็ม ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวประมง ที่โดนสึนามิหนักที่สุด) อารมณ์เราเปลี่ยนทันที เราเป็นห่วงพ่อมาก จนตัดสินใจตามพ่อไป โดยมีลูกพี่ลูกน้องเราอีกคนหนึ่งไปด้วย โดยขับมอไซด์ไป
เราขับรถจากบ้านระยะทางประมาน 10 กิโลเมตร ไปถึงปากทางเข้าซอยหมู่บ้านน้ำเค็ม เราพบว่ามีชาวบ้านออกมาอยู่บนถนนเยอะมากๆ ทุกๆคนกำลังหนีออกมาจากหมู่บ้านหลายๆคนเดินเท้าออกมา ถึงตอนนี้เรายังไม่เจอพ่อเรา แต่เราก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปตามพ่อในหมู่บ้าน เพราะเราไม่เห็นใครเลยที่เดินทางเข้าในหมู่บ้าน ยกเว้นทีมกู้ภัย
พี่ที่ไปด้วยกันเลยชวนเราไปดูที่ "เขาหลัก" ว่าจะเป็นยังไงบ้าง ด้วยความอยากรู้ของเรา เราเลยตอบตกลง เรา2คนขับรถไปอีก 6-7 กิโลเมตร ไปถึง "หาดบางสัก" (ห่างจากเขาหลักประมาน 20กม.) เราไปต่อไม่ได้ ถนนถูกตัดขาด เสาไฟฟ้าและต้นไม้ใหญ่ ล้มอยู่เต็มถนน ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เรา2คน เลยตัดสินใจเดินเท้า ระหว่างทางที่เดินเข้าไป เราเจอปลาตัวใหญ่มาก ใหญ่พอๆกับทีวี 32 นิ้ว นอนตายอยู่บนถนนสภาพเหมือนพึ่งตายไม่นานนัก ถ้าเอาไปขายคงได้เงินพอสมควร แต่ในสมองเราตอนนั้นไม่สนใจเลยสักนิด ปลาตัวนั้นไม่มีค่าเลยสักบาท เราสนใจแค่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับที่นี่
หลังจากที่เราเดินเข้าไปได้สักพัก มีเสียงตะโกนมาจากด้านหน้าว่ามีคลื่นมาอีกรอบ เรากับพี่รีบหันลังกลับวิ่งหนีกันชุลมุนขึ้นมอไซด์ แล้วรีบบิดกลับบ้านทันที พอมาถึงบ้าน ผ่านไปซักพัก เราถึงมารู้ว่าเราโดนหลอก เราไม่รู้ว่าคนที่ตะโกนคนแรกคือใคร และต้องการอะไร ทำเพื่อความสนุก รึป่าว
หลังจากกลับมาบ้าน ญาติๆเรารวมตัวกันอยู่ที่บ้านเปิดทีวีดูรายงานข่าว เราเจอพ่อเรากลับมาที่บ้านและพาคุณย่ากลับมาด้วย
เราเห็นคุณอย่าเรากลัวมาก คุณย่าเองก็โดนคลื่นซัดด้วยเหมือนกัน คุณย่าเล่าทั้งน้ำตาว่าท่านรอดมาได้เพราะ ตอนคลื่นลูกแรกซัดมาคุณน้าอุ้มให้ยืนบนโต๊ะ แล้วน้ำก็พัดท่านไปติดกับเสาบ้าน คุณย่าก็กอดเสาบ้านจนคุณน้ามาช่วย แล้วพาขึ้นรถหนีออกมาได้ ส่วนคุณน้าลืมของไว้ที่บ้านก็เลยวิ่งกลับเข้าไปอีกรอบ ประจวบกับคลื่นลูกที่2มาพอดี(คลื่นลูกที่2คือลูกที่ใหญ่ที่สุด) และนั่นคือครั้งสุดท้ายที่คุณย่าเราได้เห็นคุณน้า
จากนั้นๆ พี่ๆและน้าๆเลยชวนกันไปดูสถานที่เกิดเหตุที่ "เขาหลัก" เราก็ไปด้วย ซึ่งนี่เป็นรอบที่ 2 ของเรา แต่รอบนี้ไปด้วยรถกระบะ และไปด้วยกันประมาน 5-6 คน โดยเรานั่งกระบะหลัง เมื่อมาถึง "หาดบางสัก" พวกเราพบว่าถนนสามารถเอารถยนต์เข้าไปได้ (รถ4X4) โดยมีรถขับตามหลังมาอีกสองสามคัน หลังจากขับไปได้สักพัก ก็มีรถมูลนิธิพูดผ่านโทรโข่งเสียงดังมาจากด้านหน้าว่า ตอนนี้มีคลื่นมาอีกลูกให้ออกไปจากพื้นที่ทันที ในตอนนั้นเอง รถทุกคันกลับหลังหัน แล้วหนีกันสุดชีวิต เราเข้าใจถึงความรู้สึกคนที่หนีคลื่นตอนที่เกิดเหตุขึ้นมาได้ทันที จนในที่สุดทุกคนก็ถึงบ้าน และมาพบว่า นี่เป็นอีกครั้งที่โดนหลอก (จนถึงวันนี้เราก็ไม่รู้วัตถุประสงค์ว่า เขาเหล่านั้นต้องการอะไร ต้องการเคลียรเส้นทางให้สันจรและทำงานง่ายขึ้น หรือทำด้วยความคึกคะนอง)
