บทนำ
ณ ห้างสรรพสินค้าหรูหราแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพ ฯ ภาพของหญิงวัยกลางคนๆ นึงกำลังนั่งจิบน้ำชาในร้านเบเกอรี่เพื่อฆ่าเวลารอใครบางคนอย่างอารมณ์ดี เพราะอีกไม่นาทีข้างหน้าสิ่งที่เธอเฝ้ารอมันกำลังจะเกิดขึ้น สิ่งที่เธอเพียรพยายามทำมันมาเกือบสองปี แม้ว่าอายุของเธอจะย่างเข้าเลขห้าแล้วก็ตาม หากแต่ว่าหน้าตาและรูปร่างของเธอยังคงสวยสะพรั่ง ราวกับสาวสี่สิบต้นๆ เสียด้วยซ้ำ แลดูเหมือนว่าอายุที่ล่วงเลยผ่านไปนั้นจะไม่ได้ก่อปัญหาให้กับเธอเอาเสียเลย
ตื๊ด....ตื๊ด !! เสียงสมาท์โฟนเครื่องแพงของเธอแผดเสียงดังระงมขึ้นจนเจ้าของเครื่องได้ยินมัน หญิงวัยกลางคนจึงรีบกดรับเมื่อเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามา
“ฮัลโหล ว่าไงลูกใกล้ถึงหรือยังจ๊ะ….” เธอกรอกเสียงหวานๆ ใส่หน้าจอ เมื่อรู้ว่าคนในสายคือลูกชายหัวแก้หัวแหวน ก่อนจะนิ่งฟังเสียงจากปลายสายอยู่ครู่นึง “ว่าไงนะลูก…ไม่ว่างเหรอ….. มีงานด่วน จ้ะๆ ไม่เป็นไรลูก มามี๊เข้าใจ” แววตาของเธอหม่นลง ถึงปากจะบอกไปอย่างนั้น หากแต่ในใจลึกๆ ของเธอกลับเรียกร้องในสิ่งตรงกันข้ามกับที่เธอพร่ำบอกคนในสาย “เฮ้ออ..ทุกทีเลย แล้วเมื่อไหร่จะได้เจอกันสักทีละทีนี้ พัง พัง !!”
ครู่ต่อมาคนที่เธอรอก็เดินทางมาถึง “เกสร…” เธอเอ่ยทักทายผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกัน ที่กำลังมุ่งหน้ามาที่โต๊ะ ก่อนจะเอ่ยปากถามอย่างไม่รีรอให้บั้นท้ายของอีกฝ่ายถึงเก้าอี้ด้วยซ้ำ “หนูชณาไม่ได้มาด้วยเหรอ ?” “ชณาบอกฉันว่ามีงานด่วนน่ะ เลยมาไม่ได้ แล้วลูกชายเธอล่ะ ” หญิงวัยกลางคนที่ชื่อเกสรแจง แม้ว่าเกสรจะดูเจ้าเนื้อไปหน่อยแต่เรื่องความสวยแล้ว เกสรเองก็มีหน้าตาที่สวยไม่ต่างจากเพื่อนของเธอเลยสักน้อย จะต่างหน่อยก็ตรงที่ท่าทางที่ดูเรียบร้อยและสำรวมมากกว่าก็เท่านั้น
วรรณภาและเกสรต่างเป็นเพื่อนรักสมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน ทว่าถึงเวลาจะล่วงเลยผ่านไปเกือยี่สิบปีแล้ว ทั้งคู่ก็ยังติดต่อกันอยู่เหมือนเคย ถึงแม้ต่างคนจะต่างมีครอบครัวแล้วก็ตาม แต่ความเป็นเพื่อนระหว่างเธอทั้งสองนั้นไม่ได้ลดน้อยลงไปตามกาลเวลาเลยสักนิดเดียว
และเพื่อกระชับมิตรภาพให้แน่นแฟ้นมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ นี่จึงเป็นเหตุผลให้ทั้งคู่มานั่งอยู่ด้วยกันในตอนนี้ เวลานี้
“เหมือนกัน…” วรรณภาตอบคำถามอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ให้มันได้อย่างนี้ซิ เรานัดกันมาตั้งสิบกว่าครั้งแล้วนะเกสร คลาดกันตลอดเลย ”
“ก็นั่นน่ะสิวรรณ....” เกสรคล้อยตาม แต่ทว่าแววตาของเธอกลับแสดงออกว่ากำลังลังเลหรือกลัวอะไรสักอย่างอยู่ “ฉันว่าเราเลิกล้มแผนดีกว่านะ อย่าไปบังคับใจเด็กๆ เลย” ในที่สุดเกสรก็พูดมันออกไป แม้จะรู้ว่ามันขัดใจเพื่อนแต่สุดท้ายแล้วเธอก็ต้องทำมัน
ทันทีที่ได้ฟัง....คุณหญิงวรรณภา เจ้าของกิจการ world dimond ผู้ผลิตเครื่องประดับส่งออกนอกเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ก็แจกค้อนด้ามโตให้ผู้เป็นเพื่อนรักทันที “ไม่ได้ !! หยุดพูดเลยนะเกสร ยังไงซะฉันก็จะเอาหนูชณามาเป็นลูกสะใภ้ฉันให้ได้.. ”
เกสรถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย เวลาที่ผ่านไปเนิ่นนานไม่ได้พรากความเอาแต่ใจของวรรณภาไปเลยสักนิดเดียว “ป่ะ...ไปกัน”
“ไปไหน ฉันพึ่งมาถึงเองนะ” เกสรถามพร้อมกับรั้งท่อนแขนอีกฝ่ายไว้ แววตาบ่งบอกถึงความสงสัย ไม่เข้าใจว่าเพื่อนรักของเธอคิดจะทำอะไรต่อ เธอทั้งคู่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง !
คนนึงเรียบดั่งภูเขาไฟที่พร้อมจะปะทุตลอดเวลา....ส่วนอีกคนนึงก็เย็นราวกับภูเขาที่กำลังหลับใหลมานานนับหลายล้านปี
“มาเถอะน่า....” วรรณภาบอกพร้อมกับจูงมือที่ดูเหมือนจะเป็นการลากซะมากว่าของเพื่อนวัยเดียวกันออกจากร้านเบเกอรี่ไป
บ้านเรือนไทยทรงโบราณ ภายในบ้านเต็มไปด้วยเครื่องรางของขลังนานชนิด ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นของเด็กผู้ชายน่าตาน่ารัก แต่น้อยคนนักที่จะมี หรือจะเป็นรูปปั้นผู้หญิงหน้าตาสระสวยแต่มองดูน่ากลัวพิลึกก็มี หญิงวัยกลางคนทั้งสองนั่งกุมมือกันและกันแน่น ก่อนที่ผู้หญิงหนึ่งในสองคนจะเอ่ยปากพูดอะไรสักอย่างขึ้นมา “เป็นไงบ้างคะแม่หมอ ดวงของลูกๆ ดิฉันใช่เนื้อคู่กันหรือเปล่าคะ ?” และแน่นอนคนที่พูดประโยคนี้ก็คือวรรณภานั่นเอง เกสรจึงได้แต่นั่งฟังนิ่งๆ ในสิ่งที่เพื่อนรักถามก็เท่านั้น
แม่หมอร่างทรงค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ มองหญิงวัยกลางคนทั้งสองตามเขม็ง ก่อนจะหัวเราะดังลั่นตามสูตรที่ใครหลายคนเคยเห็นในทีวี เมื่อเวลาเทพเข้าประทับทรง ไม่รู้ว่าเกรงกลัวในอานุภาพของแม่หมอ หรือเพราะกลัวในเสียงหัวเราะกันแน่ หญิงวัยกลางคนทั้งสองถึงได้กุมมือกันแน่นด้วยความกลัว
“ข้ารู้ ข้าเห็น มันคือคำสั่งของสวรรค์ อยู่ไกลก็จะได้ใกล้กัน อีกไม่นาน ฮ่าฮ่าๆ อีกไม่นานเกินรอ ชะตาจะชักนำมาพบกัน ฮ่าฮ่าๆ…” พูดจบ แม่หมอก็หัวเราะเสียงดังลั่นไปทั่วบ้าน หญิงวัยกลางทั้งสองต่างมองหน้าด้วยความฉงน ในคำที่แม่หมอบอก .....
ลานจอดรถห้างหรูใหญ่กลางเมืองกรุง ฯ เบื้องหลังต้นเสาคอนกรีตแข็งแรงขนาดใหญ่ รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ทางวิศวะกรผู้ออกแบบ สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นตัวค้ำจุนตึกให้ตั้งตระหง่านสวยงามอยู่กลางกรุงอย่างแข็งแรง พลันก็ปรากฎร่างชายหนุ่มนิรนาม ร่างสูง มองดูมีท่าทีพิรุธ พร้อมทั้งใส่หมวกปิดบังใบหน้า ซุ่มหลบมุมเสาของห้างทำท่าทางลับๆ ล่อๆ
ดวงตาเรียวเล็กอันมาจากเชื้อสายของเขากำลังมองเป้าหมายอย่างไม่ต้องการให้ละสายตา สายตาเฉียบคมจ้องมองไปยังชายหญิงคู่หนึ่ง ที่ตอนนี้กำลังโอบกอด หยอกล้อกันอย่างกะหนุงกระหนิงตามประสาคู่รักทั่วไป โดยที่พวกเขาทั้งสองคนไม่ทันรู้ตัวว่าตอนนี้เขาทั้งคู่กำลังถูกสะกดรอยตามจากใครบางคน มองผิวเผินชายหญิงคู่นี้ก็ดูเหมาะสมกันดี และดูท่าจะเป็นที่อิจฉาของใครหลายๆ คน ชายหนุ่มหน้าตาดี ดูท่าทางภูมิฐานกับหญิงสาวร่างเพรียว เฉี่ยว สมกับเป็นสาวยุคใหม่ ทว่าเรื่องคงจะดีถ้าฝ่ายชายนั้นไม่เคยมีสัมพันธ์รักกับผู้หญิงคนอื่นมาก่อน กวิน ชายหนุ่มผู้หลบอยู่มุมเสาจ้องมองคนทั้งคู่อย่างร้อนรน ตอนนี้เขากำลังประท้วงอยู่กับจิตใต้สำนึกของตัวเอง ชายหนุ่มรู้สึกไม่เข้าใจตัวเองเป็นอย่างมาก ว่าทำไมตนผู้ซึ่งไม่เคยจะใส่ใจเรื่องราวของคนอื่น ซ้ำยังไม่ได้มีนิสัยจุ้นเรื่องชาวบ้านไปทั่ว
แต่ทำไม.....นาทีนี้และ.....เวลานี้ !
