ปัญหาเรื่องยางพาราราคาตกต่ำมาก
พอ ๆ กับยุคสมัยก่อนที่ราคาหุ้นต่ำมาก
ขนาดถูกกว่าลูกอม Halls 3 เม็ดบาท
หรือซื้อหุ้น 3 บริษัท(มหาชน)ราคาไม่ถึง 1 บาท
ยิ่งตอนนี้ราคายางพารา 3 โลร้อย
(3 กิโลกรัม 100 บาท)
บางวันราคาลงถึงกิโลกรัมละ 5 บาท
แต่เดิมราคายางวันหนึ่งลงอย่างมากไม่เกิน 0.25-0.50 บาท
จากการนั่งคุยกับปราขญ์ชาวบ้านคลองหวะ(ลุงลัภย์ หนูประดิษฐ์)
ได้สรุปบทเรียนอย่างไม่เป็นทางการ/เป็นวิชาการ
คือกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
พรรคคนใต้มีนโยบายหลักคือ
ให้โอนกิจกรรมของ สกย. สำนักงานส่งเสริมการยาง
ให้แต่ละตำบลมีโรงงานรมควันยางพาราชุมชน
ยางแผ่นแพงทำยางแผ่น น้ำยางแพงขายน้ำยาง
เรียกว่ารอจังหวะขายเมื่อราคายางสูงขึ้น
ทำให้ปริมาณยางพาราออกสู่ท้องตลาด
ไม่ประดังออกมาพร้อมกันจำนวนมาก
แต่ปัญหาที่พบตอนนี้คือ ชาวบ้านขายน้ำยางสด
ยางกรีดเสร็จรอขายน้ำยางประมาณ 8 โมงเช้าก็ได้รับเงินสดแล้ว
แต่ยางแผ่นก่อนรมควันต้องทำการรีดยาง ทำดอกยางแผ่น
ประมาณก่อนเที่ยงวันจึงจะเสร็จ
เก็บไว้ ตากแดด ผึ่งแดดในบ้าน/ชายคา
กว่าจะได้ขายต้องรออีกประมาณ 10 วันไม่ทันใจ
เผลอ ๆ ถูกลักขโมยอีก
ทำให้ตอนนี้ปริมาณน้ำยางสดออกมาสู่ตลาดมาก
หลักเศรษฐศาสตร์ชาวบ้านที่รู้และเข้าใจกันคือ
ของมากราคาถูก ของน้อยราคาแพง
การซื้อขายน้ำยางสดมีกลเม็ดเด็ดพรายชาวบ้าน
โดยการปลอมปนน้ำลงในน้ำยางสด
ตัวอย่างเช่น น้ำหนัก % ยางพาราทั่วไปที่ 35%
ใส่น้ำลงไปประมาณ 10 ลิตรก็จะได้เงินเพิ่มขึ้น
สมมุติว่ายางน้ำหนักรวม 50 ลิตร
แม้ว่าจะทำให้ % ยางพาราลดลงเหลือ 30%
คำนวณง่าย ๆ 30%*60=18.0 กิโลกรัม * 50.-บาท จะได้ 900.-บาท
แต่ถ้าไม่ปนน้ำยางได้ 35%*50=17.5 กิโลกรัม * 50.-บาท จะได้ 875.-บาท
จะเห็นว่ามีส่วนต่างเพิ่มขึ้นประมาณ 25.-บาท
ทำให้ชาวบ้านบางคนปลอมปนน้ำลงไป
แต่ผู้ขายมีวิธีการแก้กลับ
คือตัววัด % น้ำยางเมโทรแล็ค
ถ้าถูกความร้อนจะวัด % น้ำยางพาราเพิ่มขึ้น
แต่ถ้าถูกความเย็นจะวัด % น้ำยางพาราลดลง
จึงมักจะแช่ในตู้เย็นก่อนออกมาวัด % น้ำยางพารา
หรือใช้น้ำเย็นผสม/ล้างตัววัดเมโทรแล็ค
ทำให้ตอนวัด % น้ำยางลดลงไปอีก