ในวันนี้เองเราเริ่มรู้สึกได้ถึงความสูญเสีย เราได้รับมอบหมายให้ตามหาญาติๆที่ยังตามหาตัวไม่เจอ โดยให้ไปดูตามโรงพยาบาลต่างๆและที่วัด
ในตอนนั้นเรารู้สึกได้ถึงความสูญเสียเราร้องไห้ด้วยความกลัว จนกระทั่งเราไปถึงโรงพยาบาล เราได้พบกับน้าชาย(น้องชายอีกคนของพ่อ) ภาพแรกที่เราเห็นคือ แกนั่งร้องไห้อยู่บนรถเข็นคนเดียวที่โรงพยาบาล ขาขวาเป็นแผลเหมือนถูกของมีคมปาดเนื้อหายไป แผลใหญ่มาก แกเล่าให้ฟังว่าแกอยู่ที่ร้านขายส้มตำของเมียที่ "บ้านทุงละออง" แกบอกว่าแกเห็นคลื่นมาแต่ไกล แต่ก็หนีไม่ทัน แกบอกว่าก่อนจะโดนคลื่นซัด แกกับเมียและลูกกอดกันกลม แต่พอโดนคลื่นซัด ก็หายไปคนทิศละทาง น้าชายขอร้องให้เราตามหาลูกคนเล็กและเมีย เพราะแกเดินไม่ได้ เราเลยออกตามหาให้ทันที เราใช้เวลาตามหาตลอดช่วงเย็นแต่ก็ไม่เจอ จนกระทั่งถึงตอนค่ำ แม่เราโทรมาบอกเจอศพลูกและเมียของน้าชายแล้ว เราเลยรีบไปที่ "วัดบางม่วง" และพบว่าเป็นศพของหลานและเมียน้าเราจริงๆ โดยมีญาติๆเรายืนร้องไห้อยู่ เราถูกขอร้องให้ช่วยอุมศพของทั้ง2คนใส่โลงศพ เพราะตอนนั้นมีเราเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่อยู่ที่นั่น และนั่นเป็นครั้งแรกที่เราได้สัมผัสกับคนตายเป็นครั้งแรก ตัวของหลานเราเย็นเฉียบ เราน้ำตาซึม เราไม่เคยคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับคนใกล้ตัวของเรา คืนนั้นเราเลยนอนเฝ้าศพที่ศาลา จนกระทั่งคืนนั้นผ่านไป วันที่ 2เราเปลี่ยนเวรกับน้าเพื่อจะกลับไปอาบน้ำที่บ้าน และกลับมาที่วัดอีกครั้ง เราพบว่าศพถูกขนมาเรียงไว้ตามพื้นในวัดเต็มไปหมด และเพิ่มจำนวนเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนเต็มพื้นที่ จากนั้นเราก็ช่วยพ่อออกตามหาน้าอีกคน ที่พ่อตามหาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่3แล้วก็ยังตามหาไม่เจอ เรากับน้องสาวจึงตัดสินใจไปหากันที่วัด "ย่านยาว" ซึ่งตอนนั้นถูกใช้เป็นศูนย์บัญชาการของทีมช่วยเหลือ จนเราได้พบกับศพๆนึง ที่คล้ายกับน้าเรามาก (ภาพตอนนั้นคือศพนอนเรียงกันเป็นแถว หากนึกไม่ออกให้ลองดูภาพประมานสปอยด้านล่าง)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จากนั้นพ่อเราก็มารับศพ และพบว่าเป็นศพของน้าจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เราเห็นพ่อเราร้องไห้ต่อหน้า มันทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดและรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดของพ่อถึงที่สุด เราอยู่ที่วัดเป็นประมานเวลา 5 วันจนทำพิธีศพเสร็จก็กลับบ้าน
จากเหตุการณ์นี้ เราสูญเสียญาติไปมากกว่า 10 คน
และคนรู้จักอีกหลายคน
หลังจากคลื่นผ่านไป10ปี จนถึงวันนี้
สึนามิสอนให้เรารู้ว่า ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ
ปล.สิ่งที่เลวร้ายที่สุดในเหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่คลื่นยักษ์ แต่กลับเป็นคนไทยด้วยกัน
พ่อเล่าให้ฟังว่าตอนที่พบศพของน้า มีคนอ้างตัวเป็นตำรวจ บอกว่าต้องการเก็บหลักฐานทั้งหมดเกี่ยวกับผู้ตายไว้ก่อน เพื่อป้องกันการสลับกันของศพ นั่นหมายถึงสร้อยทองคำหนักเกือบห้าบาทที่ห้อยคออยู่ที่ศพด้วย โดยอ้างว่าจะคืนให้ภายหลัง และให้ชื่อกับเบอร์โทรศัพท์ไว้ แต่หลังจากนั้น พ่อเราก็ไม่สามารถติดต่อชายคนนั้นได้อีกเลย