ชะตารัก (แหะๆ พอรอดมั้ยคะ ?)

กระทู้สนทนา
บทนำ
ณ ห้างสรรพสินค้าหรูหราแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพ ฯ  ภาพของหญิงวัยกลางคนๆ นึงกำลังนั่งจิบน้ำชาในร้านเบเกอรี่เพื่อฆ่าเวลารอใครบางคนอย่างอารมณ์ดี    เพราะอีกไม่นาทีข้างหน้าสิ่งที่เธอเฝ้ารอมันกำลังจะเกิดขึ้น     สิ่งที่เธอเพียรพยายามทำมันมาเกือบสองปี                                             แม้ว่าอายุของเธอจะย่างเข้าเลขห้าแล้วก็ตาม   หากแต่ว่าหน้าตาและรูปร่างของเธอยังคงสวยสะพรั่ง   ราวกับสาวสี่สิบต้นๆ เสียด้วยซ้ำ   แลดูเหมือนว่าอายุที่ล่วงเลยผ่านไปนั้นจะไม่ได้ก่อปัญหาให้กับเธอเอาเสียเลย
                ตื๊ด....ตื๊ด !!                                             เสียงสมาท์โฟนเครื่องแพงของเธอแผดเสียงดังระงมขึ้นจนเจ้าของเครื่องได้ยินมัน  หญิงวัยกลางคนจึงรีบกดรับเมื่อเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามา                                             
“ฮัลโหล ว่าไงลูกใกล้ถึงหรือยังจ๊ะ….”  เธอกรอกเสียงหวานๆ ใส่หน้าจอ  เมื่อรู้ว่าคนในสายคือลูกชายหัวแก้หัวแหวน    ก่อนจะนิ่งฟังเสียงจากปลายสายอยู่ครู่นึง “ว่าไงนะลูก…ไม่ว่างเหรอ….. มีงานด่วน  จ้ะๆ ไม่เป็นไรลูก มามี๊เข้าใจ”   แววตาของเธอหม่นลง  ถึงปากจะบอกไปอย่างนั้น   หากแต่ในใจลึกๆ ของเธอกลับเรียกร้องในสิ่งตรงกันข้ามกับที่เธอพร่ำบอกคนในสาย                                                 “เฮ้ออ..ทุกทีเลย แล้วเมื่อไหร่จะได้เจอกันสักทีละทีนี้ พัง พัง !!”  

ครู่ต่อมาคนที่เธอรอก็เดินทางมาถึง   “เกสร…”   เธอเอ่ยทักทายผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกัน  ที่กำลังมุ่งหน้ามาที่โต๊ะ ก่อนจะเอ่ยปากถามอย่างไม่รีรอให้บั้นท้ายของอีกฝ่ายถึงเก้าอี้ด้วยซ้ำ   “หนูชณาไม่ได้มาด้วยเหรอ ?”            “ชณาบอกฉันว่ามีงานด่วนน่ะ  เลยมาไม่ได้  แล้วลูกชายเธอล่ะ ”  หญิงวัยกลางคนที่ชื่อเกสรแจง   แม้ว่าเกสรจะดูเจ้าเนื้อไปหน่อยแต่เรื่องความสวยแล้ว  เกสรเองก็มีหน้าตาที่สวยไม่ต่างจากเพื่อนของเธอเลยสักน้อย   จะต่างหน่อยก็ตรงที่ท่าทางที่ดูเรียบร้อยและสำรวมมากกว่าก็เท่านั้น  
วรรณภาและเกสรต่างเป็นเพื่อนรักสมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน  ทว่าถึงเวลาจะล่วงเลยผ่านไปเกือยี่สิบปีแล้ว ทั้งคู่ก็ยังติดต่อกันอยู่เหมือนเคย  ถึงแม้ต่างคนจะต่างมีครอบครัวแล้วก็ตาม แต่ความเป็นเพื่อนระหว่างเธอทั้งสองนั้นไม่ได้ลดน้อยลงไปตามกาลเวลาเลยสักนิดเดียว
และเพื่อกระชับมิตรภาพให้แน่นแฟ้นมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่  นี่จึงเป็นเหตุผลให้ทั้งคู่มานั่งอยู่ด้วยกันในตอนนี้  เวลานี้  
“เหมือนกัน…”  วรรณภาตอบคำถามอย่างไม่สบอารมณ์นัก  “ให้มันได้อย่างนี้ซิ   เรานัดกันมาตั้งสิบกว่าครั้งแล้วนะเกสร  คลาดกันตลอดเลย ”                 