ขณะเดียวกันชาวบ้านที่นกรู้บางคน
จะเอาน้ำร้อนใส่ผสมลงในถังน้ำยาง
คนรับซื้อยางที่เขึ้ยวกว่าจะจับถังดู
ถ้าถังน้ำยางสดยังอุ่น ๆ อยู่ก็บอกรอเดี๋ยวต๊ะ
ซื้อของคนอื่นก่อนเพราะเขารีบ
พอถังน้ำยางสดเย็นลงค่อยมารับซื้อ
เพราะวัดตอนนั้น % น้ำยางลดลงแล้ว
บางครั้งคนขายน้ำยางให้คนซื้อ
หรือลูกจ้างโรงงานรับซื้อน้ำยาง
จะแอบตักน้ำยางเจ้าที่มี % น้ำยางสูง
ใส่ลงในกระบอกวัด % น้ำยาง
ทำให้ได้ราคาน้ำยางสูงขึ้นเช่นกัน
รองลงมาแม้ว่าจะมีการทดลองทำเป็นยางแผ่นทดสอบ
มักใช้วิธีการแบบเดียวกันโดยการลอบใส่น้ำยางเจ้าอื่น
ที่มี % น้ำยางสูงให้แทน
เรื่องแบบนี้เรียกว่าเอากันตอนทีเผลอ
บางทีเป็นการสมคบคิดกัน 2 คน
เพราะลูกจ้างคือลูกจ้างไม่ใช่เถ้าแก่
พอ ๆ กับคนเลี้ยงช้างมักจะกินอ้อยช้างบ้าง
หรือสิบล้อบางคันแอบขายน้ำมัน
การผสมน้ำลงในน้ำยางพารา
จะทำได้กับต้นยางพาราที่มีอายุมากแล้ว
ส่วนต้นยางที่เพิ่งกรีดใหม่ ๆ ช่วง 6-7 ปีแรก
ยังวัยละอ่อนอยู่ % น้ำยางพารา
ยังไม่สามารถดีด % เกินกว่า 30 ได้
จะมี % น้ำยางประมาณ 25-26%
แล้วค่อย ๆ เขยิบเหมือนนักฟุตบอลเลื่อนชั้น
เลื่อนเกรดไปเตะดิวิชั่น/พรีเมียลีคที่สูงขึ้น
บางรายผสมน้ำลงในน้ำยางพารา
คนน้ำยางไม่ดีหรือกระบวนการผลิตแบบฉ้อ(โกง)ไม่ดี
จะเกิดฝ้ายางเป็นก้อน ๆ เล็ก ๆ
คนรับซื้อก็จะด่าว่า " เห้ ยังม่อกั๋น "
มีลูกปลาหมอในถังน้ำยาง(...ดัน)
ก็จะถูกหักราคารับซื้อไปตามระเบียบ
กติกาคนรับซื้อน้ำยางสด
มักจะกำหนดว่ารับซื้อเพียง 8 วัน
อีก 2 วันให้ต้นยางได้พักผ่อนบ้าง
จะทำให้ต้นยางไม่โทรมและมี % น้ำยางสูง
แต่เอาเข้าจริง 2 วันที่เหลือนั้น
ชาวสวนยางจะนำไปขายเจ้าอื่นก่อน
เช่น ขายประจำที่คลองหวะ 8 วัน
อีก 2 วันที่เหลือไปขายที่รัตภูมิ
แล้ววกกลับมาใหม่เป็นวัฏจักรวงจร
ปัญหายางพาราที่สั่งสมมานานคือ
ยางพาราในปัจจุบันสายเลือดชิดเกินไป
สมัยก่อนพันธุ์ยางพื้นเมือง
จะให้ผลผลิต 100 ต้น 1 กิโลกรัม
แต่ยางพันธุ์ให้ผลผลิต 100 ต้น 3 กิโลกรัม
แน่นอน Supply ยิ่งมากราคายิ่งถูก
สมัยก่อนกรีดยางพาราได้น้อย
แต่ยางพื้นเมือง % น้ำยางสูงกว่ามาก
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าพิจารณาคือ
