เมื่อตอนเป็นเด็ก จะรู้สึก ขี้อิจฉา แต่เมื่อโตมา จะคิดได้ว่า
....นั้นล่ะคือโอกาส ที่เราได้พัฒนาความสามารถตัวเองก่อนวัยอันควร.....
ด้วยความที่ตั้งแต่จำความได้
ผมต้องอาศัยอยู่กับคุณยายสองคนที่หมู่บ้านอันห่างไกลตัวเมือง
ดังนั้น ทุกวันพ่อ วันแม่ ผมจะอิจฉาเพื่อนๆเสมอที่ได้ไหว้
พ่อ ไหว้แม่ ในวันสำคัญ
แต่วันหนึ่งที่คิดได้ ผมก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้ไหว้หลายคน
....พ่อแม่เพื่อนหลายๆคนที่ผมได้ไหว้ ได้ไหว้ยายที่เป็นคุณแม่ของแม่ผม
เทห์ไหมล่ะ คนอื่นไหว้แม่ อันนี้ไหว้แม่ของแม่ ^__^
พออายุ 9 ขวบขึ้น ป.3 คุณแม่พามาเรียนในเมืองขอนแก่น
จากเด็กบ้านนอก รู้สึกโคตรโก้
ได้มาเรียนในเมืองเว้ยยย เพื่อนในหมู่บ้านไม่มีใครได้มาเรียน
พอมาเรียน ก็รู้สึกเทห์ขึ้นมาอีก เพื่อนๆแต่ละคน รองเท้านักเรียนสวยๆ ใหม่
ของผมรองเท้าเก่าแถมมีนิ้วก้อยออกมาโชว์อีก
ซึ่งเพื่อนๆตอนนั้นไม่มีใครมีรองเท้าแบบผมสักคน ไงล่ะนำเทรนด์
แต่พอผ่านมาเกือบอาทิตย์ รู้สึกแปลกๆ เลยบอกแม่ว่า
อยากได้รองเท้าใหม่ แม่บอกจะซื้อให้ ผ่านมาหลายวันไม่มีรองเท้าใหม่สักที
บักเข้ม จึงโกรธแม่มากกกกก งอลลลล ไม่ซื้อให้สักที
คิดในใจตามประสาเด็กน้อย ...เอาวะในเมื่อแม่ไม่รัก ไม่ซื้อให้ เก็บตังค์ซื้อเองก็ได้
ตอนนั้น ได้เงินไปโรงเรียน 12 บาท
(เยอะมั้ยล่ะ ตอนอยู่บ้านนอก ได้ 3 บาท มาเรียนในเมืองได้มากกว่าเดิม 4 เท่า)
ด้วยความคิดเด็กน้อย อยากได้รองเท้าเร็วๆ จึงไปหาแม่อยู่ตลาด
แล้วไปถามร้านรองเท้า ตอนนั้นจำได้เลย คู่ละ 89 บาท
รู้สึกทำไมแพงจัง มิน่าแม่ถึงไม่ซื้อให้ เพราะแม่ไม่มีเงินนี่เอง
พออดข้าวเที่ยง กินน้ำประทังหิว อาทิตย์เดียวก็มีตังค์ซื้อรองเท้าแล้ว
บักเข้ม ยิ้มหน้าบานเอาเงินเหรียญ สิบ เหรียญห้า เหรียญบาท ไปซื้อร้องเท้า
คิดแล้วแอบขำตัวเอง กลัวเงินเหรียญหาย จึงไม่ใส่กระเป่า กำไว้ในมือตลอด
พอได้รองเท้านักเรียนใหม่ ตั้งใจจะเอามาอวดแม่
แต่กลับเจอเหตุการณ์ที่น้อยใจแม่ครั้งแรกในชีวิต
ตรงบันได มีกล่องรองเท้าแสนสวย บักเข้มทิ้งรองเท้าตัวเองที่เก็บเงินซื้อวิ่งมาดู
แต่ งง มันทำไมเป็นรองเท้ามีแสงไฟ มันไม่ใช่รองเท้านักเรียนนี่หว่า ???