“ก็นั่นน่ะสิวรรณ....” เกสรคล้อยตาม   แต่ทว่าแววตาของเธอกลับแสดงออกว่ากำลังลังเลหรือกลัวอะไรสักอย่างอยู่ “ฉันว่าเราเลิกล้มแผนดีกว่านะ อย่าไปบังคับใจเด็กๆ เลย” ในที่สุดเกสรก็พูดมันออกไป   แม้จะรู้ว่ามันขัดใจเพื่อนแต่สุดท้ายแล้วเธอก็ต้องทำมัน
ทันทีที่ได้ฟัง....คุณหญิงวรรณภา  เจ้าของกิจการ world  dimond  ผู้ผลิตเครื่องประดับส่งออกนอกเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ  ก็แจกค้อนด้ามโตให้ผู้เป็นเพื่อนรักทันที “ไม่ได้  !! หยุดพูดเลยนะเกสร  ยังไงซะฉันก็จะเอาหนูชณามาเป็นลูกสะใภ้ฉันให้ได้.. ”  
เกสรถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย  เวลาที่ผ่านไปเนิ่นนานไม่ได้พรากความเอาแต่ใจของวรรณภาไปเลยสักนิดเดียว   “ป่ะ...ไปกัน”  
“ไปไหน  ฉันพึ่งมาถึงเองนะ”  เกสรถามพร้อมกับรั้งท่อนแขนอีกฝ่ายไว้   แววตาบ่งบอกถึงความสงสัย  ไม่เข้าใจว่าเพื่อนรักของเธอคิดจะทำอะไรต่อ                                          เธอทั้งคู่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง  !
  คนนึงเรียบดั่งภูเขาไฟที่พร้อมจะปะทุตลอดเวลา....ส่วนอีกคนนึงก็เย็นราวกับภูเขาที่กำลังหลับใหลมานานนับหลายล้านปี                          
“มาเถอะน่า....”  วรรณภาบอกพร้อมกับจูงมือที่ดูเหมือนจะเป็นการลากซะมากว่าของเพื่อนวัยเดียวกันออกจากร้านเบเกอรี่ไป

บ้านเรือนไทยทรงโบราณ  ภายในบ้านเต็มไปด้วยเครื่องรางของขลังนานชนิด   ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นของเด็กผู้ชายน่าตาน่ารัก    แต่น้อยคนนักที่จะมี  หรือจะเป็นรูปปั้นผู้หญิงหน้าตาสระสวยแต่มองดูน่ากลัวพิลึกก็มี    หญิงวัยกลางคนทั้งสองนั่งกุมมือกันและกันแน่น   ก่อนที่ผู้หญิงหนึ่งในสองคนจะเอ่ยปากพูดอะไรสักอย่างขึ้นมา                 “เป็นไงบ้างคะแม่หมอ  ดวงของลูกๆ ดิฉันใช่เนื้อคู่กันหรือเปล่าคะ ?” และแน่นอนคนที่พูดประโยคนี้ก็คือวรรณภานั่นเอง  เกสรจึงได้แต่นั่งฟังนิ่งๆ ในสิ่งที่เพื่อนรักถามก็เท่านั้น
แม่หมอร่างทรงค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ มองหญิงวัยกลางคนทั้งสองตามเขม็ง  ก่อนจะหัวเราะดังลั่นตามสูตรที่ใครหลายคนเคยเห็นในทีวี  เมื่อเวลาเทพเข้าประทับทรง  ไม่รู้ว่าเกรงกลัวในอานุภาพของแม่หมอ หรือเพราะกลัวในเสียงหัวเราะกันแน่   หญิงวัยกลางคนทั้งสองถึงได้กุมมือกันแน่นด้วยความกลัว
“ข้ารู้ ข้าเห็น มันคือคำสั่งของสวรรค์  อยู่ไกลก็จะได้ใกล้กัน  อีกไม่นาน ฮ่าฮ่าๆ อีกไม่นานเกินรอ ชะตาจะชักนำมาพบกัน ฮ่าฮ่าๆ…”   พูดจบ  แม่หมอก็หัวเราะเสียงดังลั่นไปทั่วบ้าน  หญิงวัยกลางทั้งสองต่างมองหน้าด้วยความฉงน  ในคำที่แม่หมอบอก .....                                                            