ตอนนี้การติดตา/เสียบยอดยางพารา
ใช้เมล็ดพันธุ์ 600 แล้วติดตา/เสียบยอด 600 หรือ gt235
ทำให้มีผลแบบเป็ดแบบไก่คือสายเลือดชิดเกินไป
เพราะแต่ก่อนยังหาเมล็ดพันธุ์พื้นเมือง
เพาะเป็นต้นอ่อนก่อนติดตา/เสียบยอดได้
น่าจะมีผลกับหน้ายางและโรคระบาดต้นยาง
ปัญหาในช่วงที่ผ่านมาคือ ยางพาราราคาสูง
ทำให้ชาวบ้าน/คนกรีดยางบางคนโลภจัด
ทำการอัดปุ๋ย ฉีดฮอร์โมน ใส่ยา อัดแก้ส
เพื่อเร่งปริมาณน้ำยางพาราออกมาให้มากที่สุด
บางรายจะได้ 6-7 กิโลกรัม/ไร่
หรือขยันกรีดยางพาราทุกวัน
แม้ว่าต้นยางควรจะหยุดพักบ้าง
เพื่อไม่ให้หน้ายางพาราเสียหาย/ต้นยางโทรม
แต่ผลสุดท้ายแล้วต้นยางก็โทรมอยู่ดี
หรือหน้ายางพาราตายกรีดไม่ได้อีก
คนที่เสียหายหนักคือเจ้าของสวนยาง
ส่วนคนกรีดยางก็เหมือนคาวบอยพเนจร
ที่ไหนมีเงินรางวัลหรือล่าเงินรางวัลได้ก็ไป
ปล่อยให้เจ้าของสวนยางพารานั่งซังกะตายไป
แม้ว่าการปลูกยางพาราจะมีโบนัสก้อนใหญ่
คือ การขายไม้ยางให้กับโรงงานผลิตไม้ยางพารา
แต่ราคาก็ลงมากแล้วในช่วง 2-3 ปีนี้
ราคายางท่อนที่ไปแปรรูปได้ช่วงนี้ตกกิโลกรัมละ 1.80 บาท
ถ้าเป็นไม้ฟืนราคาจะต่ำกว่า 1.00 บาท
แต่การขายเป็นไม้แปรรูปได้นั้น
จะต้องมีการพิจารณาจากความสูง/อ้วนของต้นยางพารา
และไส้ในไม่ดำ คือ ถ้ามีการฉีดยา อัดแก้สเร่งน้ำยางพารา
จะทำให้แกนในมีรอยเส้นสีดำแปรรูปแล้วไม่สวย
เพราะไม้ยางพาราต่างประเทศเรียกว่า ไม้สักขาว
ถ้าอบน้ำยา/กระบวนการผลิตดี ๆ จะอยู่ได้ถึง 20 ปี
ก่อนที่น้ำยาจะหมดสภาพแล้วเป็นอาหารมอด/ปลวก
ในการรับซื้อไม้ยางพาราต้องดูประวัติศาสตร์อดีตด้วย
ถ้าเคยเป็นเขตฐานที่มั่นหรือเคยมีการปะทะ
กับโจรจีนมาลายาหรือพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
บางแห่งจะไม่รับซื้อเข้าโรงงานเลย
แต่จะรับซื้อแบบไม้ฟืนไปเลย
เพราะตอนเลื่อยเกิดเจอลูกกระสุนปืนฝังในต้นไม้
ปลิวใส่แรงพอ ๆ กับลูกปืนยิงใส่ไม่ตายก็เจ็บ
แต่ที่เจ็บยิ่งกว่าคือ ใบเลื่อยที่เสียหาย
ใบหนึ่งไม่ใช่ราคาถูก ๆ และการติดตั้งก็ไม่ใช่ง่ายด้วย
หลังจากตกลงรับซื้อไมัยางพารากันแล้ว
จะต้องมีการสำรวจ/นับต้นกัน
ไร่หนึ่งจะปลูกต้นยางพาราได้ 70 ต้น
