หวัดดีครับ กระทู้แรกเลย (ยืมแอคเคานท์เพื่อนมา ก่อนเข้าเรื่องถามนิดนึง เดี๋ยวนี้สมัครสมาชิกแบบ SMS ไม่ได้แล้วเหรอครับ)
อันที่จริงก็ไม่ได้ตั้งกระทู้เพื่อชีวิตมานานมากแล้ว แต่แล้วเมื่อลมหนาวมาเยือนก็พัดพาให้อารมณ์หลุดลอยไปตามกลิ่นดอกตีนเป็ดและใบไม้แห้งที่ร่วงหล่นและปลิวไปตามลม
ปัญหาชีวิต ความเบื่อ เศร้า เหงา ซึม มันดูเหมือนเพิ่มเป็นเท่าทวีคูณเมื่อลมหนาวและดาวเดือนมาเยือนจริงๆนะครับ...จะมีคนมาไล่ไปห้องนิยายมั้ยเนี่ย
เข้าเรื่องเลยละกัน
ช่วงนี้รู้สึกเหนื่อยกับการใช้ชีวิตมากครับ ทั้งชีวิตส่วนตัวที่รู้สึกว่ายิ่งอายุเดินไปมากขึ้นเท่าไหร่ ก็หาความจริงใจจากคนรอบข้างในสังคมที่อยู่ได้น้อยลงมากขึ้นเท่านั้น แฟนก็ไม่มีกับเค้า สมัยเรียนผมเป็นคนหนึ่งที่พูดได้เลยว่า ไม่เชื่อในความรักเชิงสาว ไม่เคยอิจฉาเพื่อนที่มีแฟน ไม่อิจฉาคู่หนุ่มสาวที่เดินจู๋จี๋ กินข้าว เดินจูงมือเข้าโรงหนัง ซบอิงในโรงหนัง ขณะที่ผมกินนข้าวคนเดียว เดินห้างคนเดียว ดูหนังคนเดียว คิดว่าชีวิตแบบนี้มีความสุขดี ไม่มีคนมากวนตัวกวนใจและคิดว่า "อิสระ" มันคือความสุขอีกรูปแบบหนึ่งของคนไม่มีคู่ซึ่ง อาจจะด้วยความที่เป็นคนค่อนข้างมีโลกส่วนตัวสูงและมีอารมณ์ติสท์อยู่มาก
เพื่อนสนิทก็ไม่มี สมัยเรียนมีกลุ่มเพื่อนที่ไปไหนมาไหนกันเป็นกลุ่มใหญ่แต่ไม่มีเพื่อนที่สนิทกันจริงๆซักคน ที่สนิทหน่อยปัจจุบันก็ห่างเหินมากๆ โทรไปคุยก็เหมือนไม่ค่อยอยากคุยด้วยเท่าไหร่ ตอนนี้เพื่อนในกลุ่มก็ต่างคนต่างมีชีวิตเป็นของตัวเอง ห่างเหินกันไปโดยปริยายตามความผิวเผินและฉาบฉวยที่คบกัน
ประเด็นที่ทำให้ความสุขในชีวิตผมหายไปแทบหาไม่เจอเลยก็คือเรื่อง "งาน" ผมเป็นคนที่มีความชื่นชอบในสายศิลปะหลายแขนง ชอบการแสดงออก ดนตรี งานเขียน จริงๆวาดรูปได้ดีมาแต่เด็กและชื่นชอบพวกการตกแต่ง จนมารู้ตัวว่าชอบพวกงานอินทีเรีย งานตกแต่งแล้วก็พอเขียนบทความได้บ้าง แต่ด้วยความที่ตอนเรียนเป็นคนเรียนดีและทางบ้านคาดหวังสูงจึงไม่กล้าที่จะเลือกตัวตนและตัดสินใจพอจึงเลือกเรียนไปตามค่านิยมสังคมคือเรียนสายวิทย์ ตอนเรียนม.ปลายจนเข้ามหาลัย เพื่อนบางคนก็บอก ผมน่าจะเรียนนิเทศน์น่าจะเหมาะ บ้างก็ว่านิสัยเหมือนเด็กถาปัด ตั้งแต่เข้ามหาลัยจนปัจจุบันทำงานได้ 4 ปีกว่า หาความสุขกับงานที่ทำไม่ได้เลย พองานที่ทำ เวลาที่เราต้องให้กับมันใน 1 วันมากกว่าเวลาในชีวิตส่วนตัว มองไปทางไหนก็พาลหาความสุขในชีวิตไม่ได้ สังคมในที่ทำงานก็เหมือนคุยกันคนละภาษาเพราะสิ่งที่เราชอบไม่ใช่สิ่งที่สังคมเราต้องการและอินไปกับมัน จากตอนเรียนเป็นคนอัธยาศัยดี ยิ้มเก่ง เฮฮาและเป็นตัวโจ๊กสร้างสีสันให้เพื่อนๆตลอด ตอนนี้รู้สึกโลกหม่น กลายเป็นคนเงียบมาก วันๆแทบไม่พูดคุยกับใคร น้ำลายบูดจนฟองออกจมูกเพราะรู้สึกสิ่งแวดล้อมที่จมอยู่มันไม่ใช่ตัวเอง มีคนเคยพูดว่า