ลานจอดรถห้างหรูใหญ่กลางเมืองกรุง ฯ เบื้องหลังต้นเสาคอนกรีตแข็งแรงขนาดใหญ่  รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ทางวิศวะกรผู้ออกแบบ  สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นตัวค้ำจุนตึกให้ตั้งตระหง่านสวยงามอยู่กลางกรุงอย่างแข็งแรง                พลันก็ปรากฎร่างชายหนุ่มนิรนาม  ร่างสูง  มองดูมีท่าทีพิรุธ พร้อมทั้งใส่หมวกปิดบังใบหน้า  ซุ่มหลบมุมเสาของห้างทำท่าทางลับๆ ล่อๆ  
ดวงตาเรียวเล็กอันมาจากเชื้อสายของเขากำลังมองเป้าหมายอย่างไม่ต้องการให้ละสายตา  สายตาเฉียบคมจ้องมองไปยังชายหญิงคู่หนึ่ง   ที่ตอนนี้กำลังโอบกอด  หยอกล้อกันอย่างกะหนุงกระหนิงตามประสาคู่รักทั่วไป     โดยที่พวกเขาทั้งสองคนไม่ทันรู้ตัวว่าตอนนี้เขาทั้งคู่กำลังถูกสะกดรอยตามจากใครบางคน                        มองผิวเผินชายหญิงคู่นี้ก็ดูเหมาะสมกันดี  และดูท่าจะเป็นที่อิจฉาของใครหลายๆ คน   ชายหนุ่มหน้าตาดี  ดูท่าทางภูมิฐานกับหญิงสาวร่างเพรียว  เฉี่ยว สมกับเป็นสาวยุคใหม่  ทว่าเรื่องคงจะดีถ้าฝ่ายชายนั้นไม่เคยมีสัมพันธ์รักกับผู้หญิงคนอื่นมาก่อน                                                กวิน  ชายหนุ่มผู้หลบอยู่มุมเสาจ้องมองคนทั้งคู่อย่างร้อนรน   ตอนนี้เขากำลังประท้วงอยู่กับจิตใต้สำนึกของตัวเอง ชายหนุ่มรู้สึกไม่เข้าใจตัวเองเป็นอย่างมาก   ว่าทำไมตนผู้ซึ่งไม่เคยจะใส่ใจเรื่องราวของคนอื่น      ซ้ำยังไม่ได้มีนิสัยจุ้นเรื่องชาวบ้านไปทั่ว
แต่ทำไม.....นาทีนี้และ.....เวลานี้ !
เขาต้องมาทำตัวลับๆ ล่อๆ ราวกับโจรห้าร้อยที่เตรียมการมาเพื่อปล้นร้านทองซะอย่างนั้น   “ไอ้อาทิตย์ !”  เขาสบถอย่างหัวเสียให้กับผู้ชายที่อยู่เบื้องหน้า   ซึ่งเขาเองนั้นก็รู้จักเป็นอย่างดี   ‘อาทิตย์  วิเศษเพชร’ ไฮโซหนุ่มหล่อรวยคนรักของ วรดา  อัธกานต์กุล  ผู้หญิงซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของเขา  
ตลอดเวลาที่ผ่านมากวินไม่เคยเชื่อมั่นในความรักของวรดาและอาทิตย์เลยแม้แต่น้อย     นั่นก็เพราะชายหนุ่มรู้ดีว่าอาทิตย์ไม่เคยรักใครจริง   สาเหตุที่อาทิตย์คบกับวรดาพี่สาวของตนก็เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจเพียงเท่านั้น  มิหน่ำซ้ำพี่สาวของชายหนุ่มยังมีลูกติดพ่วงมาด้วย   มีหรือที่อาทิตย์หนุ่มหล่อพ่อรวยจะยอมสยบให้กับพี่สาวของตน
กวินเองก็เพียรพยามยามเตือนพี่สาวของตัวเองอยู่เหมือนกันว่าให้เลิกยุ่งกับอาทิตย์  แต่ก็ติดตรงที่พี่สาวตัวดีของเขานั้นดันตกหลุมรักนายอาทิตย์ซะหัวปรักหัวปรำ  จนไม่ยอมแม้จะฟังเหตุผลร้อยแปด ที่ผู้เป็นน้องสรรหามาพูดกรอกหูให้ตาสว่างจากผู้ชายมากรักที่ชื่อ อาทิตย์                                
“หึๆ คราวนี้แหละนายอาทิตย์ แกดิ้นไม่หลุดแน่” ชายหนุ่มหัวเราะร่วน  อย่างอารมณ์ดี     เมื่อเห็นหลักฐานชิ้นดีเดินว่อนอยู่ตรงหน้า             
กวินนึกขอบคุณเพื่อนของตนที่นัดเขามาที่ห้างหรูแห่งนี้   นอกจากจะได้กินข้าวฟรีเพราะเพื่อนแพ้พนันบอลตนแล้ว   ชายหนุ่มยังได้อะไรดีๆ ไปเป็นของฝากให้พี่สาวของเขาดูอีกด้วย    ไม่แน่เจ้าหล่อนอาจจะหายตาบอดจากอาการความรักที่เธอมีให้ต่อนายอาทิตย์ก็เป็นได้