จะนับจำนวนต้นก่อนและรวมจำนวนต้นคิดเป็นไร่
ราคาซื้อขายจะคิดกันเป็นไร่
ช่วงไม้ยางราคาดี ๆ เคยมีคนขายได้ไร่ละแสนกว่า
แต่ต้องติดกับถนนใหญ่และชักลากได้ง่าย
ราคาไม้ยางพาราจะขายได้แพงในช่วงตุลาคม-มกราคม
เพราะเป็นช่วงหน้าฝนของภาคใต้
ความต้องการไม้ยางพาราของโรงงานมาก
ส่วนหน้าร้อนการตัดชักลากง่ายราคาจึงถูกลง
แต่ตอนนี้ตกอยู่ที่ราคาประมาณไร่ละ 4-6 หมื่นบาท
เรื่องการซื้อขายไม้ยางพาราในสมัยก่อน
จะมีลูกเล่นคือ ซื้อขายราคาสูงแล้วค่อยมาหักค่าดันค่าไถ
สมัยก่อนน้ำมันถูกไร่ละ 5 พันบาทตอนนี้ประมาณ 2 หมื่นบาท
การซื้อขายไม้ยางพาราจึงต้องตกลงให้ชัดเจน
ว่าขายสุทธิ อย่ามาหักค่าดันค่าไถต้นยางพาราอีก
สมัยก่อนกิ่งเล็ก ๆ ต้นตอกับรากยางพาราไม่มีราคาเลย
ต้องดันกอง ๆ ไว้แล้วเผาทิ้งในช่วงฤดูแล้ง
ส่วนตอต้องราดยาฆ่าตอให้ตายซาก
แต่ตอนนี้มีราคาเพราะโรงงานรับซื้อนำไปเป็นเชื้อเพลิงได้
เรียกว่าขุด/ดึงขึ้นมาเท่าที่จะทำได้มากเท่าไรมีกำไรแฝงมากเท่านั้น
เป็นแรงจูงใจให้คนรับซื้อขยันเก็บ/ดัน/ขุดต้นยางพาราขึ้นมามากขึ้น
ถ้ามองในแง่บวก/โลกสวย
ถ้ามีการล้มยาง/ลดพื้นที่ปลูกยางพารามากขึ้น
จำนวนปริมาณน้ำยางที่จะออกสู่ท้องตลาดจะลดลง
ทำให้ราคายางพาราสูงขึ้นมาก
ข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการจากบริษัทผู้ผลิตยางพารารายใหญ่
ตอนนี้ในไทยมีจังหวัดที่ยังไม่มีการปลูกยางพาราเพียง 8 จังหวัดเท่านั้น
แสดงว่าอีกไม่นานปริมาณยางพาราจะออกสู่ท้องตลาดจำนวนมาก
คำถามว่าถ้าตอนนี้กลับไปทำยางแผ่นรมควันได้หรือไม่
คำตอบของลุงลัพธ์ คือ เครื่องจักรรีดยางขายช้าดเหม็ดแล้ว
ขายไปหมดแล้วไม่เหลืออีกเลย
ถ้าจะซื้อกลับมาทำใหม่ก็ต้องลงทุนใหม่
รองลงมาคือ หาคนงานทำยางแผ่นยากแล้ว
เพราะขายน้ำยางสดได้เงินเร็วกว่า
ปัญหานี้กระทบกับโรงงานรมควันยางพาราชุมชนในบางพื้นที่
เพราะชาวบ้านหันมาขายน้ำยางสดแทน
ทำให้ปริมาณยางแผ่นขาดหายไปมาก
จนหลายโรงงานกลายเป็นโรงงานร้าง
ทิ้งให้วัวควายแมงมุมค้างคาวหมาแมวอาศัยแทน
การรื้อฟื้นขึ้นมาทำใหม่ต้องแก้ไข
เรื่องแรงงานกับเรื่องเงินทุนที่รับซื้อยางแผ่น
แม้ว่าจะมีการปรึกษากันว่า
ให้นำเงินบางส่วนตั้งเป็นกองทุนหรือถือหุ้นก่อน