เขาต้องมาทำตัวลับๆ ล่อๆ ราวกับโจรห้าร้อยที่เตรียมการมาเพื่อปล้นร้านทองซะอย่างนั้น “ไอ้อาทิตย์ !” เขาสบถอย่างหัวเสียให้กับผู้ชายที่อยู่เบื้องหน้า ซึ่งเขาเองนั้นก็รู้จักเป็นอย่างดี ‘อาทิตย์ วิเศษเพชร’ ไฮโซหนุ่มหล่อรวยคนรักของ วรดา อัธกานต์กุล ผู้หญิงซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของเขา
ตลอดเวลาที่ผ่านมากวินไม่เคยเชื่อมั่นในความรักของวรดาและอาทิตย์เลยแม้แต่น้อย นั่นก็เพราะชายหนุ่มรู้ดีว่าอาทิตย์ไม่เคยรักใครจริง สาเหตุที่อาทิตย์คบกับวรดาพี่สาวของตนก็เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจเพียงเท่านั้น มิหน่ำซ้ำพี่สาวของชายหนุ่มยังมีลูกติดพ่วงมาด้วย มีหรือที่อาทิตย์หนุ่มหล่อพ่อรวยจะยอมสยบให้กับพี่สาวของตน
กวินเองก็เพียรพยามยามเตือนพี่สาวของตัวเองอยู่เหมือนกันว่าให้เลิกยุ่งกับอาทิตย์ แต่ก็ติดตรงที่พี่สาวตัวดีของเขานั้นดันตกหลุมรักนายอาทิตย์ซะหัวปรักหัวปรำ จนไม่ยอมแม้จะฟังเหตุผลร้อยแปด ที่ผู้เป็นน้องสรรหามาพูดกรอกหูให้ตาสว่างจากผู้ชายมากรักที่ชื่อ อาทิตย์
“หึๆ คราวนี้แหละนายอาทิตย์ แกดิ้นไม่หลุดแน่” ชายหนุ่มหัวเราะร่วน อย่างอารมณ์ดี เมื่อเห็นหลักฐานชิ้นดีเดินว่อนอยู่ตรงหน้า
กวินนึกขอบคุณเพื่อนของตนที่นัดเขามาที่ห้างหรูแห่งนี้ นอกจากจะได้กินข้าวฟรีเพราะเพื่อนแพ้พนันบอลตนแล้ว ชายหนุ่มยังได้อะไรดีๆ ไปเป็นของฝากให้พี่สาวของเขาดูอีกด้วย ไม่แน่เจ้าหล่อนอาจจะหายตาบอดจากอาการความรักที่เธอมีให้ต่อนายอาทิตย์ก็เป็นได้
กวินค่อยๆ เขยิบเท้า ก้าวตามคู่ชายหญิงไป โดยไม่ให้ทั้งคู่รู้ตัวเพื่อจะได้เก็บภาพช็อตสำคัญไว้เป็นหลักฐานมัดตัวอาทิตย์ให้ดิ้นไม่หลุด แต่ทว่าระยะทางที่เขายืนอยู่นั้นอยู่ห่างจากทั้งคู่มาก ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเข้าไปประชิดตัวทั้งคู่มากขึ้นเพื่อที่จะได้ถ่ายรูปเก็บไว้ได้ชัดเจน
ถ้าเขาจำไม่ผิดอาชีพหลักของเขาก็คือช่างถ่ายภาพ แถมยังมีชื่อเสียงเป็นลำดับต้นๆ ของวงการบันเทิง มิหน่ำซ้ำกวินยังเป็นที่คลั่งไคล้ของดาราสาวๆ สวยๆ อีกทั้งไฮโซมากหน้าหลายตา แต่ไหงเวลานี้เขาถึงกลายไปเป็นปาปารัสซี่จำเป็นเอาซะได้
ชายหนุ่มเล็งสมาร์ทโฟนที่เขาเพิ่งจะถอยมันมาได้เพียงไม่กี่อาทิตย์ไปหาทั้งคู่ เพื่อใช้บันทึกภาพลับระหว่างว่าพี่ เขยกับชู้รักไว้ ชายหนุ่มไม่รอช้า กดชัตเตอร์เก็บภาพรัวอย่างไม่ยั้งมือ ทว่าจู่ๆ ว่าที่พี่เขยตัวแสบของเขาก็หันขวับมาทางด้านที่เขายืนอยู่เอาซะดื้อๆ
“เฮ้ย !!” ปาปารัสซี่หนุ่มจำเป็นร้องเสียงหลง ก่อนจะหันซ้ายแลขวาเพื่อหาที่กำบัง แต่โชคช่างไม่เข้าข้างเขาเอาซะเลย ต้นเสาที่เขาจะใช้กำบังกายก็ช่างอยู่ไกลซะเหลือเกิน ทว่าพอเหลือบมองด้านขวามือเขาก็เจอเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งขณะนี้เจ้าหล่อนกำลังก้มหน้าก้มตาใช้นิ้วจิ้มๆ ไปมาบนโทรศัพท์บนหน้าจอมือถืออย่างไม่ได้สนใจไยดีสภาพ แวดล้อมที่อยู่รอบกายของเธอเลยแม้แต่น้อย
