จากน้องหมาจรจัดเมื่อ 9 ปีที่แล้ว ตอนนี้ผม Happy สุดๆเลยคับ ^^

กระทู้สนทนา
9 ปีเต็ม กับ 3 ข้อดี (ใหญ่ๆ)
ของการอุปการะน้องหมา ที่พวกเราเรียกเค้าว่า "หมาจรจัด"
กรณีศึกษา: พี่หมีขาว หนุ่มผู้หล่อเหลาวัยประมาณ 17-18 ปี แห่งบ้านแสนรัก

1. ความซื่อสัตย์และจงรักภักดี ชนะเลิศศศศ

เราเจอพี่หมีขาวครั้งแรกในสนามเด็กเล่น หน้าแฟลตที่เราอาศัยอยู่ สมัยที่เรากลับมาเชียงใหม่แรกๆ เมื่อปลายปี 2548 พี่หมีขาวเดินมานั่งตรงหน้า ทำตาแป๋วแหว๋ว พร้อมกับยื่นมือมาสวัสดี เราจึงตกหลุมรักในความแสนรู้ของพี่หมีขาวทันที นับจากวันนั้น เราก็เริ่มให้ข้าวให้น้ำพี่หมีขาวทุกๆวัน แต่เค้าก็ยังใช้ชีวิตเป็นน้องหมารักอิสระ เที่ยวไปทุกทิศทุกทาง คนแถวนั้นขนานนามพี่หมีขาวว่า "พญาหมาแห่งภาค 5" เหตุเพราะพี่ขาวเป็นหมาลักษณะดีมาก ตัวขาวทั้งตัวและเท้าทั้ง 4 เท้ามีนิ้ว 5 นิ้วทั้งหมด นอกจากนี้พี่หมีขาวยังมีปานดำที่ลิ้น ที่เชื่อกันว่างูพิษกัดไม่ตาย สำหรับความเป็นพญาหมาปรากฏอย่างชัดเจนจากการเป็นเจ้าถิ่น เพราะน้องหมาในอาณาบริเวณนั้น ต่างเกรงกลัวและยำเกรงพี่หมีขาวกันมาก ไม่มีใครสู้กับพี่หมีขาวได้เลยสักตัวเดียว ไม่ว่าพี่ขาวจะย่างกรายไปที่ไหน น้องหมาแถวนั้นจะหลบหนีหายกันไปหมด (จริงจริงนะ) เวลาที่พี่หมีขาวไม่ออกไปเที่ยวเตร่ที่ไหน เค้าจะมานอนเฝ้าหน้าห้องให้เราตลอดเวลา ไม่ยอมให้ใครหลุดรอดเฉียดกรายมาใกล้ประตูห้องเราได้เลย

เมื่อเราซื้อบ้าน เรานำพี่ขาวมาอยู่กับเราด้วย เพราะเค้าคือส่วนหนึ่งของครอบครัวเราไปแล้ว ตอนแรกเรากังวลกันว่า พี่หมีขาวจะอยู่ในบ้านที่มีรั้วรอบขอบชิดได้มั้ย เพราะที่ผ่านมาเค้าชินกับความอิสระ ไปไหนมาไหนได้ไม่จำกัด แต่ปรากฏว่า พี่หมีขาวทำให้เราประหลาดใจ เพราะเค้ากลายเป็นน้องหมาที่เฝ้าบ้านได้อย่างดีเยี่ยม เวลาออกไปเที่ยวนอกบ้าน ก็จะรีบไปรีบกลับ มีครั้งหนึ่ง พีหมีขาวออกไปเที่ยวนอกบ้านตามปกติ แต่เราต้องรีบไปทำธุระ จึงคิดว่าหากเค้ากลับมาแล้วเข้าบ้านไม่ได้ ก็คงรออยู่หน้าประตูรั้ว ปรากฏว่า พอเรากลับมา พี่หมีขาวเข้าไปอยู่ในรั้วบ้านเรียบร้อยแล้ว เรางงกันมากว่าเข้าไปได้อย่างไร จนในที่สุดพบว่า พี่หมีขาวพยายามลอดซี่ประตูรั้วเข้าไป เพราะมีขนติดเหล็กรั้วเป็นกระจุกๆ (แต่ตอนนี้คงทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะพี่หมีขาวกลายเป็นถังแก๊สไปเรียบร้อยแล้ว)