คุณแม่ เข้ามาบ้านพอดี พูดเสียงดัง ...อันนั้น รองเท้าน้องเจี๊ยบ(ลูกป้า)
ที่พึ่งสามขวบ บักเข้มร้องไห้ น้อยใจแม่ รีบวิ่งไปเอารองเท้าตัวเอง
หนีออกจากบ้านครั้งแรกในชีวิต
ไปนอนป้ายรถเมล์(ที่อยู่ ตรงกลางระหว่างแฟรี่กับโต้รุ่งในปัจจุปัน)
ซึ่งห่างบ้าน 500 เมตร !!!!
แต่ด้วยความเป็นเด็กน้อยรู้สึกไกลมาก แม่คงตามหาไม่เจอ
รองเท้าหนึ่งคู่ ข้างหนึ่งหนุนนอน ข้างหนึ่งนอนกอด
แต่ฝน

ตก หนาวมากกก ทนหนาวคืนหนึ่ง
สุดท้ายหิวข้าวจึงตามหาทางกลับบ้าน 5555
...จากรองเท้าคู่แรกในชีวิต แล้วรู้สึกว่า ถ้าเราอยากได้อะไร เราก็หาเองได้
หลังจากนั้นมา เริ่มตามแม่ไปตลาด งานแรกในชีวิตที่ได้เงินตามประสาเด็กน้อย
คือเก็บขยะ เอาไปขาย ได้วันละสองสามบาท ตั้งใจทำเพื่อเก็บเงินซื้อเล่น
พอ ป.4 เริ่มรู้สึกอยากได้เงินมากขึ้น แอบหนีออกจากบ้าน
(แม่ไม่น่าจะรู้ มั่ง คิดว่าทำเนียน ออกไปตอนแม่หลับ กลับบ้านตอนท่านจะตื่น)
สองทุ่ม เพื่อไปขายพวงมาลัยสี่แยก แฟรี่นั้นล่ะ ได้เงินมาวันละ สิบบาท
เสาร์ อาทิตย์ ก็มาช่วยยายทำงานพิเศษ เด็ดด้ามพริกที่ตลาด
แต่......................
พอวันจันทร์ เพื่อนแต่ละคน จะพูดกันเรื่อง การ์ตูน เสาร์อาทิตย์
บักเข้มไม่อยากให้เพื่อนว่าได้ ว่าไม่มีโอกาสดู ดังนั้น เย็นวันอาทิตย์
บักเข้มจึงรีบกลับมาเล่นกับเพื่อนแถวบ้าน เพื่อจะถามเขาว่า การ์ตูนเรื่องไร
เป็นยังไง
พอวันจันทร์ ก็ไปคุยกับเพื่อนที่โรงเรียนว่าตัวเองได้ดู พูดกับเขาหมด
ดราก้อนบอลปล่อยพลังอะไร ทั่งที่ภาพการ์ตูนเป็นยังไงไม่รู้ รู้แต่ว่า
พูดกับเพื่อนได้ 55555
พอเข้า ม.ต้น เจอสังคมเพื่อนที่ค่อนข้าง ก้าวร้าวเบาๆ เพื่อนชอบตีกัน
แรกๆก็พยายามตีกับเขา เดี่ยวเขาไม่คบ เพื่อนเสพยา
ก็ไปนั่งกับเขา ดูวิธีเสพ อยากจะลอง แต่กลัวแม่ตี
วันหนึ่ง ทะเลาะกับแม่ เพื่อนกำลังพันฟลอย จะสูด บักเข้มขอเพื่อนลอง
จังหวะกำลังจะเอาเข้าปาก บักปอนด์ วิ่งมาแต่ไหนไม่รู้
มาต่อย พร้อมด่า...ในหมู่เพื่อนเรามียังไม่เสพ ให้กูมีเพื่อนดีๆ สักคนเถอะ
...จังหวะนั้น เด็กน้อย ม.3 กอดเพื่อน ร้องให้
แต่เสาร์ อาทิตย์ก็มาทำงานตลาดเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ต่างคือ
เริ่มใส่หมวก กลัวมีเพื่อน โรงเรียนมาเจอ ประมาณอายเพื่อนว่า
หาเงินช่วยครอบครัว
แต่พอมาคิดตอนนี้ โคตรภูมิใจ
ไม่นานจุดหักเห สุดๆในชีวิตก็มาถึง สอบติด ม.4 รร.กัลยา

ได้ห้องที่ดี เพื่อนมีแต่คนดีๆ บักเข้มกลายเป็น คนเลว
นักเลงไม่สนใจเรียน
แต่เพื่อนก็โคตรดีจริงๆ คอยบอกคอยสอน ให้อยากมีอนาคตที่ดี
เริ่มมี สมาชิกอีกคนในบ้าน ...น้องบอส...