กวินค่อยๆ  เขยิบเท้า  ก้าวตามคู่ชายหญิงไป  โดยไม่ให้ทั้งคู่รู้ตัวเพื่อจะได้เก็บภาพช็อตสำคัญไว้เป็นหลักฐานมัดตัวอาทิตย์ให้ดิ้นไม่หลุด  แต่ทว่าระยะทางที่เขายืนอยู่นั้นอยู่ห่างจากทั้งคู่มาก  ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเข้าไปประชิดตัวทั้งคู่มากขึ้นเพื่อที่จะได้ถ่ายรูปเก็บไว้ได้ชัดเจน                                  
ถ้าเขาจำไม่ผิดอาชีพหลักของเขาก็คือช่างถ่ายภาพ   แถมยังมีชื่อเสียงเป็นลำดับต้นๆ ของวงการบันเทิง  มิหน่ำซ้ำกวินยังเป็นที่คลั่งไคล้ของดาราสาวๆ สวยๆ อีกทั้งไฮโซมากหน้าหลายตา แต่ไหงเวลานี้เขาถึงกลายไปเป็นปาปารัสซี่จำเป็นเอาซะได้        
ชายหนุ่มเล็งสมาร์ทโฟนที่เขาเพิ่งจะถอยมันมาได้เพียงไม่กี่อาทิตย์ไปหาทั้งคู่  เพื่อใช้บันทึกภาพลับระหว่างว่าพี่ เขยกับชู้รักไว้    ชายหนุ่มไม่รอช้า  กดชัตเตอร์เก็บภาพรัวอย่างไม่ยั้งมือ                         ทว่าจู่ๆ ว่าที่พี่เขยตัวแสบของเขาก็หันขวับมาทางด้านที่เขายืนอยู่เอาซะดื้อๆ  
“เฮ้ย !!”  ปาปารัสซี่หนุ่มจำเป็นร้องเสียงหลง  ก่อนจะหันซ้ายแลขวาเพื่อหาที่กำบัง  แต่โชคช่างไม่เข้าข้างเขาเอาซะเลย   ต้นเสาที่เขาจะใช้กำบังกายก็ช่างอยู่ไกลซะเหลือเกิน   ทว่าพอเหลือบมองด้านขวามือเขาก็เจอเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งขณะนี้เจ้าหล่อนกำลังก้มหน้าก้มตาใช้นิ้วจิ้มๆ ไปมาบนโทรศัพท์บนหน้าจอมือถืออย่างไม่ได้สนใจไยดีสภาพ แวดล้อมที่อยู่รอบกายของเธอเลยแม้แต่น้อย  
พลัน...เขาก็คิดวิธีที่จะเอาตัวรอดพ้นจากสายตาของว่าที่พี่เขยจอมเจ้าชู้ของเขาออก                 “เอาว่ะเป็นไงเป็นกัน !!”  กวินไม่รอช้าพุ่งพรวดเข้าไปสวมกอดหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า  พร้อมกับซุกใบหน้าลงไปบนไหล่บางๆ ของหญิงสาว   โดยไม่ทันได้เอ่ยปากขออนุญาติเจ้าของไหล่แม้แต่คำเดียวว่าเธอยินยอมหรือไม่      และก่อนที่หญิงสาวจะส่งเสียงร้องโวยวายเรียกให้ใครช่วย   ด้วยกลัวจะโดนหาว่าเป็นไอ้โรคจิตเข้ามาลวนลามเธอ  กวินก็ชิงพูดออกมาก่อนที่เธอจะได้อ้าปากพูดซะก่อน                                        “ผมเป็นตำรวจ   ตอนนี้ผมกำลังปฏิบัติภารกิจลับอยู่   ขอความกรุณาให้คุณอยู่เฉยๆ ด้วยถ้าไม่อยากโดนลูกหลง” กวินมุสาบอกกับหญิงสาวที่ตอนนี้เธอกำลังตกอยู่ภายใต้อ้อมกอดของเขาอยู่                        “ห๊ะ ! คะ..คุณว่าอะไรนะ ? ”                                    ‘พีชณา’ ผู้หญิงที่สถานะการณ์ตอนนี้บีบบังคับให้เข้าตาจน  ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพระศุกร์เข้า  หรือเพราะพระเสาร์แทรกกันแน่    อยู่ดีไม่ว่าดีก็มีชายแปลกหน้าที่ไหนก็ไม่รู้โมเมเข้ามาสวมกอดเธอ เอาหน้าด้านๆ  แถมยังอ้างตัวว่าเป็นตำรวจสายลับกำลังปฏิบัติภารกิจลับอะไรนั่นอยู่  
เธอ....ควรจะเชื่อเขางั้นเหรอ ?                                     แต่....ถ้าเขาไม่ใช่ตำรวจขึ้นมาละ  เธอจะทำอย่างไร ?