"คนที่มีความรักในศิลปะไม่ว่าจะแขนงไหน ถ้าได้ทำในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเอง ยังไงมันก็ยังมีความโหยหาในสิ่งนั้นเพราะศิลปะมันออกมาจากความรู้สึก ไม่ได้ล่อตาด้วยตัวเงิน" ...มันเป็นเช่นนั้นจริงๆครับ
ยิ่งพออยู่ตัวคนเดียว ไม่มีเพื่อน ไม่มีคนให้ปรับทุกข์ พอหนาวๆความรู้สึกสมัยเรียนเกี่ยวกับเรื่องคู่ก็เปลี่ยนไป มันก็มีอารมณ์ที่แบบว่า อยากมีใครซักคนเป็นห่วงเป็นใย ถามสารทุกข์สุขดิบ ถามว่าเราเหนื่อยมั้ย มีความสุขกับสิ่งที่ทำรึเปล่า หรืออย่างน้อยมีใครเคียงข้างเราบ้าง มันอึดอัดมากจนกลายเป็นความเครียดในช่วงปีที่ผ่านมา
บ่นเป็นคนแก่มามากแล้ว ขอบคุณเพื่อนๆที่เข้ามาทนอ่านและรับฟังนะครับ
มีใครมีความฝันหรือสิ่งที่อยากทำแล้วไม่ได้ทำหรือมีเรื่องอึดอัดใจก็มาระบายในกระทู้ได้นะครับ ผมยินดีรับฟัง
ขอให้ทุกคนได้รับความอบอุ่นจากคนรอบข้างที่คุณรัก และ รักคุณในหน้าหนาวนี้
ลมหนาวพัดพาความเหงา เศร้า ซึม ให้หลุดลอยไปที ขอพื้นที่ระบายความอึดอัดใจ
อันที่จริงก็ไม่ได้ตั้งกระทู้เพื่อชีวิตมานานมากแล้ว แต่แล้วเมื่อลมหนาวมาเยือนก็พัดพาให้อารมณ์หลุดลอยไปตามกลิ่นดอกตีนเป็ดและใบไม้แห้งที่ร่วงหล่นและปลิวไปตามลม
ปัญหาชีวิต ความเบื่อ เศร้า เหงา ซึม มันดูเหมือนเพิ่มเป็นเท่าทวีคูณเมื่อลมหนาวและดาวเดือนมาเยือนจริงๆนะครับ...จะมีคนมาไล่ไปห้องนิยายมั้ยเนี่ย
เข้าเรื่องเลยละกัน
ช่วงนี้รู้สึกเหนื่อยกับการใช้ชีวิตมากครับ ทั้งชีวิตส่วนตัวที่รู้สึกว่ายิ่งอายุเดินไปมากขึ้นเท่าไหร่ ก็หาความจริงใจจากคนรอบข้างในสังคมที่อยู่ได้น้อยลงมากขึ้นเท่านั้น แฟนก็ไม่มีกับเค้า สมัยเรียนผมเป็นคนหนึ่งที่พูดได้เลยว่า ไม่เชื่อในความรักเชิงสาว ไม่เคยอิจฉาเพื่อนที่มีแฟน ไม่อิจฉาคู่หนุ่มสาวที่เดินจู๋จี๋ กินข้าว เดินจูงมือเข้าโรงหนัง ซบอิงในโรงหนัง ขณะที่ผมกินนข้าวคนเดียว เดินห้างคนเดียว ดูหนังคนเดียว คิดว่าชีวิตแบบนี้มีความสุขดี ไม่มีคนมากวนตัวกวนใจและคิดว่า "อิสระ" มันคือความสุขอีกรูปแบบหนึ่งของคนไม่มีคู่ซึ่ง อาจจะด้วยความที่เป็นคนค่อนข้างมีโลกส่วนตัวสูงและมีอารมณ์ติสท์อยู่มาก