พลัน...เขาก็คิดวิธีที่จะเอาตัวรอดพ้นจากสายตาของว่าที่พี่เขยจอมเจ้าชู้ของเขาออก “เอาว่ะเป็นไงเป็นกัน !!” กวินไม่รอช้าพุ่งพรวดเข้าไปสวมกอดหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า พร้อมกับซุกใบหน้าลงไปบนไหล่บางๆ ของหญิงสาว โดยไม่ทันได้เอ่ยปากขออนุญาติเจ้าของไหล่แม้แต่คำเดียวว่าเธอยินยอมหรือไม่ และก่อนที่หญิงสาวจะส่งเสียงร้องโวยวายเรียกให้ใครช่วย ด้วยกลัวจะโดนหาว่าเป็นไอ้โรคจิตเข้ามาลวนลามเธอ กวินก็ชิงพูดออกมาก่อนที่เธอจะได้อ้าปากพูดซะก่อน “ผมเป็นตำรวจ ตอนนี้ผมกำลังปฏิบัติภารกิจลับอยู่ ขอความกรุณาให้คุณอยู่เฉยๆ ด้วยถ้าไม่อยากโดนลูกหลง” กวินมุสาบอกกับหญิงสาวที่ตอนนี้เธอกำลังตกอยู่ภายใต้อ้อมกอดของเขาอยู่ “ห๊ะ ! คะ..คุณว่าอะไรนะ ? ” ‘พีชณา’ ผู้หญิงที่สถานะการณ์ตอนนี้บีบบังคับให้เข้าตาจน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพระศุกร์เข้า หรือเพราะพระเสาร์แทรกกันแน่ อยู่ดีไม่ว่าดีก็มีชายแปลกหน้าที่ไหนก็ไม่รู้โมเมเข้ามาสวมกอดเธอ เอาหน้าด้านๆ แถมยังอ้างตัวว่าเป็นตำรวจสายลับกำลังปฏิบัติภารกิจลับอะไรนั่นอยู่
เธอ....ควรจะเชื่อเขางั้นเหรอ ? แต่....ถ้าเขาไม่ใช่ตำรวจขึ้นมาละ เธอจะทำอย่างไร ?
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็แปลว่าเธอโดนไอ้บ้าโรคจิตนี่กอดฟรีๆ น่ะสิ !
หญิงสาวออกแรงดิ้น เพื่อให้พ้นจากการเกาะกุมของนายตำรวจหนุ่มจอมปลอม แต่…ยิ่งเธอขยับตัวมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรัดตัวเธอแน่นขึ้น “จุ๊ๆ..! เงียบก่อนคุณไม่เกินห้านาทีผมจะอธิบายทุกอย่างให้คุณฟัง” “หะ...ห้านาที !” หญิงสาวเผลอร้องออกมาเสียงหลง
ตั้งแต่โตเป็นสาวจนอายุปาเข้าไปยี่สิบห้า ชีวิตของเธอไม่เคยมีผู้ชายหน้าไหนได้กอดเธอเลยแม้แต่คนเดียว ยกเว้นก็แต่ ‘นายเคน’ น้องชายจอมรั้นของเธอก็เท่านั้น
แต่...นายคนนี้เป็นใครมาจากไหน และเขาถือวิสาสะอะไรมากอดเธอ ญาติก็ไม่ใช่ คนรู้จักก็ไม่ใช่ เพื่อนก็ยิ่งไม่ใช่ไปกันใหญ่ ถ้าเหตุผลของเขาฟังไม่ขึ้นแล้วเกิดว่าไม่ใช่ตำรวจจริงๆ ล่ะก็เป็นอันได้เห็นดีกันแน่ !! กวินลอบมองไปทางว่าที่พี่เขยตัวแสบอยู่ โดยที่เขาเองยังคงยึดร่างของหญิงสาวไว้เป็นเกราะกำบังตนเองจากสายตาของอาทิตย์อยู่ ถึงฝ่ายหญิงจะไม่ค่อยยินยอมแต่ว่าเธอก็ยอมให้ความร่วมมือ ยอมเป็นเกราะกำบังให้เขาแต่โดยดี กวินเพ่งสำรวจดูจนเป็นที่แน่ใจแล้วว่าอาทิตย์ไม่ได้หันมามองทางตนแต่อย่างใด ชายหนุ่มจึงใช้สมาร์ท โฟนของตนเก็บภาพต่อ
ในขณะเดียวกันพีชณาเองก็กำลังโต้เถียงกับตัวเองอย่างสุดฤทธิ์ นี่เธอจะยอมให้ตาตำรวจซึ่งไม่รู้ว่าเป็นตำรวจจริง(รึเปล่า)โอบเธออีกนานแค่ไหนกันเชียว ?
ว่าแล้วหญิงสาวก็แอบชำเลืองมองไปยังทิศทางที่ตำรวจจอมปลอมกำลังจับจ้องอยู่เพื่อที่จะดูว่าภารกิจลับที่เขาบอกว่ามันคืออะไรกันแน่
และ....ภาพที่เธอได้เห็นกลับกลายเป็นภาพชายหญิงคู่หนึ่งโอบกอดกันเดินเข้าประตูห้างไป ไม่ใช่
ชะตารัก (แหะๆ พอรอดมั้ยคะ ?)
