อย่าหันไปมอง..เพราะมันจะตามกลับมา

ครอบครัวของฉันอาศัยอยู่ที่จังหวัดเล็กๆ  ไม่ไกลจากกรุงเทพฯมากนัก เป็นจังหวัดที่มีแม่น้ำผ่ากลางตัวเมือง จังหวัดนี้ในสมัยยี่สิบกว่าปีที่แล้วยังไม่ค่อยเจริญนัก ความเจริญจะกระจุกตัวอยู่เพียงในตัวเมืองเท่านั้นบ้านของฉันอยู่อีกอยู่คนละฝั่งของแม่น้ำกับตัวเมืองซึ่งเป็นย่านธุรกิจและที่ทำงาน ระยะทางระหว่างที่ทำงานกับบ้านฉันห่างกันประมาณ ๒ - ๓  กิโลเมตร    เวลาที่จะมาทำงานฉันก็จะขับรถข้ามสะพานข้ามแม่น้ำเพื่อเข้าตัวเมือง  คนส่วนใหญ่ เมื่อข้ามสะพานมาแล้วจะขับตรงไปยังสามแยก ซึ่งเป็นถนนสายหลักเพื่อเลี้ยวซ้ายเข้าตัวเมือง  หรือเลี้ยวขวาก็จะสามารถมุ่งหน้าไปสู่อำเภออื่นๆได้ แต่ก่อนที่จะถึงสามแยกดังกล่าวหาก ข้ามสะพานมาแล้ว จะเจอทางเลี้ยวซ้ายเข้าถนนสายเล็กๆ ที่ตัดผ่านหน้าวัดซึ่งถือว่าเป็นพระอารามหลวงของจังหวัด ถนนสายนี้เป็นทางลัดเพื่อเข้าตัวเมือง แต่ก็ไม่ค่อยมีรถผ่านมากนักส่วนใหญ่รถที่สัญจรผ่านเส้นนี้จะ เป็นรถมอเตอร์ไซด์หรือรถเล็ก ๆ ของชาวบ้านละแวกนั้น ...และจุดนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเจอประสบการณ์อัน น่าสะพรึงกลัวที่ฉันไม่อาจลืมได้เลย

                 แม้ว่าที่ทำงานจะอยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก  แต่เพราะว่าเป็นคนขับรถมอเตอร์ไซด์ไม่ค่อยเก่ง ก็เลยใช้รถยนต์เป็นพาหนะ  ฉันก็มักจะเลือกขับรถไปเส้นทางถนนสายหลักมากกว่า เพราะถนนกว้าง มีสัญญาณไฟ ให้ขับได้ง่ายกว่าเส้นทางลัด  แต่หากวันใดที่อากาศดี ๆ อยากออกไปตลาดซื้อของเล็กๆ น้อยๆ ก็จะเลือกใช้มอเตอร์ไซด์ขับไปตามเส้นทางลัดหน้าวัด เพราะถนนสายนี้ไม่ค่อยมีรถ ระหว่างทางมีต้นไม้เรียงรายข้างทาง ดูร่มรื่น เย็นสบาย  แม้ว่าจะต้องขับผ่านเมรุเผาศพและเจดีย์เก็บอัฐิของคนตาย ที่สร้างระเกะระกะไม่เป็นระเบียบอยู่บ้าง ชาวบ้านทุกคนรวมทั้งฉันก็คงไม่มีใครนึกถึงเรื่องผี ๆ สาง ๆ หรือกลัวอะไร  ยกเว้นเวลาค่ำมืด ทางสายนี้ฉันก็จะไม่ค่อยผ่านเพราะดูมืดมาก ไม่ค่อยมีไฟทาง แม้จะไม่น่ากลัวมากแต่ออกจะดูวังเวงไปนิด คือจะเห็นเมรุและศาลาสวดอภิธรรมศพอยู่ข้างทาง ซึ่งอยู่คนละฝั่งกับวัด ไม่มีแนวรั้วกั้นกับถนน  และไม่ได้อยู่ในรั้วกำแพงของวัดเหมือนวัดอื่นๆ ซึ่งก็อาจเป็นเพราะว่าพื้นที่อีกด้านหนึ่งของวัดแห่งนี้อยู่ติดกับแม่น้ำ ขยายออกไปไม่ได้แล้ว ทางวัดจึงจำเป็นต้องสร้างเมรุและศาสาสวดอภิธรรมศพไว้นอกวัด  ซึ่งชาวบ้านทุกคนก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอะไร เดินทางผ่านกันไปมาเป็นปกติ  นานๆ ครั้งอาจจะมีเรื่องเล่าน่ากลัวอยู่บ้างว่า มีชาวบ้านจากตำบลอื่นที่ใช้เส้นทางผ่านหน้าเมรุเผาศพนี้ตอนตีสามตีสี่เพื่อมาค้าขายในตัวเมืองได้เจอเหตุการณ์ประหลาด ๆ เช่น  เห็นเป็นต้นไม้ล้มลงมาขวางทางบ้าง หรือเห็นเหมือนมีคนวิ่งตัดหน้ารถบ้าง จนทำให้เกิดอุบัติเหตุรถเสียหลักทำให้บาดเจ็บ ทั้ง ๆ ที่เมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้ว ก็ไม่พบว่ามีร่องรอยของต้นไม้ล้ม หรือมีคน     วิ่งตัดหน้ารถแต่อย่างใด   มันจึงเป็นเพียงแค่เสียงร่ำลือ  ที่พอถามหาผู้พบเจอเหตุการณ์ดังกล่าวก็ไม่เคยมีใครยืนยันได้  จึงเป็นแค่เรื่องเล่าต่อ ๆ กันมาซึ่งก็ไม่บ่อยนัก  หากมีข่าวออกมาบ้าง ก็จะที่ฮือฮาอยู่บ้างในระยะแรก ๆ  ที่ได้ยิน แต่สุดท้ายก็เป็นแค่เรื่องเล่าและทุกคนก็ลืมเลือนไปตามกาลเวลา 