เช่นขายยางแผ่น 100 กิโลกรัมขอหัก 10 กิโลกรัม
ตั้งเป็นกองทุนหรือถือหุ้นเพื่อให้มีเงินหมุนเวียนรับซื้อ
แต่ชาวบ้านมักจะไม่เห็นด้วย
เพราะอยากได้เงินเร็วและกลัวเจอปัญหาอื่น ๆ
เพราะราคายางผันผวนมาก ขึ้นเร็ว ลงเร็ว
สมัยก่อนราคายางพารามี 4 ราคาในแต่ละวัน
เรียกว่าเข้าผิดจังหวะจะขาดทุนทันที
เข้าถูกจังหวะก็ร่ำรวยทันที ไม่ต่างกับตลาดหุ้น
ทำให้โรงงานรมควันยางพาราชุมชนเจ๊งมานักต่อนักแล้ว
ปัญหาที่รองลงมาคือ ตอนนี้คนกรีดยางพาราส่วนมากเป็นพม่า
เวลากรีดยางพาราเจ้าของต้องตามใจคนกรีดยางพารา
เพราะหาคนกรีดยางพาราจากอีสานยากแล้ว
รวมทั้งคนพม่าไม่ค่อยกล้าเข้ามาในเมือง
เพราะมักจะเจอการรีดไถ/หาเรื่องจับรีดเงิน
ส่วนมากจะอยู่แต่ในสวนยางพารา
จึงมีเวลากรีดยางมากขึ้นแล้วมีโอกาสเป็นแบบคาวบอย
คือ สวนไหนหน้ายางเสียหายก็จรไปที่อื่น
แต่คนดีก็มี คนชั่วก็มาก เรื่องแบบนี้พูดลำบาก
เรียกว่าโชควาสนาของเจ้าของสวนยางไม่เหมือนกัน
สมัยก่อนคนกรีดยางพม่า
มักจะนำเงินสดกลับเข้าพม่าทางระนอง
จึงมักถูกปล้นกลางกลางแดดทั้งทางฝั่งไทย
หรือเข้าไปในพม่าก็ถูกปล้นเช่นกัน
แต่ตอนนี้มีการโอนเงินโดยตรงไปได้
ปัญหาแบบนี้จึงหมดไปในระดับหนึ่ง
อีกปัญหาอย่างหนึ่งที่ชาวบ้านไม่ชอบขายยางแผ่น
เพราะพ่อค้ามักจะท่องคาถาในใจสามคำ
คือ ฉ้อ(โกง) ขอ หัก
ฉ้อ คือ ตั้งแต่การชั่งน้ำหนักไม่ครบหรือขาดหายไป
ชาวบ้านบางคนชั่งน้ำหนักยางแผ่นมาจากบ้านแล้ว
แต่เวลาชั่งที่ร้านรับซื้อยางพาราน้ำหนักยางมักจะหายไป
ทำให้ยื้อกับคนขายดึงลูกตุ้มชั่งน้ำหนักยางแผ่นไปมา
จนคนขายต้องใช้วิธีจ่ายเงินดันหลัง คือให้ก่อน 200-300 บาท
ให้ไปซื้อข้าวของ สูบบุหรี่ดื่มน้ำรอก่อน
อย่ามายุ่งในตอนชั่งน้ำหนักยางแผ่น
ขอ คือ เวลาชั่งน้ำหนักเสร็จแล้ว
ยางแผ่นที่มาขาย 100 กิโลกรัมขอซัก 1 กิโลกรัม
หรือซักครึ่งกิโลกรัม หลาย ๆ คนก็ได้ฟรีมาจำนวนมากเช่นกัน
หัก คือ หัก % น้ำในแผ่นยางแผ่น
แม้ว่าจะตากยางแผ่นแห้งขนาดไหนแล้ว
เวลารมควันยางแผ่นจะมีอัตราน้ำที่หายไปในเตารมควัน
เฉลี่ยถึง 20% ทีเดียวโดยประมาณ
ยางแผ่นตอนเข้ารมควัน 100 กิโลกรัม
จะมีน้ำหนักหายไปเกือบ 2 กิโลกรัม
