ในการคัดเลือกคนเข้าทำงาน IQ และ EQ ให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่ากันคะ

ดิฉันทำงานรับราชการ อยุ่ในตำแหน่งนี้มานาน เกือบ ๆ 20 ปี
ตั้งแต่บรรจุก็ว่าได้  คือ ตำแหน่งหัวหน้างาน  
ในตอนแรก ๆ ตำแหน่งนี้จะไม่มีลูกน้อง หรือ ผู้ช่วย
หลาย ๆ คนอาจจะถามว่า ตำแหน่งนี้  ถ้าไม่มีผู้ช่วย แล้วคุณเป็นหัวหน้าได้อย่างไร มันเป็นตำแหน่งทางการศึกษาค่ะ
ในบางปี ก็จะมีการจ้างลูกจ้าง มาเป็นผู้ช่วย แต่ก็ไม่แน่นอน บางปี ก็มี บางปี ก็ไม่มี
แต่ส่วนใหญ๋ คือ ไม่มี

เมื่อสองปีที่แล้ว
ท่าน ผ.อ.ได้แจ้งว่า จะเรียกบรรจุ ผู้ช่วยให้กับดิฉัน  3 คน พร้อมกันเลยทีเดียว
ดิฉันรู้สึกดีใจมาก ที่จะได้คนมาช่วยงาน
และ คนที่ถูกเรียกมาบรรจุ  2  คน คือ คนที่สอบบรรจุได้ที่ 1 และ ที่ 2 ของประเทศ
อีก 1 ไม่ทราบลำดับ  ( ดิฉันจะไม่ถามน้องนะคะว่าได้ที่เท่าไร )
ส่วนที่ 1 และ ที่ 2 ที่ทราบคือ ท่าน ผ.อ.แจ้งให้ทราบในที่ประชุมใหญ่

ความเก่งจากการรับรู้ในเบื้องต้น  ( สมมุต ตัวละคร คือ A B และ  C นะคะ )
A   สอบได้ที่ 1
B    สอบได้ที่  2
และ C  ไม่ทราบลำดับที่  

แต่มาทราบว่า C oyho  เรียนจบ ปริญญาตรี บริหารธูรกิจจากรามคำแหง  3 ปี
พอดูทราสคริปส์  รายวิชา ที่ดิฉัน มองว่ามันยากนะคะ
คือ วิชาสถิติ  St 203 และ st  206  เธอได้ G  ค่ะ  ( คิดว่า คนเรียนรามส่วนใหญ๋ จะมีปัญหากับวิชานี้ )
ก็เลยมองว่า น้องคนนี้ ก็ไม่ธรรมดา

เมื่อเริ่มทำงาน
ทุกคน start พร้อมกัน

A  เป็นสาวประเภทสอง แต่แต่งชายนะคะ ด้วยข้อกำหนดของหน่วยงาน
B เป็นสาวสวยหวาน น่ารัก พูดจาไพเราะ
C สาวหุ่นท้วมนิด ๆ  แต่น่ารัก  

ดิฉันจะเริ่มสังเกตุ  พฤติกรรมของแต่ละคน ว่ามีความชอบ ความถนัดในเนื้องานอะไร จะได้มอบหมายงานให้ถูก
เอาที่ B ก่อนนะคะ  สาวสวยหน้าหวาน  เสียงหวาน มอบหมายให้ทำด้านการประชาสัมพันธ์ พบปะผู้คน
ซึ่งงานนี้ มันตรงกับ สาขาที่เธอเรียนมาแน่นอน และ อยู่ในระบบของงานที่เรียกบรรจุด้วย
พอมอบปุ๊บ.....คำถามแรกที่มาจากปากเธอคือ    ทำไมต้องเป็นเธอ
และ หลังจากนั้น ไม่ว่ามอบหมายงานใด ๆ จะมีปฏิกิริยาเสมอ
ไม่สนใจ  ไม่ทำ  หรือทำ แต่ก็ได้แต่ ครึ่ง ๆ กลาง ๆ