                   ประสบการณ์เรื่องที่ฉันจะเล่ามีอยู่ว่า......เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาว เวลาใกล้ค่ำของวันเสาร์ ซึ่งจำไม่ได้ว่าเป็นเดือนพฤศจิกายนหรือธันวาคม  ลูกชายของฉันซึ่งตอนนั้นน่าจะเรียนอยู่ชั้น ม. ๑  แกรู้สึกอยากกินขนมจึงขอให้ฉันพาไปตลาดนัด  วันนั้นอากาศเย็นสบายแดดร่มลมตกแต่ยังไม่มืด ฉันเลยพาแกขับรถมอเตอร์ไซด์ไปหาซื้อขนมกินกัน ถือโอกาสขับรถกินลมชมวิวไปด้วย โดยขับผ่านถนนสายหน้าวัดเพราะไม่ค่อยมีรถพลุกพล่าน อีกอย่างถ้าขับไปถนนสายหลักต้องผ่านตลาดนัดด้านหน้า การจราจรค่อนข้างหนาแน่น  ฉันจึงเลือกขับไปเส้นหน้าวัดซึ่งร่มรื่นและรถน้อยกว่าแทน  พอเดินเที่ยวซื้อของและขนมเสร็จ ฉันก็ชวนลูกชายกลับบ้าน เวลานั้นพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน แสงสีแดงๆยามค่ำของหน้าหนาว ทำให้บรรยากาศดูโพล้เพล้อย่างที่ชาวบ้านเรียกกันว่าเวลาเข้าไต้เข้าไฟ แต่ก็ยังไม่มืด ฉันก็เลยขับรถพาลูกกลับเส้นเดิมคือทางหน้าวัดที่ต้องผ่านเมรุเผาศพและเจดีย์บรรจุอัฐิ  ตอนนั้นฉันก็ไม่ได้นึกหวาดกลัวอะไรเพราะเคยชินกับเส้นทางและไม่เคยนึกถึงเรื่องผีสางนางไม้  จึงขับรถไปช้า ๆ อย่างสบายใจ พอผ่านหน้าเมรุมาสักหน่อย รู้สึกเหมือนอากาศเย็นเฉียบและเหมือนมันเงียบมากๆ กว่าที่เคย ไม่มีรถวิ่งตามมาหรือสวนทางกับฉันสักคัน  แต่แล้ว...ก็มีเสียงร้องเรียกดังๆ ว่า  “เฮ้ยยยยยย!!!!!”   ลักษณะเหมือนเสียงใครสักคนคนร้องทักฉัน   เสียงนั้นดังกังวานมาก ๆ ในโสตประสาทและความรู้สึกของฉัน ด้วยสัญชาตญาณ ฉันจึงเหลียวหน้าหันกลับไปมองด้านหลังเพื่อหาเจ้าของเสียง  ด้วยนึกว่าอาจจะเป็นคนรู้จัก เผื่อเขาต้องการติดรถไปด้วย แต่.......คุณพระ!.....บริเวณนั้นไม่มีใครยืนอยู่เลยสักคนเดียว   ฉันรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทันที แต่ก็ไม่ได้กลัว แค่แปลกใจว่าทำไมไม่เห็นมีใครเลย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร  เพียงแต่เร่งขับรถให้เร็วขึ้น  เพราะรู้สึกว่าความมืดเริ่มก่อตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วทั้งๆที่ เมื่อกี้ยังมีแสงสว่าง พอมองเห็นทางได้สบายๆ ลักษณะเหมือนเสียงใครสักคนคนร้องทักฉัน   เสียงนั้นดังกังวานมาก ๆ ในโสตประสาทและความรู้สึกของฉัน ด้วยสัญชาตญาณ ฉันจึงเหลียวหน้าหันกลับไปมองด้านหลังเพื่อหาเจ้าของเสียง  ด้วยนึกว่าอาจจะเป็นคนรู้จัก เผื่อเขาต้องการติดรถไปด้วย แต่.......คุณพระ!.....บริเวณนั้นไม่มีใครยืนอยู่เลยสักคนเดียว   ฉันรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทันที แต่ก็ไม่ได้กลัว แค่แปลกใจว่าทำไมไม่เห็นมีใครเลย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร  เพียงแต่เร่งขับรถให้เร็วขึ้น  เพราะรู้สึกว่าความมืดเริ่มก่อตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วทั้ง ๆที่ เมื่อกี้ยังมีแสงสว่าง   พอมองเห็นทางได้สบายๆ