เพื่อนสนิทก็ไม่มี สมัยเรียนมีกลุ่มเพื่อนที่ไปไหนมาไหนกันเป็นกลุ่มใหญ่แต่ไม่มีเพื่อนที่สนิทกันจริงๆซักคน ที่สนิทหน่อยปัจจุบันก็ห่างเหินมากๆ โทรไปคุยก็เหมือนไม่ค่อยอยากคุยด้วยเท่าไหร่ ตอนนี้เพื่อนในกลุ่มก็ต่างคนต่างมีชีวิตเป็นของตัวเอง ห่างเหินกันไปโดยปริยายตามความผิวเผินและฉาบฉวยที่คบกัน
ประเด็นที่ทำให้ความสุขในชีวิตผมหายไปแทบหาไม่เจอเลยก็คือเรื่อง "งาน" ผมเป็นคนที่มีความชื่นชอบในสายศิลปะหลายแขนง ชอบการแสดงออก ดนตรี งานเขียน จริงๆวาดรูปได้ดีมาแต่เด็กและชื่นชอบพวกการตกแต่ง จนมารู้ตัวว่าชอบพวกงานอินทีเรีย งานตกแต่งแล้วก็พอเขียนบทความได้บ้าง แต่ด้วยความที่ตอนเรียนเป็นคนเรียนดีและทางบ้านคาดหวังสูงจึงไม่กล้าที่จะเลือกตัวตนและตัดสินใจพอจึงเลือกเรียนไปตามค่านิยมสังคมคือเรียนสายวิทย์ ตอนเรียนม.ปลายจนเข้ามหาลัย เพื่อนบางคนก็บอก ผมน่าจะเรียนนิเทศน์น่าจะเหมาะ บ้างก็ว่านิสัยเหมือนเด็กถาปัด ตั้งแต่เข้ามหาลัยจนปัจจุบันทำงานได้ 4 ปีกว่า หาความสุขกับงานที่ทำไม่ได้เลย พองานที่ทำ เวลาที่เราต้องให้กับมันใน 1 วันมากกว่าเวลาในชีวิตส่วนตัว มองไปทางไหนก็พาลหาความสุขในชีวิตไม่ได้ สังคมในที่ทำงานก็เหมือนคุยกันคนละภาษาเพราะสิ่งที่เราชอบไม่ใช่สิ่งที่สังคมเราต้องการและอินไปกับมัน จากตอนเรียนเป็นคนอัธยาศัยดี ยิ้มเก่ง เฮฮาและเป็นตัวโจ๊กสร้างสีสันให้เพื่อนๆตลอด ตอนนี้รู้สึกโลกหม่น กลายเป็นคนเงียบมาก วันๆแทบไม่พูดคุยกับใคร น้ำลายบูดจนฟองออกจมูกเพราะรู้สึกสิ่งแวดล้อมที่จมอยู่มันไม่ใช่ตัวเอง มีคนเคยพูดว่า
"คนที่มีความรักในศิลปะไม่ว่าจะแขนงไหน ถ้าได้ทำในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเอง ยังไงมันก็ยังมีความโหยหาในสิ่งนั้นเพราะศิลปะมันออกมาจากความรู้สึก ไม่ได้ล่อตาด้วยตัวเงิน" ...มันเป็นเช่นนั้นจริงๆครับ
ยิ่งพออยู่ตัวคนเดียว ไม่มีเพื่อน ไม่มีคนให้ปรับทุกข์ พอหนาวๆความรู้สึกสมัยเรียนเกี่ยวกับเรื่องคู่ก็เปลี่ยนไป มันก็มีอารมณ์ที่แบบว่า อยากมีใครซักคนเป็นห่วงเป็นใย ถามสารทุกข์สุขดิบ ถามว่าเราเหนื่อยมั้ย มีความสุขกับสิ่งที่ทำรึเปล่า หรืออย่างน้อยมีใครเคียงข้างเราบ้าง มันอึดอัดมากจนกลายเป็นความเครียดในช่วงปีที่ผ่านมา
บ่นเป็นคนแก่มามากแล้ว ขอบคุณเพื่อนๆที่เข้ามาทนอ่านและรับฟังนะครับ
มีใครมีความฝันหรือสิ่งที่อยากทำแล้วไม่ได้ทำหรือมีเรื่องอึดอัดใจก็มาระบายในกระทู้ได้นะครับ ผมยินดีรับฟัง
ขอให้ทุกคนได้รับความอบอุ่นจากคนรอบข้างที่คุณรัก และ รักคุณในหน้าหนาวนี้