ลูกของน้าที่แม่ เอามาเลี้ยงคนนี้ ตอนแรกๆบักเข้มแอบคิดว่า
แม่รักทุกคน ยกเว้นลูกตัวเอง
แต่พอนานๆไป พร้อมกับฟังแม่พูดกับเพื่อนท่าน พูดกับญาติ
ว่า...อยากเลี้ยงน้องบอสให้ดี ไม่อยากให้ขาดอะไร เพราะท่านรู้สึกว่า
เลี้ยงบักเข้มไม่ดี ต้องให้ลูกดิ้นรนเองเกินไป ท่านจึงไม่อยากให้บอสขาดอะไร
เพราะน้องบอสไม่มีทั่งพ่อและแม่
ท่านบอกกับทุกคนว่า ....รักเข้ม...แต่ท่านจะไม่เคยพูดกับผมว่ารัก
ท่านเขิลลลล (งึดคน เถ่าปานนี้ ปะสาบอกรักลูกยังอาย)
จนตอนนี้ลูกชายต้องคอยถาม...แม่ฮักผม บ่ น้อ...
คุณแม่จะตอบมากวนๆ...ถามหาสิแตก ขั่น บ่ ฮักลูก สิ ฮักไผ (กลายเป็นลูกเขิลลล)
ด้วยความญาติ พี่น้อง สายยาย ไม่มีใครจบ ปริญญาตรี
คุณแม่เคยสอนผมว่า
...ครอบครัวเรา อาจจะไม่มีอะไรเหมือนใครเขา แต่ครอบครัวเราสู้ชีวิตทุกคน
ครอบครัวเราอาจจะเป็นคนชั้นต่ำของสังคมที่หาเช้ากินค่ำ
แต่ครอบครัวเรา ไม่เคยคตโกงใคร ถ้าการที่เราจะโกงใคร
เพื่อทำให้เรามีข้าวกิน ให้จำไว้ว่า ยายบอกแม่ว่า ให้เราอดตายดีกว่า...
ผมไม่รู้ว่าอนาคตผมจะทำตามคำสอนของครอบครัวได้นาน
ตราบจนวันใด
แต่ผมได้รับรู้แล้วว่า ครอบครัวผมนั้น ทำให้ผมโชคดี
ที่ได้มีโอกาสพัฒนาตัวเองมากกว่าเพื่อนบางคนในรุ่นราวคราวเดียวกัน
ครอบครัวผม สอนให้ผมได้อด สอนให้ผมได้สู้
สอนให้ผมได้อยู่ ในสังคมอย่างไม่อายใคร
หลายหลายอย่างที่ครอบครัวบอกผมไว้เสมอนั้นคือ
....จงภูมิใจในสิ่งที่ได้มาด้วยสองมือตัวเอง....