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็แปลว่าเธอโดนไอ้บ้าโรคจิตนี่กอดฟรีๆ น่ะสิ !
หญิงสาวออกแรงดิ้น  เพื่อให้พ้นจากการเกาะกุมของนายตำรวจหนุ่มจอมปลอม  แต่…ยิ่งเธอขยับตัวมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรัดตัวเธอแน่นขึ้น                                            “จุ๊ๆ..! เงียบก่อนคุณไม่เกินห้านาทีผมจะอธิบายทุกอย่างให้คุณฟัง”                        “หะ...ห้านาที !”  หญิงสาวเผลอร้องออกมาเสียงหลง  
ตั้งแต่โตเป็นสาวจนอายุปาเข้าไปยี่สิบห้า  ชีวิตของเธอไม่เคยมีผู้ชายหน้าไหนได้กอดเธอเลยแม้แต่คนเดียว  ยกเว้นก็แต่ ‘นายเคน’ น้องชายจอมรั้นของเธอก็เท่านั้น    
แต่...นายคนนี้เป็นใครมาจากไหน  และเขาถือวิสาสะอะไรมากอดเธอ   ญาติก็ไม่ใช่   คนรู้จักก็ไม่ใช่  เพื่อนก็ยิ่งไม่ใช่ไปกันใหญ่    ถ้าเหตุผลของเขาฟังไม่ขึ้นแล้วเกิดว่าไม่ใช่ตำรวจจริงๆ ล่ะก็เป็นอันได้เห็นดีกันแน่ !!            กวินลอบมองไปทางว่าที่พี่เขยตัวแสบอยู่   โดยที่เขาเองยังคงยึดร่างของหญิงสาวไว้เป็นเกราะกำบังตนเองจากสายตาของอาทิตย์อยู่    ถึงฝ่ายหญิงจะไม่ค่อยยินยอมแต่ว่าเธอก็ยอมให้ความร่วมมือ  ยอมเป็นเกราะกำบังให้เขาแต่โดยดี กวินเพ่งสำรวจดูจนเป็นที่แน่ใจแล้วว่าอาทิตย์ไม่ได้หันมามองทางตนแต่อย่างใด    ชายหนุ่มจึงใช้สมาร์ท โฟนของตนเก็บภาพต่อ     
ในขณะเดียวกันพีชณาเองก็กำลังโต้เถียงกับตัวเองอย่างสุดฤทธิ์   นี่เธอจะยอมให้ตาตำรวจซึ่งไม่รู้ว่าเป็นตำรวจจริง(รึเปล่า)โอบเธออีกนานแค่ไหนกันเชียว  ?
ว่าแล้วหญิงสาวก็แอบชำเลืองมองไปยังทิศทางที่ตำรวจจอมปลอมกำลังจับจ้องอยู่เพื่อที่จะดูว่าภารกิจลับที่เขาบอกว่ามันคืออะไรกันแน่            
และ....ภาพที่เธอได้เห็นกลับกลายเป็นภาพชายหญิงคู่หนึ่งโอบกอดกันเดินเข้าประตูห้างไป ไม่ใช่
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่