                    เมื่อกลับมาถึงบ้าน....ฉันก็ไม่ได้ถามลูกสักคำว่าเมื่อกี้ได้ยินเสียงอะไรไหม  เพราะตอนที่ซ้อนท้ายมา แกก็ไม่เห็นพูดหรือถามอะไรฉันสักคำ แม้แต่ตอนที่ฉันหันหลังกลับไปมอง เพื่อหาที่มาของเสียง ก็เห็นแกนั่งปกติ ไม่มีทีท่าว่าจะหันไปมองอะไรเหมือนที่ฉันทำเลย  ฉันเองก็แปลกใจตัวเองว่าทำไมถึงปากหนักไม่ถามลูก  หลังจากถึงบ้านลูกชายก็เอาขนมไปแบ่งป้าและหลาน ๆ ของฉันอีกสองสามคน ตั้งวงทานกันอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนฉันเองเดินแยกตัวขึ้นไปชั้นบน  เพื่อไปอาบน้ำ ดูโทรทัศน์ก่อนนอนตามปกติ และก็ไม่ได้นึกถึงเหตุการณ์เมื่อสักครู่อีก เพียงแต่รู้สึกเหมือนตัวองไม่ค่อยสบายใจนัก แต่ก็นึกไม่ออกว่าเป็นอะไร ทำไมถึงรู้สึกว่าหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก  แต่ก็นอนหลับได้หลังจากดูละครที่ชอบจบ