ขอเพียงมองโลกแง่บวก ชีวิตย่อมมีความสุข(จากเด็กน้อย บ้านแตกในสายตาใครๆ ก็มีชีวิตที่ดีได้ ถ้ามีคำว่าพยายาม) จากชีวิตจริงผม
....นั้นล่ะคือโอกาส ที่เราได้พัฒนาความสามารถตัวเองก่อนวัยอันควร.....
ด้วยความที่ตั้งแต่จำความได้
ผมต้องอาศัยอยู่กับคุณยายสองคนที่หมู่บ้านอันห่างไกลตัวเมือง
ดังนั้น ทุกวันพ่อ วันแม่ ผมจะอิจฉาเพื่อนๆเสมอที่ได้ไหว้
พ่อ ไหว้แม่ ในวันสำคัญ
แต่วันหนึ่งที่คิดได้ ผมก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้ไหว้หลายคน
....พ่อแม่เพื่อนหลายๆคนที่ผมได้ไหว้ ได้ไหว้ยายที่เป็นคุณแม่ของแม่ผม
เทห์ไหมล่ะ คนอื่นไหว้แม่ อันนี้ไหว้แม่ของแม่ ^__^
พออายุ 9 ขวบขึ้น ป.3 คุณแม่พามาเรียนในเมืองขอนแก่น
จากเด็กบ้านนอก รู้สึกโคตรโก้
ได้มาเรียนในเมืองเว้ยยย เพื่อนในหมู่บ้านไม่มีใครได้มาเรียน
พอมาเรียน ก็รู้สึกเทห์ขึ้นมาอีก เพื่อนๆแต่ละคน รองเท้านักเรียนสวยๆ ใหม่
ของผมรองเท้าเก่าแถมมีนิ้วก้อยออกมาโชว์อีก
ซึ่งเพื่อนๆตอนนั้นไม่มีใครมีรองเท้าแบบผมสักคน ไงล่ะนำเทรนด์
แต่พอผ่านมาเกือบอาทิตย์ รู้สึกแปลกๆ เลยบอกแม่ว่า
อยากได้รองเท้าใหม่ แม่บอกจะซื้อให้ ผ่านมาหลายวันไม่มีรองเท้าใหม่สักที
บักเข้ม จึงโกรธแม่มากกกกก งอลลลล ไม่ซื้อให้สักที
คิดในใจตามประสาเด็กน้อย ...เอาวะในเมื่อแม่ไม่รัก ไม่ซื้อให้ เก็บตังค์ซื้อเองก็ได้
ตอนนั้น ได้เงินไปโรงเรียน 12 บาท
(เยอะมั้ยล่ะ ตอนอยู่บ้านนอก ได้ 3 บาท มาเรียนในเมืองได้มากกว่าเดิม 4 เท่า)
ด้วยความคิดเด็กน้อย อยากได้รองเท้าเร็วๆ จึงไปหาแม่อยู่ตลาด
แล้วไปถามร้านรองเท้า ตอนนั้นจำได้เลย คู่ละ 89 บาท
รู้สึกทำไมแพงจัง มิน่าแม่ถึงไม่ซื้อให้ เพราะแม่ไม่มีเงินนี่เอง
พออดข้าวเที่ยง กินน้ำประทังหิว อาทิตย์เดียวก็มีตังค์ซื้อรองเท้าแล้ว
บักเข้ม ยิ้มหน้าบานเอาเงินเหรียญ สิบ เหรียญห้า เหรียญบาท ไปซื้อร้องเท้า
คิดแล้วแอบขำตัวเอง กลัวเงินเหรียญหาย จึงไม่ใส่กระเป่า กำไว้ในมือตลอด
พอได้รองเท้านักเรียนใหม่ ตั้งใจจะเอามาอวดแม่
แต่กลับเจอเหตุการณ์ที่น้อยใจแม่ครั้งแรกในชีวิต
ตรงบันได มีกล่องรองเท้าแสนสวย บักเข้มทิ้งรองเท้าตัวเองที่เก็บเงินซื้อวิ่งมาดู
แต่ งง มันทำไมเป็นรองเท้ามีแสงไฟ มันไม่ใช่รองเท้านักเรียนนี่หว่า ???