ดังนั้นคนตีน้ำ(น้ำในยางแผ่น) เก่ง ๆ จะค่าตัวสูงมาก
หรือ หักค่ายางแผ่นสกปรกอ้างว่าต้องตัดออกก่อนรมควัน
หรือ หาข้อตำหนิว่ายางพารามีใบไม้ เศษดินปน เป็นต้น
ส่วนที่หักได้คือ กำไรแฝงพ่อค้า
ส่วนชาวสวนบางคนสมัยก่อนเวลาขายขี้ยาง
จะต้องปั้นขี้ยางเป็นก้อนกลม ๆ ก่อนไปขาย
บางรายจะปนก้อนซีเมนต์ที่กระเทาะจากฝาบ้าน
หรือไปหาจากบ้านร้างใส่เข้าไปข้างใน
ทำให้ได้น้ำหนักก้อนขึ้ยางเพิ่มขึ้น
โรงงานยางจิ้นฮงสมัยก่อนเจอเรื่องนี้
เครื่องจักรดังโคร่ง ๆ พังไปเลยหนึ่งตัว
เลยดัดลำด้วยการโยนก้อนขี้ยางให้แตกกระจาย
หรือเอามีดที่ทำจากแหนบรถยนต์ผ่าดูกันเลย
ปัญหาว่าเอายางพาราไปราดถนนร่วมกับยางมะตอย
เป็นเรื่องที่พูดคุยมาหลายปีแล้ว
แต่การพัฒนาสูตรใช้ได้จริง
ใช้ทน ใช้นาน ใช้จนรำคาญ ต้องใช้เวลา
รวมทั้งเงินทุนในการรับซื้อยางไปผลิต
การขนส่งน้ำยาง/ยางแผ่นรมควันไปผลิต
กับปัญหาความนิ่งของยางพารา
ที่เข้ากระบวนการผลิต
เรื่องเหล่านี้ภาษาชาวบ้านมักจะพูดว่า
ทำกับปากง่ายเพ ลองทำจริงหืดขึ้นคอ
ทำเกษตรกับกระดาษ ทำกับปาก รวยเพ
ทำจริงได้เป็นแสน (แสนสาหัส)
ส่วนต้นยางพันธุ์ที่ให้น้ำยางมาก ๆ
เท่าที่ทราบจากการพูดคุยกับชาวบ้านตอนนี้
มีถ้ำพรรณนรา พัทลุง กับ บ้านฉาง นาทวี
แต่ข้อมูลนี้ยังไม่ยืนยันว่าจริงหรือไม่
เพราะพืชผลทุกอย่างขึ้นกับ ดิน น้ำ ลม ไฟ(แสงแดด)
เขียนขึ้นจากความทรงจำร่วมกัน
ก่อนที่จะปลิดปลิวหายไปเหมือนใบยางพาราที่ร่วงหล่
ชีวิตชาวบ้านคลองหวะ-วงในยางพารา
พอ ๆ กับยุคสมัยก่อนที่ราคาหุ้นต่ำมาก
ขนาดถูกกว่าลูกอม Halls 3 เม็ดบาท
หรือซื้อหุ้น 3 บริษัท(มหาชน)ราคาไม่ถึง 1 บาท
ยิ่งตอนนี้ราคายางพารา 3 โลร้อย
(3 กิโลกรัม 100 บาท)
บางวันราคาลงถึงกิโลกรัมละ 5 บาท
แต่เดิมราคายางวันหนึ่งลงอย่างมากไม่เกิน 0.25-0.50 บาท
จากการนั่งคุยกับปราขญ์ชาวบ้านคลองหวะ(ลุงลัภย์ หนูประดิษฐ์)
ได้สรุปบทเรียนอย่างไม่เป็นทางการ/เป็นวิชาการ
คือกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
พรรคคนใต้มีนโยบายหลักคือ
ให้โอนกิจกรรมของ สกย. สำนักงานส่งเสริมการยาง
ให้แต่ละตำบลมีโรงงานรมควันยางพาราชุมชน
ยางแผ่นแพงทำยางแผ่น น้ำยางแพงขายน้ำยาง