ส่วน A มอบอะไร   รับปากทำหมด  และ วิ่งรับงานของฝ่ายอื่น ๆ เต็มไปหมด
แสดงความสามารถว่าเก่ง
แต่ผลของงาน  คือ ความไม่เรียบร้อย  มีชิ้นงานเป็นร้อยชิ้น
แต่จับชิ้นงาน  ที่พอจะหยิบเอามาโชว์ไม่ได้เลย
ในแรก ๆ ที่ทำงานร่วมกัน
มีกิจกรรมที่ต้องไปทำงาน ร่วมกับชุมชน
งานชิ้นนี้ เป็นงานที่ดิฉันทำมาเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว
แต่ด้วยความที่น้องมาใหม่
ก็เลยให้น้องแสดงความสามารถ
น้องก็แสดงความสามารถ  น้องเก่งใช้ได้เลยค่ะ
เธอแสดงความสามารถไป   ผู้มาร่วมงานชื่นชม
สำหรับดิฉัน ฐานะหัวหน้างาน คนรับผิดชอบ งานชิ้นนี้ รู้สึกดี และ ยินดี
แต่ปฏิกิริยาของน้อง  ที่มีต่อ ดิฉัน นี่สิคะ
เธอปรายตามอง  ด้วยสายตาที่ดูถูก และ เหยียดหยาม พร้อมกับเบะปาก
ดิฉัน รับทราบปฏิกิริยา  แต่นิ่งไว้ แล้วกับยิ้ม และ หัวเราะไปกับเหตการณ์
รับทราบแค่นั้น ให้รู้ว่า เขาคิดอย่างไร
ต่อมา A  จะรับอาสางานในแทบจะทุกเรื่อง  คือ จะประกาศตนว่า ข้าเก่งอย่างนั้น เก่งอย่างนี้
งานนอกฝ่าย นอก แผนก เธอก็อาสาทำหมด
ตอนหลัง ๆ มานี่  งานในหน้าที่ตัวเอง เธอไม่ทำเลย
แต่ไปอาสางานนอก
ครั้นพอ ดิฉัน มอบหมายงานในแผนก  เธอก็มีปฏิกิริยา ว่างานเธอเยอะมาก
ทำไม อะไร ๆ มาลงแต่ที่เธอ เท่านั้น
ดิฉันก็บอก ไม่เป็นไรน้อง อะไรที่น้องทำไม่ได้  พี่ทำเอง  หรือบางที่ก็มอบหมาย C
ดิฉัน รู้นะคะ ว่า การเป็นหัวหน้างาน แล้วแบกงานไว้เองมันไม่ดี
แต่ด้วยความที่ระบบ การควบคุมการปฏิบัติงานของที่ทำงานดิฉัน
น้อง ๆ ไม่ได้ ขึ้นตรงต่อ เจ้านายคนเดียว คือดิฉัน  เขายังขึ้นตรงต่อ อีกฝ่ายด้วย
มันเลย ทำให้ การควบคุมการทำงาน ทำได้อย่างไม่เต็มที่
และ ที่สำคัญ  การก้าวก่าย  ของ ผู้บริหาร  ที่ก้าวข้ามเข้ามาวุ่นวาย
ทำให้ การกำหนด บทลงโทษ ทำได้ไม่เต็มที่

มาถึง C
ผู้หญิงร่างท้วม สอบได้ลำดับที่เท่าไร ไม่ทราบได้
เพราะดิฉันไม่ถาม และไม่สืบค้น
ดิฉัน ถือว่า ทุก ๆ คนมาเริ่มการทำงานใหม่ เท่ากันหมด

เมื่อเริ่มการทำงานใหม่ ๆ  มีproject เร่งด่วนมาให้ทำ
ดิฉัน เรียกน้องคนนี้มาทำ เรียกว่า มานั่งทำงานข้าง ๆ กันเลยล่ะ
บอกให้ทำแบบนี้ ๆ  มีการนำเสนองาน  แต่ผู้บริหารไม่พอใจต้องแก้
ก็เรียกน้อง มาทำ มาแก้งาน  น้องก็ทำและแก้งาน ด้วยความเต็มใจ
ในระหว่างนั้น ดิฉันจะใส่ใจกับน้องคนนี้ เนื่องจาก  2 คนนั้น ได้มอบหมายไปแล้ว
ซึ่งในการทำงานนั้น  เป็นช่วงเร่งงาน ดิฉันก็จะเรียกน้องเขาบ่อย
น้องเขาก็เต็มใจที่จะทำนะคะ  เรียกว่า ทำงานกันหัวปั่นไปเลย
ถ้ามีการเพิ่มงาน  หรือ แก้งาน ดิฉันก็จะเรียกน้องคนนี้มาทำ  
ทุก ๆ ครั้งที่มอบหมายงานให้น้องคนนี้ทำ
เธอจะตั้งใจทำ  และ ยิ้มกับงาน  มีเปลี่ยน มีแก้ไขมากมาย
แต่เธอก็ทำ ไม่มีบ่น ไม่มีว่าสักคำ
ที่สำคัญคือ
C เป็นคนเดียวที่จะถามดิฉันตลอดว่า   พี่มีอะไรให้หนูช่วยมั้ยคะ