ณ ห้างสรรพสินค้าหรูหราแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพ ฯ ภาพของหญิงวัยกลางคนๆ นึงกำลังนั่งจิบน้ำชาในร้านเบเกอรี่เพื่อฆ่าเวลารอใครบางคนอย่างอารมณ์ดี เพราะอีกไม่นาทีข้างหน้าสิ่งที่เธอเฝ้ารอมันกำลังจะเกิดขึ้น สิ่งที่เธอเพียรพยายามทำมันมาเกือบสองปี แม้ว่าอายุของเธอจะย่างเข้าเลขห้าแล้วก็ตาม หากแต่ว่าหน้าตาและรูปร่างของเธอยังคงสวยสะพรั่ง ราวกับสาวสี่สิบต้นๆ เสียด้วยซ้ำ แลดูเหมือนว่าอายุที่ล่วงเลยผ่านไปนั้นจะไม่ได้ก่อปัญหาให้กับเธอเอาเสียเลย
ตื๊ด....ตื๊ด !! เสียงสมาท์โฟนเครื่องแพงของเธอแผดเสียงดังระงมขึ้นจนเจ้าของเครื่องได้ยินมัน หญิงวัยกลางคนจึงรีบกดรับเมื่อเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามา
“ฮัลโหล ว่าไงลูกใกล้ถึงหรือยังจ๊ะ….” เธอกรอกเสียงหวานๆ ใส่หน้าจอ เมื่อรู้ว่าคนในสายคือลูกชายหัวแก้หัวแหวน ก่อนจะนิ่งฟังเสียงจากปลายสายอยู่ครู่นึง “ว่าไงนะลูก…ไม่ว่างเหรอ….. มีงานด่วน จ้ะๆ ไม่เป็นไรลูก มามี๊เข้าใจ” แววตาของเธอหม่นลง ถึงปากจะบอกไปอย่างนั้น หากแต่ในใจลึกๆ ของเธอกลับเรียกร้องในสิ่งตรงกันข้ามกับที่เธอพร่ำบอกคนในสาย “เฮ้ออ..ทุกทีเลย แล้วเมื่อไหร่จะได้เจอกันสักทีละทีนี้ พัง พัง !!”
ครู่ต่อมาคนที่เธอรอก็เดินทางมาถึง “เกสร…” เธอเอ่ยทักทายผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกัน ที่กำลังมุ่งหน้ามาที่โต๊ะ ก่อนจะเอ่ยปากถามอย่างไม่รีรอให้บั้นท้ายของอีกฝ่ายถึงเก้าอี้ด้วยซ้ำ “หนูชณาไม่ได้มาด้วยเหรอ ?” “ชณาบอกฉันว่ามีงานด่วนน่ะ เลยมาไม่ได้ แล้วลูกชายเธอล่ะ ” หญิงวัยกลางคนที่ชื่อเกสรแจง แม้ว่าเกสรจะดูเจ้าเนื้อไปหน่อยแต่เรื่องความสวยแล้ว เกสรเองก็มีหน้าตาที่สวยไม่ต่างจากเพื่อนของเธอเลยสักน้อย จะต่างหน่อยก็ตรงที่ท่าทางที่ดูเรียบร้อยและสำรวมมากกว่าก็เท่านั้น
วรรณภาและเกสรต่างเป็นเพื่อนรักสมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน ทว่าถึงเวลาจะล่วงเลยผ่านไปเกือยี่สิบปีแล้ว ทั้งคู่ก็ยังติดต่อกันอยู่เหมือนเคย ถึงแม้ต่างคนจะต่างมีครอบครัวแล้วก็ตาม แต่ความเป็นเพื่อนระหว่างเธอทั้งสองนั้นไม่ได้ลดน้อยลงไปตามกาลเวลาเลยสักนิดเดียว
และเพื่อกระชับมิตรภาพให้แน่นแฟ้นมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ นี่จึงเป็นเหตุผลให้ทั้งคู่มานั่งอยู่ด้วยกันในตอนนี้ เวลานี้
“เหมือนกัน…” วรรณภาตอบคำถามอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ให้มันได้อย่างนี้ซิ เรานัดกันมาตั้งสิบกว่าครั้งแล้วนะเกสร คลาดกันตลอดเลย ”
“ก็นั่นน่ะสิวรรณ....” เกสรคล้อยตาม แต่ทว่าแววตาของเธอกลับแสดงออกว่ากำลังลังเลหรือกลัวอะไรสักอย่างอยู่ “ฉันว่าเราเลิกล้มแผนดีกว่านะ อย่าไปบังคับใจเด็กๆ เลย” ในที่สุดเกสรก็พูดมันออกไป แม้จะรู้ว่ามันขัดใจเพื่อนแต่สุดท้ายแล้วเธอก็ต้องทำมัน
ทันทีที่ได้ฟัง....คุณหญิงวรรณภา เจ้าของกิจการ world dimond ผู้ผลิตเครื่องประดับส่งออกนอกเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ก็แจกค้อนด้ามโตให้ผู้เป็นเพื่อนรักทันที “ไม่ได้ !! หยุดพูดเลยนะเกสร ยังไงซะฉันก็จะเอาหนูชณามาเป็นลูกสะใภ้ฉันให้ได้.. ”
เกสรถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย เวลาที่ผ่านไปเนิ่นนานไม่ได้พรากความเอาแต่ใจของวรรณภาไปเลยสักนิดเดียว “ป่ะ...ไปกัน”
“ไปไหน ฉันพึ่งมาถึงเองนะ” เกสรถามพร้อมกับรั้งท่อนแขนอีกฝ่ายไว้ แววตาบ่งบอกถึงความสงสัย ไม่เข้าใจว่าเพื่อนรักของเธอคิดจะทำอะไรต่อ เธอทั้งคู่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง !
คนนึงเรียบดั่งภูเขาไฟที่พร้อมจะปะทุตลอดเวลา....ส่วนอีกคนนึงก็เย็นราวกับภูเขาที่กำลังหลับใหลมานานนับหลายล้านปี
“มาเถอะน่า....” วรรณภาบอกพร้อมกับจูงมือที่ดูเหมือนจะเป็นการลากซะมากว่าของเพื่อนวัยเดียวกันออกจากร้านเบเกอรี่ไป
บ้านเรือนไทยทรงโบราณ ภายในบ้านเต็มไปด้วยเครื่องรางของขลังนานชนิด ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นของเด็กผู้ชายน่าตาน่ารัก แต่น้อยคนนักที่จะมี หรือจะเป็นรูปปั้นผู้หญิงหน้าตาสระสวยแต่มองดูน่ากลัวพิลึกก็มี หญิงวัยกลางคนทั้งสองนั่งกุมมือกันและกันแน่น ก่อนที่ผู้หญิงหนึ่งในสองคนจะเอ่ยปากพูดอะไรสักอย่างขึ้นมา “เป็นไงบ้างคะแม่หมอ ดวงของลูกๆ ดิฉันใช่เนื้อคู่กันหรือเปล่าคะ ?” และแน่นอนคนที่พูดประโยคนี้ก็คือวรรณภานั่นเอง เกสรจึงได้แต่นั่งฟังนิ่งๆ ในสิ่งที่เพื่อนรักถามก็เท่านั้น
แม่หมอร่างทรงค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ มองหญิงวัยกลางคนทั้งสองตามเขม็ง ก่อนจะหัวเราะดังลั่นตามสูตรที่ใครหลายคนเคยเห็นในทีวี เมื่อเวลาเทพเข้าประทับทรง ไม่รู้ว่าเกรงกลัวในอานุภาพของแม่หมอ หรือเพราะกลัวในเสียงหัวเราะกันแน่ หญิงวัยกลางคนทั้งสองถึงได้กุมมือกันแน่นด้วยความกลัว
“ข้ารู้ ข้าเห็น มันคือคำสั่งของสวรรค์ อยู่ไกลก็จะได้ใกล้กัน อีกไม่นาน ฮ่าฮ่าๆ อีกไม่นานเกินรอ ชะตาจะชักนำมาพบกัน ฮ่าฮ่าๆ…” พูดจบ แม่หมอก็หัวเราะเสียงดังลั่นไปทั่วบ้าน หญิงวัยกลางทั้งสองต่างมองหน้าด้วยความฉงน ในคำที่แม่หมอบอก .....
ลานจอดรถห้างหรูใหญ่กลางเมืองกรุง ฯ เบื้องหลังต้นเสาคอนกรีตแข็งแรงขนาดใหญ่ รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ทางวิศวะกรผู้ออกแบบ สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นตัวค้ำจุนตึกให้ตั้งตระหง่านสวยงามอยู่กลางกรุงอย่างแข็งแรง พลันก็ปรากฎร่างชายหนุ่มนิรนาม ร่างสูง มองดูมีท่าทีพิรุธ พร้อมทั้งใส่หมวกปิดบังใบหน้า ซุ่มหลบมุมเสาของห้างทำท่าทางลับๆ ล่อๆ
ดวงตาเรียวเล็กอันมาจากเชื้อสายของเขากำลังมองเป้าหมายอย่างไม่ต้องการให้ละสายตา สายตาเฉียบคมจ้องมองไปยังชายหญิงคู่หนึ่ง ที่ตอนนี้กำลังโอบกอด หยอกล้อกันอย่างกะหนุงกระหนิงตามประสาคู่รักทั่วไป โดยที่พวกเขาทั้งสองคนไม่ทันรู้ตัวว่าตอนนี้เขาทั้งคู่กำลังถูกสะกดรอยตามจากใครบางคน มองผิวเผินชายหญิงคู่นี้ก็ดูเหมาะสมกันดี และดูท่าจะเป็นที่อิจฉาของใครหลายๆ คน ชายหนุ่มหน้าตาดี ดูท่าทางภูมิฐานกับหญิงสาวร่างเพรียว เฉี่ยว สมกับเป็นสาวยุคใหม่ ทว่าเรื่องคงจะดีถ้าฝ่ายชายนั้นไม่เคยมีสัมพันธ์รักกับผู้หญิงคนอื่นมาก่อน กวิน ชายหนุ่มผู้หลบอยู่มุมเสาจ้องมองคนทั้งคู่อย่างร้อนรน ตอนนี้เขากำลังประท้วงอยู่กับจิตใต้สำนึกของตัวเอง ชายหนุ่มรู้สึกไม่เข้าใจตัวเองเป็นอย่างมาก ว่าทำไมตนผู้ซึ่งไม่เคยจะใส่ใจเรื่องราวของคนอื่น ซ้ำยังไม่ได้มีนิสัยจุ้นเรื่องชาวบ้านไปทั่ว
แต่ทำไม.....นาทีนี้และ.....เวลานี้ !