                    รุ่งเช้าฉันตื่นขึ้นมาเตรียมตัวไปทำงานตามปกติ  อาบน้ำแต่งตัวเงียบ ๆ รู้สึกแปลกๆเหมือนไม่อยากคุยกับใคร ปกติทุกเช้าจะเรียกลูกชายให้ตื่นและมักจะต้องบ่นแกเป็นประจำเรื่องกว่าจะลุกขึ้นจากที่นอนได้ แต่วันนั้น เมื่อแต่งตัวเสร็จก็ลงไปชั้นล่างและขับรถไปทำงานเงียบ ๆ จนน้าสาวแปลกใจ แต่ก็ไม่ถามอะไรเพราะคิดว่าฉันคงมีงานด่วนที่ต้องรีบไปทำ แกจึงขึ้นไปดูหลานชายและบอกเด็ก ๆ ทุกคนในบ้านให้อาบน้ำ แต่งตัว กินข้าวและส่งไปโรงเรียน   ส่วนฉันเองเมื่อมาถึงที่ทำงานก็ปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ เพียงแต่ไม่ค่อยสนทนาทักทายกับใคร พอว่างก็จะนั่งเงียบๆ ไม่คิดอยากจะคุยเล่นกับเพื่อน ๆ ทุกคนก็ได้แต่มอง ๆ และคิดว่าฉันคงมีเรื่องไม่สบายใจก็เลยไม่กล้าถาม

                    สองสามวันต่อมาฉันก็ยังคงทำตัวเงียบเฉยผิดปกติ  เพื่อนสนิทคนหนึ่งจึงเข้ามาถามฉันว่าเป็นอะไรหรือเปล่าทำไมดูซึมเศร้าไม่พูดไม่จาไม่ยิ้ม ไม่คุยกับใครมาหลายวันแล้ว  ฉันก็ตอบว่า ไม่รู้เหมือนกัน รู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยสบายใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร มันรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูกเลย  เพื่อนก็พยายามถามเรื่องนั้น เรื่องนี้ทั้งเกี่ยวกับงาน เกี่ยวกับครอบครัว ฉันก็ได้แต่ตอบว่า ไม่มีเรื่องอะไรที่ฉันรู้สึกหนักใจเลย รู้แต่ว่าเบื่อ เหงา ท้อแท้ หดหู่ใจ เพื่อนก็มองฉันอย่างแปลกใจ แล้วก็บอกกับฉันว่า ไม่มีอะไรก็จะไม่สบายใจทำไม วันนี้  ไปหาอะไรกินกันไหมเผื่อจะดีขึ้น  ฉันก็ตอบเขาว่า ไม่ดีกว่าฉันอยากพักผ่อน ....เขาก็เลยบอกว่าให้กลับไปพักผ่อนวันหลังค่อยไปหาอะไรทานกัน  
                 
                    พอถึงบ้านน้าสาวก็มองฉันแปลกๆ และถามว่ามีอะไรไม่สบายใจรึเปล่า ดูเงียบๆมาหลายวันแล้ว   และก็พยายามชวนฉันคุย ฉันจึงนั่งลงที่โซฟาชั้นล่างอย่างจำใจ แล้วก็ตอบคำถามแบบถามคำตอบคำ ครั้นจะลุกหนีขึ้นห้องก็ดูเสียมารยาทเลยเอนตัวนอนบนโซฟา น้าสาวนั่งมองหน้าฉันแล้วก็พูดว่า ทำไมสองสามวันนี้ดูหน้ามองคล้ำจัง ดูดำๆไปนะ  ฉันก็ตอบส่ง ๆ ไปว่าไม่เปิดไฟรึเปล่า ถึงมองหน้าฉันดำ น้าสาวก็ชี้ที่หลอดไฟซึ่งเปิดอยู่  แล้วถามว่าช่วงนี้ดูเงียบมากข้าวปลาก็ไม่ค่อยลงมากิน มีอะไรหรือเปล่า  ฉันมองหน้าน้าสาวสักพัก เลยบอกว่า วันก่อนเหมือนได้ยินเสียงคนเรียกแล้วหันไปไม่เจอใคร เลยรู้สึกกังวลใจบอกไม่ถูก  แกจึงซักไซ้ไล่เลียงฉันเสียยกใหญ่  ฉันจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้น้าสาวฟัง ตอนนั้นลูกชายฉันกลับมาจากโรงเรียนพอดีก็ได้ ยินเรื่องที่ฉันเล่า น้าสาวถามแกว่าได้ยินเสียงใครเรียกไหมวันที่ไปตลาดนัดกับแม่  ลูกชายก็บอกว่าไม่เห็นได้ยินอะไรเลย น้าเลยบอกว่าสงสัยฉันคงหูแว่วไปเอง คงไม่มีอะไรหรอก แล้วก็บอกว่าถ้าไม่สบายใจให้เอาสร้อยห้อยพระหลวงพ่อที่แกนับถือไปสวมไว้ เผื่อจะได้สบายใจขึ้น  ที่หน้าคล้ำๆ คงอาจเพราะเหนื่อยกับงานและ ไม่ค่อยกินข้าว วันนี้กินข้าวแยะ ๆ แล้วขึ้นไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะ  แล้วแกก็หันไปบอกลูกชายฉันว่า คืนนี้ก็นอนไว ๆ อย่ามัวแต่เปิดไฟเล่นเกมล่ะ  แม่ไม่ค่อยสบายจะได้พักผ่อนให้เต็มที่  ลูกชายจึงบอกน้าสาวว่า งั้นคืนนี้แกขอลงมานอนกับป้าละกัน ให้นอนแต่หัวค่ำคงไม่ง่วง   สรุปว่า คืนนั้นลูกชายก็หอบผ้าและเครื่องนอนลงมานอนกับพี่ ๆ  น้อง ๆ ที่ห้องโถงชั้นล่าง  ส่วนฉันก็เลยนอนอยู่ที่ห้องชั้นบนคนเดียว