คุณแม่ เข้ามาบ้านพอดี พูดเสียงดัง ...อันนั้น รองเท้าน้องเจี๊ยบ(ลูกป้า)
ที่พึ่งสามขวบ บักเข้มร้องไห้ น้อยใจแม่ รีบวิ่งไปเอารองเท้าตัวเอง
หนีออกจากบ้านครั้งแรกในชีวิต
ไปนอนป้ายรถเมล์(ที่อยู่ ตรงกลางระหว่างแฟรี่กับโต้รุ่งในปัจจุปัน)
ซึ่งห่างบ้าน 500 เมตร !!!!
แต่ด้วยความเป็นเด็กน้อยรู้สึกไกลมาก แม่คงตามหาไม่เจอ
รองเท้าหนึ่งคู่ ข้างหนึ่งหนุนนอน ข้างหนึ่งนอนกอด
แต่ฝน
สุดท้ายหิวข้าวจึงตามหาทางกลับบ้าน 5555
...จากรองเท้าคู่แรกในชีวิต แล้วรู้สึกว่า ถ้าเราอยากได้อะไร เราก็หาเองได้
หลังจากนั้นมา เริ่มตามแม่ไปตลาด งานแรกในชีวิตที่ได้เงินตามประสาเด็กน้อย
คือเก็บขยะ เอาไปขาย ได้วันละสองสามบาท ตั้งใจทำเพื่อเก็บเงินซื้อเล่น
พอ ป.4 เริ่มรู้สึกอยากได้เงินมากขึ้น แอบหนีออกจากบ้าน
(แม่ไม่น่าจะรู้ มั่ง คิดว่าทำเนียน ออกไปตอนแม่หลับ กลับบ้านตอนท่านจะตื่น)
สองทุ่ม เพื่อไปขายพวงมาลัยสี่แยก แฟรี่นั้นล่ะ ได้เงินมาวันละ สิบบาท
เสาร์ อาทิตย์ ก็มาช่วยยายทำงานพิเศษ เด็ดด้ามพริกที่ตลาด
แต่......................
พอวันจันทร์ เพื่อนแต่ละคน จะพูดกันเรื่อง การ์ตูน เสาร์อาทิตย์
บักเข้มไม่อยากให้เพื่อนว่าได้ ว่าไม่มีโอกาสดู ดังนั้น เย็นวันอาทิตย์
บักเข้มจึงรีบกลับมาเล่นกับเพื่อนแถวบ้าน เพื่อจะถามเขาว่า การ์ตูนเรื่องไร
เป็นยังไง
พอวันจันทร์ ก็ไปคุยกับเพื่อนที่โรงเรียนว่าตัวเองได้ดู พูดกับเขาหมด
ดราก้อนบอลปล่อยพลังอะไร ทั่งที่ภาพการ์ตูนเป็นยังไงไม่รู้ รู้แต่ว่า
พูดกับเพื่อนได้ 55555
พอเข้า ม.ต้น เจอสังคมเพื่อนที่ค่อนข้าง ก้าวร้าวเบาๆ เพื่อนชอบตีกัน
แรกๆก็พยายามตีกับเขา เดี่ยวเขาไม่คบ เพื่อนเสพยา
ก็ไปนั่งกับเขา ดูวิธีเสพ อยากจะลอง แต่กลัวแม่ตี
วันหนึ่ง ทะเลาะกับแม่ เพื่อนกำลังพันฟลอย จะสูด บักเข้มขอเพื่อนลอง
จังหวะกำลังจะเอาเข้าปาก บักปอนด์ วิ่งมาแต่ไหนไม่รู้
มาต่อย พร้อมด่า...ในหมู่เพื่อนเรามียังไม่เสพ ให้กูมีเพื่อนดีๆ สักคนเถอะ
...จังหวะนั้น เด็กน้อย ม.3 กอดเพื่อน ร้องให้
แต่เสาร์ อาทิตย์ก็มาทำงานตลาดเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ต่างคือ
เริ่มใส่หมวก กลัวมีเพื่อน โรงเรียนมาเจอ ประมาณอายเพื่อนว่า
หาเงินช่วยครอบครัว
แต่พอมาคิดตอนนี้ โคตรภูมิใจ
ไม่นานจุดหักเห สุดๆในชีวิตก็มาถึง สอบติด ม.4 รร.กัลยา
นักเลงไม่สนใจเรียน
แต่เพื่อนก็โคตรดีจริงๆ คอยบอกคอยสอน ให้อยากมีอนาคตที่ดี
เริ่มมี สมาชิกอีกคนในบ้าน ...น้องบอส...