เขาต้องมาทำตัวลับๆ ล่อๆ ราวกับโจรห้าร้อยที่เตรียมการมาเพื่อปล้นร้านทองซะอย่างนั้น “ไอ้อาทิตย์ !” เขาสบถอย่างหัวเสียให้กับผู้ชายที่อยู่เบื้องหน้า ซึ่งเขาเองนั้นก็รู้จักเป็นอย่างดี ‘อาทิตย์ วิเศษเพชร’ ไฮโซหนุ่มหล่อรวยคนรักของ วรดา อัธกานต์กุล ผู้หญิงซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของเขา
ตลอดเวลาที่ผ่านมากวินไม่เคยเชื่อมั่นในความรักของวรดาและอาทิตย์เลยแม้แต่น้อย นั่นก็เพราะชายหนุ่มรู้ดีว่าอาทิตย์ไม่เคยรักใครจริง สาเหตุที่อาทิตย์คบกับวรดาพี่สาวของตนก็เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจเพียงเท่านั้น มิหน่ำซ้ำพี่สาวของชายหนุ่มยังมีลูกติดพ่วงมาด้วย มีหรือที่อาทิตย์หนุ่มหล่อพ่อรวยจะยอมสยบให้กับพี่สาวของตน
กวินเองก็เพียรพยามยามเตือนพี่สาวของตัวเองอยู่เหมือนกันว่าให้เลิกยุ่งกับอาทิตย์ แต่ก็ติดตรงที่พี่สาวตัวดีของเขานั้นดันตกหลุมรักนายอาทิตย์ซะหัวปรักหัวปรำ จนไม่ยอมแม้จะฟังเหตุผลร้อยแปด ที่ผู้เป็นน้องสรรหามาพูดกรอกหูให้ตาสว่างจากผู้ชายมากรักที่ชื่อ อาทิตย์
“หึๆ คราวนี้แหละนายอาทิตย์ แกดิ้นไม่หลุดแน่” ชายหนุ่มหัวเราะร่วน อย่างอารมณ์ดี เมื่อเห็นหลักฐานชิ้นดีเดินว่อนอยู่ตรงหน้า
กวินนึกขอบคุณเพื่อนของตนที่นัดเขามาที่ห้างหรูแห่งนี้ นอกจากจะได้กินข้าวฟรีเพราะเพื่อนแพ้พนันบอลตนแล้ว ชายหนุ่มยังได้อะไรดีๆ ไปเป็นของฝากให้พี่สาวของเขาดูอีกด้วย ไม่แน่เจ้าหล่อนอาจจะหายตาบอดจากอาการความรักที่เธอมีให้ต่อนายอาทิตย์ก็เป็นได้
กวินค่อยๆ เขยิบเท้า ก้าวตามคู่ชายหญิงไป โดยไม่ให้ทั้งคู่รู้ตัวเพื่อจะได้เก็บภาพช็อตสำคัญไว้เป็นหลักฐานมัดตัวอาทิตย์ให้ดิ้นไม่หลุด แต่ทว่าระยะทางที่เขายืนอยู่นั้นอยู่ห่างจากทั้งคู่มาก ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเข้าไปประชิดตัวทั้งคู่มากขึ้นเพื่อที่จะได้ถ่ายรูปเก็บไว้ได้ชัดเจน
ถ้าเขาจำไม่ผิดอาชีพหลักของเขาก็คือช่างถ่ายภาพ แถมยังมีชื่อเสียงเป็นลำดับต้นๆ ของวงการบันเทิง มิหน่ำซ้ำกวินยังเป็นที่คลั่งไคล้ของดาราสาวๆ สวยๆ อีกทั้งไฮโซมากหน้าหลายตา แต่ไหงเวลานี้เขาถึงกลายไปเป็นปาปารัสซี่จำเป็นเอาซะได้
ชายหนุ่มเล็งสมาร์ทโฟนที่เขาเพิ่งจะถอยมันมาได้เพียงไม่กี่อาทิตย์ไปหาทั้งคู่ เพื่อใช้บันทึกภาพลับระหว่างว่าพี่ เขยกับชู้รักไว้ ชายหนุ่มไม่รอช้า กดชัตเตอร์เก็บภาพรัวอย่างไม่ยั้งมือ ทว่าจู่ๆ ว่าที่พี่เขยตัวแสบของเขาก็หันขวับมาทางด้านที่เขายืนอยู่เอาซะดื้อๆ
“เฮ้ย !!” ปาปารัสซี่หนุ่มจำเป็นร้องเสียงหลง ก่อนจะหันซ้ายแลขวาเพื่อหาที่กำบัง แต่โชคช่างไม่เข้าข้างเขาเอาซะเลย ต้นเสาที่เขาจะใช้กำบังกายก็ช่างอยู่ไกลซะเหลือเกิน ทว่าพอเหลือบมองด้านขวามือเขาก็เจอเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งขณะนี้เจ้าหล่อนกำลังก้มหน้าก้มตาใช้นิ้วจิ้มๆ ไปมาบนโทรศัพท์บนหน้าจอมือถืออย่างไม่ได้สนใจไยดีสภาพ แวดล้อมที่อยู่รอบกายของเธอเลยแม้แต่น้อย