พี่หมีขาวจะหวงบ้านมาก เวลาแขกเดินเข้าประตูมา ถึงแม้เราจะบอกว่าเราอนุญาตให้แขกเข้าบ้านแล้ว แต่พี่หมีขาวก็จะเดินพันแข้งพันขาแขกตลอดเวลา (เนื่องจากก่อนที่เราจะอุปการะ พี่หมีขาวเติบโตมาได้ เพราะได้อาหารจากคนที่ใจดีมีเมตตาแถวๆแฟลต ดังนั้น พี่หมีขาวจึงไม่เคยกัดคนเลย คงรู้สึกถึงคำว่าบุญคุณของคน) แม้มานั่งในห้องรับแขกแล้ว พี่หมีขาวก็จะนอนเฝ้าข้างๆแขก ไม่ให้ห่างสายตา แม้แต่แขกขยับแขนขยับมือทำอะไร พี่หมีขาวก็จะมองตามแขนตามมือตลอด ช่วงที่แขกกลับ หากแขกกลับมือเปล่าพี่หมีขาวจะไม่สนใจ แต่หากแขกกลับแบบถือของในบ้านกลับไปด้วย พี่หมีขาวจะตามติดจนถึงประตูรั้ว

มีครั้งหนึ่ง น้องที่ทำงานมานอนค้างที่บ้านเรา พี่หมีขาวก็ทำหน้าที่อย่างเข้มงวดและขยันขันแข็งเหมือนทุกๆครั้ง ไม่ว่าน้องที่ทำงานจะเอาอกเอาใจอย่างไร  พี่หมีขาวก็ไม่เคยไขว้เขว  มีช่วงนึงที่วางใจ คิดว่าน่าจะคุ้นเคยกันดีแล้ว มีคนโทรศัพท์มาหาเรา น้องเลยจะเอื้อมมือมาหยิบโทรศัพท์มือถือเพื่อส่งให้  พี่หมีขาวรีบลุกจากท่านอนเฝ้า (อย่างใกล้ชิด) ทำปากอ้าเพื่อขู่ทันทีประมาณว่า  "หากแตะต้องโทรศัพท์มือถือของแม่ผม ผมไม่ปล่อยพี่ไว้แน่"  จนน้องต้องรีบหดมือกลับโดยเร็ว  เพราะเกรงใจเขี้ยวทู่ๆของพี่ขาว (ก็เป็นคุณทวดแล้วอ่ะเนาะ อายุอานามปาไปร้อยกว่าปีแล้ว)  ฉากเด็ดเป็นตอนที่แยกย้ายกันอาบน้ำ  เราให้น้องอาบน้ำห้องน้ำล่าง ซึ่งอยุ่ติดกับห้องนอนด้านล่างที่น้องจะนอน  ส่วนเราขึ้นไปจัดการธุระชั้นบน  น้องก็รำพึงรำพันแบบหวาดๆใจ ว่าจะรอดจากเงื้อมมือของพี่หมีขาวรึปล่าว  เราเลยรีบชี้แจ้งให้คลายความกังวล  ว่าพี่หมีขาวจะรู้อาณาเขตดี  ว่าตัวเองจะอยู่ได้แค่ส่วนของห้องรับแขก  จะไม่ก้าวล่วงมานอกอาณาเขตถึงด้านในส่วนที่เป็นห้องน้ำและห้องนอน  น้องจึงวางใจอาบน้ำอย่างมีความสุข  แต่ที่ไหนได้  พออาบน้ำเสร็จแล้วเดินเข้ามาในห้องนอน  ปรากฏว่า พี่หมีขาวนอนรออยู่ในห้องนอนเรียบร้อยยยยย  (เป็นการตอกย้ำหลักในการทำงานของพี่หมีขาวว่า  "เป้าหมายสำคัญกว่าวิธิการ" กิกิ)  คืนนั้น น้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะใจพี่หมีขาวให้ได้ ซึ่งดูเหมือนจะได้ผล (นิดนึง) เพราะพี่หมีขาวยอมรามือไปบ้าง ไม่ตามติดนอนเฝ้าแบบใกล้ชิดตลอดเวลาเหมือนตอนแรกๆ  จนน้องดีใจมากที่ซื้อใจพี่หมีขาวได้  จึงหลับไปในคืนนั้นอย่างมีความสุข  ตื่นเช้ามา  ก็ตั้งใจว่า วันนี้คงใช้ชีวิตในบ้านของเราแบบชิลชิล เพราะผูกมิตรกับพี่หมีขาวสำเร็จแล้ว  แต่อนิจจา  ใจ (น้องหมา) ยากแท้หยั่งถึง มิตรภาพที่เพียรสร้างมา มีอายุวันต่อวันเท่านั้น เพราะ พี่หมีขาวตัดมิตรภาพที่มีกับน้องทิ้งไปอย่างไม่เหลือเยื่อใย  ตามติดและนอนเฝ้าน้องอย่างใกล้ชิดสุดๆ (เหมือนเดิม)  ฮาาาาาา  