ลูกของน้าที่แม่ เอามาเลี้ยงคนนี้ ตอนแรกๆบักเข้มแอบคิดว่า
แม่รักทุกคน ยกเว้นลูกตัวเอง
แต่พอนานๆไป พร้อมกับฟังแม่พูดกับเพื่อนท่าน พูดกับญาติ
ว่า...อยากเลี้ยงน้องบอสให้ดี ไม่อยากให้ขาดอะไร เพราะท่านรู้สึกว่า
เลี้ยงบักเข้มไม่ดี ต้องให้ลูกดิ้นรนเองเกินไป ท่านจึงไม่อยากให้บอสขาดอะไร
เพราะน้องบอสไม่มีทั่งพ่อและแม่
ท่านบอกกับทุกคนว่า ....รักเข้ม...แต่ท่านจะไม่เคยพูดกับผมว่ารัก
ท่านเขิลลลล (งึดคน เถ่าปานนี้ ปะสาบอกรักลูกยังอาย)
จนตอนนี้ลูกชายต้องคอยถาม...แม่ฮักผม บ่ น้อ...
คุณแม่จะตอบมากวนๆ...ถามหาสิแตก ขั่น บ่ ฮักลูก สิ ฮักไผ (กลายเป็นลูกเขิลลล)
ด้วยความญาติ พี่น้อง สายยาย ไม่มีใครจบ ปริญญาตรี
คุณแม่เคยสอนผมว่า
...ครอบครัวเรา อาจจะไม่มีอะไรเหมือนใครเขา แต่ครอบครัวเราสู้ชีวิตทุกคน
ครอบครัวเราอาจจะเป็นคนชั้นต่ำของสังคมที่หาเช้ากินค่ำ
แต่ครอบครัวเรา ไม่เคยคตโกงใคร ถ้าการที่เราจะโกงใคร
เพื่อทำให้เรามีข้าวกิน ให้จำไว้ว่า ยายบอกแม่ว่า ให้เราอดตายดีกว่า...
ผมไม่รู้ว่าอนาคตผมจะทำตามคำสอนของครอบครัวได้นาน
ตราบจนวันใด
แต่ผมได้รับรู้แล้วว่า ครอบครัวผมนั้น ทำให้ผมโชคดี
ที่ได้มีโอกาสพัฒนาตัวเองมากกว่าเพื่อนบางคนในรุ่นราวคราวเดียวกัน
ครอบครัวผม สอนให้ผมได้อด สอนให้ผมได้สู้
สอนให้ผมได้อยู่ ในสังคมอย่างไม่อายใคร
หลายหลายอย่างที่ครอบครัวบอกผมไว้เสมอนั้นคือ
....จงภูมิใจในสิ่งที่ได้มาด้วยสองมือตัวเอง....