คือเราไม่คิดว่าเป็นคนที่มีเซนต์อะไรนะคะ แต่พอรับรู้เรื่องแบบนี้บ้าง
คืออยากบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องยาวนะคะ ภาษาที่เล่าอาจทำให้บางคนอ่านแล้วงงไปบ้างต้องขออภัยด้วยนะคะ
เรื่องมันมีอยู่ว่าตั้งแต่เราเด็กแล้ว บ้านเราเป็นบ้านปลูกเรียงกัน 3 หลังในรั้วเดียวกัน บ้านหลังแรกเป็นบ้านตาทวด บ้านหลังตรงกลางคือบ้านเรา 2 หลังนี้มีความเหมือนกนคือ เป็นบ้านไม้ยกใต้ถุนสูง ข้างล่างเป็นแคร่ไม้เอาไว้นั่งรับลมค่ะ บ้านแบบชนบททั่วไปนั่นแหละค่ะ
เริ่มเลยนะคะ คือตอนเรา ประมาณ 2 ขอบ แม่เล่าให้ฟังว่าแม่ต้องไปทำกับข้าว เลยฝากเราไว้กับน้า โดยที่เรานั่งอยู่บนบันไดและน้ายืนป้อนข้าวเราอยู่ แม่บอกว่าอยู่ดีๆน้าก็รีบตะโกนบอกแม่ว่ามาดูเราที น้าไปแล้ว แม่เราก็งงว่าทิ้งเราทำไม ทั้งที่รับปากจะดูเรา มารู้ทีหลังว่าน้าเล่าว่าอยู่ดีๆ เราก็ยกมือไว้อะไรซักอย่าง แล้วหัวเราะคิกคักเหมือนมีคนมาหยอกเล่น ทั้งที่บริเวณานั้นไม่มีใครเลย น้ากลัวมากเลยกลับบ้านไป
เราก็โตมาในแบบเด็กปกติ แต่จนถึงตอนเข้ามัญยม เราสอบติดรร.ในเมือง ต้องเดินทางมาเรียนกว่า 30 กิโลทุกวัน ก็เดินทางด้วยรถตู้รับส่งนักเรียนนั้นแหละค่ะ ด้วยความที่เส้นทางที่เข้าเมืองทางบ้านเรามันเป็นถนนใหญ่ข้ามอำเภอ จึงมีอุบัติเหตุบ่อย ความเชื่อของคนเหนือคือถ้าตายเพราะอุบัติเหตุญาติๆจะเอาตุงแดงมาปักไว้ที่คนตาย และก่อเจดีย์กองทรายเล็กๆไว้ข้างล่าง เรื่องที่เกิดคือเพื่อนในรถค่ะตัวดีเลย มันเห็นตุงแดงทีไรมันก็ชอบทักว่า เห้ยๆ ดูนั่นสิวะ ใครตายอีกแล้วล่ะนั่น ฉันก็มองตามค่ะ ไม่ได้คิดอะไร แต่พอกลางคืนมา ฉันจะรู้สึกปวดหัวมากทุกครั้งในวันที่เพื่อนมันทักอะไรประมาณนี้ เป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ จนฉันเริ่มชินค่ะ
เรื่อมมันเริ่มหนักขึ้นตอนฉันอยู่ม.5 ค่ะ ฉันมีรายงานที่ต้องทำ เนื่องด้วยบ้านฉันอยู่ไกลจากตัวเมืองเดินทางลำบาก(ยังขับมอเตอไซต์เองไม่เป็น) ฉันจึงมาค้างบ้านเพื่อนสนิท(เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ม.1)ค่ะ ขอสมมุติชื่อว่า เอ แล้วกันนะคะ เอเป็นคนที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ แต่เอก็เคยสยองเพราะฉันมาแล้วเหมือนกัน ตอนม.