                      คืนนั้น...ฉันรีบนอนแต่หัวค่ำเพราะรู้สึกว่าสิ่งที่น้าสาวพูดก็อาจจะจริง  ฉันพยายามข่มตาลงเพื่อนอนให้หลับ  แต่ตอนดึก ๆ  ฉันรู้สึกเหมือนกับตัวเองครึ่งหลับครึ่งตื่น  มองออกไปทางระเบียงหน้าห้องนอนที่เป็นส่วนยื่นออกไปจากตัวบ้านชั้นบน  ฉันเห็นเงาสีดำเคลื่อนตัวเข้ามาเรื่อย ๆ ทางหน้าต่าง เมื่อใกล้เข้ามาก็เกิดเป็นเงาดำ ๆ มีรูปร่างเหมือนผู้ชายตัวสูงใหญ่  แต่มองไม่เห็นหน้าตาว่าเป็นอย่างไร มันเคลื่อนตัวเข้ามาอย่าง ช้า ๆ และหยุดที่ข้างเตียงนอนของฉัน ฉันพยายามจะตื่นหรือจะลุกขึ้น แต่ก็ทำไม่ได้ เงาดำนั้นเหมือนมีพลังบางอย่างที่ทำให้ฉันขยับตัวไม่ได้  รู้แต่ว่าตอนนั้นนอนตะแคงหันหน้าไปทางหน้าต่างห้อง บอกไม่ถูกด้วยซ้ำไปว่าตนเองตื่นหรือฝันอยู่ รู้แต่ว่าเงาดำ ๆ นั้นก้าวขึ้นมาที่เตียง แล้วมันก็นั่งทับบนไหล่ฉัน  ฉันรู้สึกอึดอัด รู้สึกเหมือนตัวเองพยายามดิ้น ๆๆๆ พยายามร้องแต่ก็ทำไม่ได้  เลยก็พูดในใจว่า ออกไปนะกูไม่กลัวหรอก แล้วก็รวบรวมกำลังดิ้นสุดแรง  ในที่สุดก็สามารถหลุดจากมันได้ ฉันตกใจลุกขึ้นนั่งแล้วก็มองไปรอบ ๆ ห้อง แสงจากดวงจันทร์ส่องผ่านหน้าต่างมุ้งลวดเข้ามาทำให้ฉันมองเห็นทุกอย่างในห้องได้ แม้จะไม่แจ่มแจ้ง แต่ก็ไม่พบว่า  มีอะไรผิดปกติ  เงาดำ ๆ เมื่อสักครู่ก็ไม่มี  ฉันเลยนึกขำตัวเองและคิดว่าที่แท้ฉันคงนอนตะแคงทับแขนตัวเองจนปวดและอึดอัด ประจวบกับคงเก็บเรื่องที่คุยกับน้าเมื่อเย็นมาคิดแล้วฝันเป็นตุเป็นตะไปเอง ก็เลยไม่ได้คิดมาก นอนหลับได้ต่อจนเช้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

*เดี๋ยวมาต่อ EP2
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่