เมื่อมีการแก้งาน เพิ่มงาน หรือ .......
ดิฉันจะเรียก C มา  เพื่อรับมอบงาน
วันหนึ่ง ดิฉัน เรียก C มารับงาน
B  ก็พูดขึ้นว่า
ดูสิ  หัวหน้า ใช้เธออีกแล้วนะ ( ความหมายคือ ทำไม หัวหน้าไม่ทำงาน ใช้เธอทำไม )

ดิฉัน ได้ยินก็นิ่ง

งานที่ดิฉัน ให้ C ทำ นอกจากจะเป็นงานเอกสารแล้ว
งานout door ดิฉันก็มอบหมายเธอ
ซึ่งานดังกล่าว ไม่ได้ตรงกับสาขาที่เธอเรียนสักเท่าไร จะตรงก็ประมาณ 25 %
แต่ที่ตรง 100 % คือ  A  กับ  B
เนื่องจาก มอบหมาย  B แล้ว เธอไม่ทำ  จึงต้องมามอบหมาย C
เมื่อมอบหมาย C แล้ว เธอรับผิดชอบงานดีมาก อาจจะทำได้ไม่ดีเท่า คนที่จบสายตรงทางด้านนี้ แต่สำหรับดิฉัน ถือว่า อยู่ในเกณฑ์ที่พอใจ

เมื่อเวลาผ่านไป
B ก็ได้ตระหนักว่างานที่ C ทำ เป็นงาน Out door ก็จริง
คือ จะมีการยกของ แบกของ หรือ ล้างของ ( แต่งานเหล่านี้มีคนงานช่วยนะคะ แค่แต่บอกเขา )
แต่งาน  out door ที่ว่านี้
ผลของงาน มันเป็นที่ประจักษ์ชัดเจน  เรียกว่า ใคร ๆ ก็เห็นผลงาน
แถมเป็นงานที่ได้มีโอกาส พบปะ ผู้หลักผู้ใหญ่ ระดับประเทศ   ได้สนองงานพระราชวงศ์อย่างใกล้ชิด
B จึงวิ่งที่จะมา ช่วยงาน C
แต่งานที่ดิฉันมอบหมายให้ B ทำโดยตรง เธอไม่ทำนะคะ
เมื่อดิฉันเห็นว่า B ท่าทางจะชอบงานที่ C ทำ  จึงได้สับเปลี่ยนหน้าที่ให้  B ไปทำแทน C
ปรากฏว่า  เมื่อ  B  มารับผิดชอบงานนี้อย่างเต็มที่
เธอก็ไม่ทำค่ะ

ในเมื่อเธอไม่ทำ
ดิฉัน ก็เปลี่ยนไปให้ C ทำเหมือนเดิม
ในการให้ C กลับมาทำ ดิฉันก็ได้กล่าวขอโทษ C และบอกว่า ช่วยพี่หน่อยนะ
C ก็รับปากในการทำงาน ด้วยความเต็มใจ และ ตั้งใจ
ส่วน B เมื่อ C กลับมาทำงานนี้เต็มตัว
เธอก็วิ่งมา ทำงาน ร่วมกับ C อีกเหมือนเดิม