ต้นเวลาเดินเล่นใน รร. อยู่ๆฉันจะเหม่อไปแล้วยกมือไหวอะไรซักอย่างหนึ่ง เอเข้าใจว่าไหว้ครูเลยไหว้ตาม แต่ตรงนั้นไม่มีใครเลย ฉันเองก็ไม่รู้ตัวว่าไหว้จนเอทักเนี่ยแหละ นอกเรื่องไปละ คือคืนนั้นเอบอกให้เอาชุดดำมาด้วย เอต้องไปงานศพลุงในหมูบ้าน ไม่อยากให้เราอยู่บ้านเอคนเดียว ฉันเลยตอบตกลง ก็งานปกติไม่มีอะไร พอเช้าอีกวันเราต้องเข้าไปรับเพื่อนๆส่วนที่เหลือมาทำรายงาน เอก็ปากพร่อย เมื่อพ่อเอขับรถผ่านจุดที่ลุงเอตาย เอชี้ให้เราดูแล้วบอกว่า เนี่ยตรงนี้แหละที่คนที่เราไปงานศพเมื่อวานตาย พอเท่านั้นแหละค่ะ ฉันปวดหัวขึ้นมาทันที ปวดมากจนแทบทนไม่ได้เลย พ่อเอเลยเอาพระที่ห้อยหน้ารถมาสวมให้ฉัน จึงค่อยดีขึ้น
จากเหตุการณนั้นเป็นต้นมา เรากลายเป็นคนที่ห่างพระไม่ได้เลย เพราะจะได้ยินเสียง หรือหางตาจะเหมือนเห็นอะไรตลอด จนเราเข้าปี 1 มีงานเดินวิ่งมาราธอน เนื่องจากเราซ่าไงตอนนั้น เลยชวนเพื่อนไปวิ่งดีกว่า พอวิ่งเสร็จเพื่อนก็ทักว่า พระที่แกห้อยไปไหนแล้ว พอคลำที่คอดูก็พบว่าสร้อยขาดค่ะ ตัวสร้อยยังห้อยติดคอแต่พระหล่นไปตอนไหนไม่รู้แล้ว จะกลับไปเอาพระที่บ้านก็ลำบาก จึงเจอเรื่องสยองๆตามมาเยอะเลยค่ะ
เราไม่ชอบอาการแบบนี้เลย ใครพอมีวิธีแก้บ้าง
คืออยากบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องยาวนะคะ ภาษาที่เล่าอาจทำให้บางคนอ่านแล้วงงไปบ้างต้องขออภัยด้วยนะคะ
เรื่องมันมีอยู่ว่าตั้งแต่เราเด็กแล้ว บ้านเราเป็นบ้านปลูกเรียงกัน 3 หลังในรั้วเดียวกัน บ้านหลังแรกเป็นบ้านตาทวด บ้านหลังตรงกลางคือบ้านเรา 2 หลังนี้มีความเหมือนกนคือ เป็นบ้านไม้ยกใต้ถุนสูง ข้างล่างเป็นแคร่ไม้เอาไว้นั่งรับลมค่ะ บ้านแบบชนบททั่วไปนั่นแหละค่ะ
เริ่มเลยนะคะ คือตอนเรา ประมาณ 2 ขอบ แม่เล่าให้ฟังว่าแม่ต้องไปทำกับข้าว เลยฝากเราไว้กับน้า โดยที่เรานั่งอยู่บนบันไดและน้ายืนป้อนข้าวเราอยู่ แม่บอกว่าอยู่ดีๆน้าก็รีบตะโกนบอกแม่ว่ามาดูเราที น้าไปแล้ว แม่เราก็งงว่าทิ้งเราทำไม ทั้งที่รับปากจะดูเรา มารู้ทีหลังว่าน้าเล่าว่าอยู่ดีๆ เราก็ยกมือไว้อะไรซักอย่าง แล้วหัวเราะคิกคักเหมือนมีคนมาหยอกเล่น ทั้งที่บริเวณานั้นไม่มีใครเลย น้ากลัวมากเลยกลับบ้านไป