พลัน...เขาก็คิดวิธีที่จะเอาตัวรอดพ้นจากสายตาของว่าที่พี่เขยจอมเจ้าชู้ของเขาออก “เอาว่ะเป็นไงเป็นกัน !!” กวินไม่รอช้าพุ่งพรวดเข้าไปสวมกอดหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า พร้อมกับซุกใบหน้าลงไปบนไหล่บางๆ ของหญิงสาว โดยไม่ทันได้เอ่ยปากขออนุญาติเจ้าของไหล่แม้แต่คำเดียวว่าเธอยินยอมหรือไม่ และก่อนที่หญิงสาวจะส่งเสียงร้องโวยวายเรียกให้ใครช่วย ด้วยกลัวจะโดนหาว่าเป็นไอ้โรคจิตเข้ามาลวนลามเธอ กวินก็ชิงพูดออกมาก่อนที่เธอจะได้อ้าปากพูดซะก่อน “ผมเป็นตำรวจ ตอนนี้ผมกำลังปฏิบัติภารกิจลับอยู่ ขอความกรุณาให้คุณอยู่เฉยๆ ด้วยถ้าไม่อยากโดนลูกหลง” กวินมุสาบอกกับหญิงสาวที่ตอนนี้เธอกำลังตกอยู่ภายใต้อ้อมกอดของเขาอยู่ “ห๊ะ ! คะ..คุณว่าอะไรนะ ? ” ‘พีชณา’ ผู้หญิงที่สถานะการณ์ตอนนี้บีบบังคับให้เข้าตาจน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพระศุกร์เข้า หรือเพราะพระเสาร์แทรกกันแน่ อยู่ดีไม่ว่าดีก็มีชายแปลกหน้าที่ไหนก็ไม่รู้โมเมเข้ามาสวมกอดเธอ เอาหน้าด้านๆ แถมยังอ้างตัวว่าเป็นตำรวจสายลับกำลังปฏิบัติภารกิจลับอะไรนั่นอยู่
เธอ....ควรจะเชื่อเขางั้นเหรอ ? แต่....ถ้าเขาไม่ใช่ตำรวจขึ้นมาละ เธอจะทำอย่างไร ?
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็แปลว่าเธอโดนไอ้บ้าโรคจิตนี่กอดฟรีๆ น่ะสิ !
หญิงสาวออกแรงดิ้น เพื่อให้พ้นจากการเกาะกุมของนายตำรวจหนุ่มจอมปลอม แต่…ยิ่งเธอขยับตัวมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรัดตัวเธอแน่นขึ้น “จุ๊ๆ..! เงียบก่อนคุณไม่เกินห้านาทีผมจะอธิบายทุกอย่างให้คุณฟัง” “หะ...ห้านาที !” หญิงสาวเผลอร้องออกมาเสียงหลง
ตั้งแต่โตเป็นสาวจนอายุปาเข้าไปยี่สิบห้า ชีวิตของเธอไม่เคยมีผู้ชายหน้าไหนได้กอดเธอเลยแม้แต่คนเดียว ยกเว้นก็แต่ ‘นายเคน’ น้องชายจอมรั้นของเธอก็เท่านั้น
แต่...นายคนนี้เป็นใครมาจากไหน และเขาถือวิสาสะอะไรมากอดเธอ ญาติก็ไม่ใช่ คนรู้จักก็ไม่ใช่ เพื่อนก็ยิ่งไม่ใช่ไปกันใหญ่ ถ้าเหตุผลของเขาฟังไม่ขึ้นแล้วเกิดว่าไม่ใช่ตำรวจจริงๆ ล่ะก็เป็นอันได้เห็นดีกันแน่ !! กวินลอบมองไปทางว่าที่พี่เขยตัวแสบอยู่ โดยที่เขาเองยังคงยึดร่างของหญิงสาวไว้เป็นเกราะกำบังตนเองจากสายตาของอาทิตย์อยู่ ถึงฝ่ายหญิงจะไม่ค่อยยินยอมแต่ว่าเธอก็ยอมให้ความร่วมมือ ยอมเป็นเกราะกำบังให้เขาแต่โดยดี กวินเพ่งสำรวจดูจนเป็นที่แน่ใจแล้วว่าอาทิตย์ไม่ได้หันมามองทางตนแต่อย่างใด ชายหนุ่มจึงใช้สมาร์ท โฟนของตนเก็บภาพต่อ
ในขณะเดียวกันพีชณาเองก็กำลังโต้เถียงกับตัวเองอย่างสุดฤทธิ์ นี่เธอจะยอมให้ตาตำรวจซึ่งไม่รู้ว่าเป็นตำรวจจริง(รึเปล่า)โอบเธออีกนานแค่ไหนกันเชียว ?
ว่าแล้วหญิงสาวก็แอบชำเลืองมองไปยังทิศทางที่ตำรวจจอมปลอมกำลังจับจ้องอยู่เพื่อที่จะดูว่าภารกิจลับที่เขาบอกว่ามันคืออะไรกันแน่
และ....ภาพที่เธอได้เห็นกลับกลายเป็นภาพชายหญิงคู่หนึ่งโอบกอดกันเดินเข้าประตูห้างไป ไม่ใช่