ใน 3 คนนี้ ดิฉันจะมอบหมายงาน C  มากกว่าคนอื่น
ไม่ใช่เพราะว่า   C สอบได้ลำดับที่ไม่ดีเท่า A กับ   B นะคะ
แต่เป็นเพราะรู้สึกเอ็นดูเป็นพิเศษ ( อันนี้ไม่เคยเล่าให้ใครฟังนะคะ )
เนื่องจาก  น้องจบจากสถาบันเดียวกัน
อยากให้น้องเป็นงาน และ สังคมในที่ทำงานดิฉันจะได้ยอมรับน้องด้วย
ปรากฏว่า  C
ไม่ว่าจะมอบหมายงานอะไร  
งานมากกว่าเพื่อน
ไม่เคยบ่น
ไม่เคยชักสีหน้า
มีเพียงคำถามเดียว ๆ ที่ถามดิฉันเสมอ  คือ
พี่มีอะไรให้ C ช่วยมั้ยคะ

ในคำถามนี้ งานของเธอมันล้นมือแล้วนะคะ

ส่วน A หลังจากตระเวน โชว์ผลงาน ว่าข้าเก่ง ไปทั่วราชอาณาจักร
สิ่งที่ได้พบคือ
ทำงานได้จริง แต่งานนั้น ๆ ไม่เรียบร้อย
ดิฉัน จะถูกผู้บริหารเรียกไปเสมอว่า
ผลงานลูกน้อง เป็นอย่างไร มาแก้งานให้หน่อยนะ
เป็นประจำ
ซึ่งงานที่  A ไปทำ หลาย ๆ อย่าง ไม่ได้เกิดจากการมอบหมายงานของดิฉัน
แต่เป็นการมอบหมาย ของผู้บริหารฝ่ายต่าง ๆ ที่คิดว่า A เก่ง  A ทำได้

ในระยะแรก ๆ นั้น
C เป็นคนที่ no name ในที่ทำงานของฉัน
เพราะเธอไม่ได้สอบได้ที่ 1 และ ที่ 2
เธอไม่ได้สวย

เหตุการณ์ต่าง ๆ เปลี่ยนไป
จากตอนแรก ๆ ใคร  ๆ ก็ชื่นชม A และ  B
เพราะว่า เก่ง สอบได้ที่ 1 และ ที่ 2

กลายเป็นว่า ตอนนี้ ที่ทำงานดิฉัน ต่างพากันเอือมระอา พฤติกรรมของ A และ  B กัน
( อันนี้ เพิ่งไปฟังเขาเล่ามานะคะ )
ส่วนดิฉัน ที่เป็นหัวหน้างานโดยตรง ได้ทราบพฤติกรรมแต่แรกแล้ว
ก็ได้แต่เก็บไว้ในใจ
เพราะพูดไป ก็ไม่ดี

A หลังจากที่ได้โชว์ power ว่าทำอะไรได้บ้าง ก็มีผู้บริหารมอบหมายให้ทำงานโดยตรง  โดยไม่ผ่านดิฉันมากมายหลายงาน
เธอก็รับปากที่จะทำ
แต่ ณ บัดนาว
เธอก็มาวีน ดิฉัน ว่าทำไม อะไร ๆ ถึงได้มาลงที่เธอมากมายนัก
ดังนั้น
งานสายตรง ที่เธอบรรจุมาในตำแหน่งนี้
เธอก็เริ่มจะไม่ทำ ไม่สนใจ  เพราะว่า สนองงานผู้บริหารดีกว่า
แถมยังเอาดิฉันไปนินทาอีกด้วย ว่าไม่ทำอะไร
น้องคะ พี่เป็นหัวหน้างานน้องนะคะ
พี่มอบหมายงานน้องให้ทำ
แต่ถ้าเมื่อใดก็ตาม งานที่มอบหมายให้ทำ
น้องทำไม่สำเร็จ หรือ ไม่เรียบร้อย พี่ต้องเข้ามาแก้งานแทนน้องตลอด
น้องรู้มั้ยคะ

นี่ล่ะคะ
ที่ดิฉันอยากจะถามว่า IQ กับ EQ
นี่  คุณให้ความสำคัญกับอะไรคะ

ปัจจุบันนี้
C เป็นคนที่ สังคมในที่ทำงานดิฉัน ให้ความรัก กับ ความเมตตาเธอค่ะ
เพราะได้ประจักษ์แล้วว่า เธอเป็นคนทำงานจริง มีน้ำใจ อัธยาศัยดี
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่