นอกจากบ้านแล้ว พี่หมีขาวยังหวงแม้กระทั่งรถของเรา (ถึงแม้ตัวพี่หมีขาวเอง จะเกลียดกลัวการนั่งรถยนต์อย่างสุดจิตสุดใจก็ตาม) เวลาคนอื่นจะเข้าไปในรถของเรา พี่ขาวจะขวางไม่ยอมให้เข้าเลย แม้กระทั่งพ่อและแม่ของเราก็ตาม !! นี่กระมัง ที่เค้าพูดกันว่า เลี้ยงไม่เสียข้าวสุก กิกิ

2. ความน่ารักและอ่อนน้อมถ่อมตน

จากน้องหมาอดมื้อกินมื้อ กินอิ่มบ้างไม่อิ่มบ้าง ตัวสกปรก (คนแถวแฟลตบอกว่า ช่วงหน้าร้อน เคยเห็นพี่หมีขาวลงไปว่ายน้ำในแม่น้ำข้างแฟลตด้วย) เห็บเต็มตัว นอนตากยุง นอนหนาวบ้างร้อนบ้าง พอเรารับพี่หมีขาวมาอุปการะ ตอนนี้พี่หมีขาวกลายเป็นถังแก๊ส ตัวสะอาดปราศจากเห็บหมัด นอนในบ้านแบบยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม หน้าหนาวก็มีเสื้อกันหนาวใส่ หน้าร้อนก็เปิดพัดลมให้ พี่หมีขาวรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของชีวิต เค้าจึงรักเรามากๆๆๆๆๆ (จริงๆน้องหมาทุกๆตัว ก็จะรักเจ้าของมากๆๆๆ อยู่แล้ว) เค้าจะชอบมานอนข้างๆเรา นอนหนุนเท้าเรา นั่งมองหน้าเรา ชอบให้เราลูบหัวหากหยุดลูบก็จะเอาหัวมาดุนมือให้ลูบต่อ

ครั้งนึง เราเคยพาเค้าไปต่างจังหวัดในที่ๆเค้าไม่คุ้นเคย ตอนเราออกไปทำธุระข้างนอกหลายชั่วโมง พอกลับมาพบว่าเค้านั่งตากฝนรอเราที่หน้าประตูรั้ว ที่เดิมกับที่เค้านั่งตอนเราขับรถออกไป ไม่ไปไหนเลย มันยิ่งทำให้เรารักและสงสารเค้าอย่างสุดจิตสุดใจ นอกจากพี่ีหมีขาวแล้ว เรายังเลี้ยงน้องหมูดำอีกหนึ่งตัว ซึ่งเป็นน้องหมาที่มีคนให้มาตั้งแต่เกิด ดังนั้น เราจึงเลี้ยงน้องหมูดำก่อนรับอุปการะพี่หมีขาว และพี่หมีขาวเองคงรับรู้ได้ ว่าตัวเองมาทีหลัง