เราก็โตมาในแบบเด็กปกติ แต่จนถึงตอนเข้ามัญยม เราสอบติดรร.ในเมือง ต้องเดินทางมาเรียนกว่า 30 กิโลทุกวัน ก็เดินทางด้วยรถตู้รับส่งนักเรียนนั้นแหละค่ะ ด้วยความที่เส้นทางที่เข้าเมืองทางบ้านเรามันเป็นถนนใหญ่ข้ามอำเภอ จึงมีอุบัติเหตุบ่อย ความเชื่อของคนเหนือคือถ้าตายเพราะอุบัติเหตุญาติๆจะเอาตุงแดงมาปักไว้ที่คนตาย และก่อเจดีย์กองทรายเล็กๆไว้ข้างล่าง เรื่องที่เกิดคือเพื่อนในรถค่ะตัวดีเลย มันเห็นตุงแดงทีไรมันก็ชอบทักว่า เห้ยๆ ดูนั่นสิวะ ใครตายอีกแล้วล่ะนั่น ฉันก็มองตามค่ะ ไม่ได้คิดอะไร แต่พอกลางคืนมา ฉันจะรู้สึกปวดหัวมากทุกครั้งในวันที่เพื่อนมันทักอะไรประมาณนี้ เป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ จนฉันเริ่มชินค่ะ
เรื่อมมันเริ่มหนักขึ้นตอนฉันอยู่ม.5 ค่ะ ฉันมีรายงานที่ต้องทำ เนื่องด้วยบ้านฉันอยู่ไกลจากตัวเมืองเดินทางลำบาก(ยังขับมอเตอไซต์เองไม่เป็น) ฉันจึงมาค้างบ้านเพื่อนสนิท(เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ม.1)ค่ะ ขอสมมุติชื่อว่า เอ แล้วกันนะคะ เอเป็นคนที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ แต่เอก็เคยสยองเพราะฉันมาแล้วเหมือนกัน ตอนม.ต้นเวลาเดินเล่นใน รร. อยู่ๆฉันจะเหม่อไปแล้วยกมือไหวอะไรซักอย่างหนึ่ง เอเข้าใจว่าไหว้ครูเลยไหว้ตาม แต่ตรงนั้นไม่มีใครเลย ฉันเองก็ไม่รู้ตัวว่าไหว้จนเอทักเนี่ยแหละ นอกเรื่องไปละ คือคืนนั้นเอบอกให้เอาชุดดำมาด้วย เอต้องไปงานศพลุงในหมูบ้าน ไม่อยากให้เราอยู่บ้านเอคนเดียว ฉันเลยตอบตกลง ก็งานปกติไม่มีอะไร พอเช้าอีกวันเราต้องเข้าไปรับเพื่อนๆส่วนที่เหลือมาทำรายงาน เอก็ปากพร่อย เมื่อพ่อเอขับรถผ่านจุดที่ลุงเอตาย เอชี้ให้เราดูแล้วบอกว่า เนี่ยตรงนี้แหละที่คนที่เราไปงานศพเมื่อวานตาย พอเท่านั้นแหละค่ะ ฉันปวดหัวขึ้นมาทันที ปวดมากจนแทบทนไม่ได้เลย พ่อเอเลยเอาพระที่ห้อยหน้ารถมาสวมให้ฉัน จึงค่อยดีขึ้น
จากเหตุการณนั้นเป็นต้นมา เรากลายเป็นคนที่ห่างพระไม่ได้เลย เพราะจะได้ยินเสียง หรือหางตาจะเหมือนเห็นอะไรตลอด จนเราเข้าปี 1 มีงานเดินวิ่งมาราธอน เนื่องจากเราซ่าไงตอนนั้น เลยชวนเพื่อนไปวิ่งดีกว่า พอวิ่งเสร็จเพื่อนก็ทักว่า พระที่แกห้อยไปไหนแล้ว พอคลำที่คอดูก็พบว่าสร้อยขาดค่ะ ตัวสร้อยยังห้อยติดคอแต่พระหล่นไปตอนไหนไม่รู้แล้ว จะกลับไปเอาพระที่บ้านก็ลำบาก จึงเจอเรื่องสยองๆตามมาเยอะเลยค่ะ