ธุรกิจปั๊มน้ำมัน

ไม่แน่ใจว่ายังเป็นอย่างนี้อยู่หรือเปล่านะคะ เพราะไม่ได้อยู่กับธุรกิจนี้มาหลายปีแล้ว

ปั้มจะมีประเภทที่สตอคเป็นของ dealer เอง ซึ่งกรณีนี้ตามปั้ม ปริมาณถังบรรจุใต้ดินไม่ได้เยอะมาก ถังใต้ตินจะเก็บได้ประมาณ 2-4 day sales  ราคาซื้อขายอยู่ตามที่บริษัทแม่ประกาศและแจ้งหลวง ไม่ได้เปลี่ยนบ่อยตามราคาน้ำมันโลก ก็มีทั้งกำไรขาดทุนตามสตอคน้ำมันอยู่บ้าง แต่เนื่องจากถังใต้ดินที่ไม่ใหญ่มาก ปัญหาเรื่องกำไรขาดทุนสตอคน้ำมันของราคาน้ำมันโลกเยอะจะอยู่ที่บริษัทแม่เสียมากกว่า อีกประเด็นหนึ่งก็คือการซื้อชายน้ำมันแม้สั่งเข้ามาล่วงหน้าก็จะไม่ลอคราคา เพราะราคาจะคิดจริงก็ต่อเมื่อเริ่มมีการตัดจ่ายน้ำมันออกไป ดังนั้นเจ้าของปั้มจะไม่สามารถขาดทุนหรือกำไรจากการเก็งราคาได้มากนัก เท่าที่จำได้อย่างมากก็หนึ่งหรือสองคำสั่งซื้อเท่านั้น และการสั่งซื้อหลายบริษัทเริ่มเอาระบบเข้ามาช่วย ด้วยการที่ dealer ไม่ต้องสั่งเอง แต่ระบบจะดูยอดสตอค กับ ยอดขาย แล้วคำนวนให้ว่าควรจะส่งน้ำมันให้เท่าไร

ปั้มอีกประเภทที่ทำสัญญากับบริษัทแม่ รับเป็นค่าบริหารเท่านั้น แต่สตอคเป็นของบริษัทแม่ ถ้าเป็นกรณีนี้ก็จะไม่ได้รับผลกระทบ จะได้รับผลกระทบก็ต่อเมื่อมี motorist มาเติมน้อยลง ทำให้ขายได้น้อยลิตรลง ค่าบริหารที่คิดให้ตามลิตรที่ขายได้จึงได้น้อยลง

ค่าน้ำมันที่ส่งเข้าปั้มน้ำมันส่วนใหญ่จะเป็นจะซื้อขายกันด้วยเงินสด คำว่าเงินสดนี่ไม่ได้หมายถึงเงินสดๆนะคะ แต่จะเป็นเชคหรือ direct debit  จะมีสองแบบคือ จ่ายก่อนแล้วถึงสั่งน้ำมันได้ ส่วนใหญ่จะใช้กับปั้มที่มีฐานะการเงินค่อนข้างเสี่ยง อีกแบบจะสั่งน้ำมันก่อน เมื่อรถไปถึงค่อยเก็บเชคกลับมา  ส่วนการขายเข้าโรงงานอุตสาหกรรม จะขายเป็นเครดิต  แต่เงินสดก็มีบ้าง ถ้าลุกค้าสถานการณ์การเงินค่อนข้างเสี่ยง

ราคาที่จ่ายก็เป็นราคาระหว่างบริษัทน้ำมันกับ dealer บวกค่าขนส่งจากคลังไปยังปั้มของ dealer คิดเป็นต่อลิตร ส่วนราคาและค่าขนส่งนั้นก็จะมีมาตรฐาน เช่นถ้าเป็นดีเซลส่งออกจากคลังบางปะอิน ราคาที่คิด dealer ทุกรายที่ส่งของออกจากคลังนี้ก็จะเท่ากัน แต่ค่าขนส่งจะต่างกันตามระยะห่างจากคลัง  

ส่วนราคาหน้าคลังแต่ละคลังจะไม่เท่ากัน เพราะจะเป็นราคาออกจากโรงกลั่นบวกค่า disribution ไปยังคลังนั้น