ดังนั้นแล้ว น้องหมาผู้ชายสีขาวตัวใหญ่บิ๊กเบิ้มวัย 17-18 ปี จึงให้ความเกรงอกเกรงใจน้องหมาผู้หญิงสีดำตัวกระเปี๊ยกวัย 14 ปี เป็นอย่างมาก ถึงแม้จะมาเจอกันเมื่อต่างคนต่างโตแล้ว แต่ทั้งสองพี่น้องไม่เคยกัดกันหรือทะเลาะกันเลย (นอกจากขโมยอาหารกันแบบใช้เล่ห์เพทุบายต่างๆ ตามประสา) พี่ชายจะเสียสละอะไรต่างๆให้น้องเสมอ (ยกเว้นอาหารนะ กิกิ) ซึ่งตัวน้องเองก็คงจะรับรู้ได้ จึงเอาแต่ใจตลอด จนเราเองต้องปราม เพื่อไม่ให้น้องเอาเปรียบพี่เกินไป

อ้อ ความลับอีกอย่าง พี่หมีขาวจะฮอตมาก มีสาวๆแวะเวียนมาหาถึงประตูบ้านไม่ซ้ำหน้า ฮอตตั้งแต่ภาค 5 ยันสันกำแพงเลย กิกิ

3. ความแข็งแรงทรหดอดทน

คุณหมอบอกเราว่า น้องหมาจรจัด จะมีภูมิต้านทานโรคภัยดีมากๆ เราพิสูจน์ได้จริงจากพี่หมีขาว หากเปรียบเทียบกับน้องหมูดำ ที่เป็นหมาพันธ์ น้องหมูดำจะขี้โรคมาก ไม่ว่าจะเป็นโรคผิวหนัง เป็นไข้ง่าย ท้องเสียง่าย หรือแม้กระทั่งปัจจุบันที่รักษาโรคหัวใจและหลอดลมตีบอยู่ เราต้องพาน้องหมูดำไปโรงพยาบาลทุกๆ 10 วัน เราเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคของน้องหมูดำเดือนละไม่ต่ำกว่า 5000 บาท มาเป็นเวลาสองปี คิดเป็นเงินก็ประมาณแสนกว่าบาทแล้ว

แต่ในขณะที่พี่หมีขาว ตั้งแต่เรารับมาอุปการะ เราเคยพาพี่หมีขาวไปหาหมอเพื่อรักษา (ไม่นับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่าง) เพียงแค่ 3 ครั้ง ครั้งแรก คือตอนที่ยังอยู่แฟลต แล้วพี่หมีขาวโดนรถชนมา ขาหลังขวาของเค้าเหมือนกับโดนอีโต้ฟันแล้วแบะขาออก มองเห็นกระดูกขาวๆเลย เราต้องพาเค้าเทียวไปทำแผลที่ มช. ตอนแรกคุณหมอจะตัดขา บอกว่าค่าใช้จ่ายจะถูกกว่าและไม่ต้องดูแลมาก แต่เรายืนยันว่าขอไม่ตัด จนในที่สุดก็หายดี แต่พี่ขาวก็กลายเป็นเป๋ห่าวตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ครั้งที่ 2-3 เป็นการรักษาอาการบาดเจ็บจากการกัดกันกับน้องหมาด้วยกันเพื่อแย่งผู้หญิง ซึ่งเป็นการทะเลาะกันหลังจากที่พี่ขาวกลายเป็นเป๋ห่าวแล้ว ดังนั้น พี่หมีขาวจึงเสียเปรียบในการต่อสู้มากอยู่ มีผลทำให้หูแหว่งและมีแผลเป็นตามหน้าตามาถึงทุกวันนี้ นอกนั้นแล้ว พี่ขาวไม่เคยเจ็บป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บใดๆเลย

หากวันนี้ คุณกำลังมีความคิดที่จะหาน้องหมาสักตัวมาเลี้ยง
ลองพิจารณา "หมาจรจัด" ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจบ้างนะคะ
แล้วคุณจะ ++รัก++ เค้าอย่างสุดจิตสุดใจเหมือนอย่างเรา ^_*






















แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่