เรียกว่ารอจังหวะขายเมื่อราคายางสูงขึ้น
ทำให้ปริมาณยางพาราออกสู่ท้องตลาด
ไม่ประดังออกมาพร้อมกันจำนวนมาก
แต่ปัญหาที่พบตอนนี้คือ ชาวบ้านขายน้ำยางสด
ยางกรีดเสร็จรอขายน้ำยางประมาณ 8 โมงเช้าก็ได้รับเงินสดแล้ว
แต่ยางแผ่นก่อนรมควันต้องทำการรีดยาง ทำดอกยางแผ่น
ประมาณก่อนเที่ยงวันจึงจะเสร็จ
เก็บไว้ ตากแดด ผึ่งแดดในบ้าน/ชายคา
กว่าจะได้ขายต้องรออีกประมาณ 10 วันไม่ทันใจ
เผลอ ๆ ถูกลักขโมยอีก
ทำให้ตอนนี้ปริมาณน้ำยางสดออกมาสู่ตลาดมาก
หลักเศรษฐศาสตร์ชาวบ้านที่รู้และเข้าใจกันคือ
ของมากราคาถูก ของน้อยราคาแพง
การซื้อขายน้ำยางสดมีกลเม็ดเด็ดพรายชาวบ้าน
โดยการปลอมปนน้ำลงในน้ำยางสด
ตัวอย่างเช่น น้ำหนัก % ยางพาราทั่วไปที่ 35%
ใส่น้ำลงไปประมาณ 10 ลิตรก็จะได้เงินเพิ่มขึ้น
สมมุติว่ายางน้ำหนักรวม 50 ลิตร
แม้ว่าจะทำให้ % ยางพาราลดลงเหลือ 30%
คำนวณง่าย ๆ 30%*60=18.0 กิโลกรัม * 50.-บาท จะได้ 900.-บาท
แต่ถ้าไม่ปนน้ำยางได้ 35%*50=17.5 กิโลกรัม * 50.-บาท จะได้ 875.-บาท
จะเห็นว่ามีส่วนต่างเพิ่มขึ้นประมาณ 25.-บาท
ทำให้ชาวบ้านบางคนปลอมปนน้ำลงไป
แต่ผู้ขายมีวิธีการแก้กลับ
คือตัววัด % น้ำยางเมโทรแล็ค
ถ้าถูกความร้อนจะวัด % น้ำยางพาราเพิ่มขึ้น
แต่ถ้าถูกความเย็นจะวัด % น้ำยางพาราลดลง
จึงมักจะแช่ในตู้เย็นก่อนออกมาวัด % น้ำยางพารา
หรือใช้น้ำเย็นผสม/ล้างตัววัดเมโทรแล็ค
ทำให้ตอนวัด % น้ำยางลดลงไปอีก
ขณะเดียวกันชาวบ้านที่นกรู้บางคน
จะเอาน้ำร้อนใส่ผสมลงในถังน้ำยาง
คนรับซื้อยางที่เขึ้ยวกว่าจะจับถังดู
ถ้าถังน้ำยางสดยังอุ่น ๆ อยู่ก็บอกรอเดี๋ยวต๊ะ
ซื้อของคนอื่นก่อนเพราะเขารีบ
พอถังน้ำยางสดเย็นลงค่อยมารับซื้อ
เพราะวัดตอนนั้น % น้ำยางลดลงแล้ว
บางครั้งคนขายน้ำยางให้คนซื้อ
หรือลูกจ้างโรงงานรับซื้อน้ำยาง
จะแอบตักน้ำยางเจ้าที่มี % น้ำยางสูง
ใส่ลงในกระบอกวัด % น้ำยาง
ทำให้ได้ราคาน้ำยางสูงขึ้นเช่นกัน
รองลงมาแม้ว่าจะมีการทดลองทำเป็นยางแผ่นทดสอบ
มักใช้วิธีการแบบเดียวกันโดยการลอบใส่น้ำยางเจ้าอื่น
ที่มี % น้ำยางสูงให้แทน
เรื่องแบบนี้เรียกว่าเอากันตอนทีเผลอ
บางทีเป็นการสมคบคิดกัน 2 คน
เพราะลูกจ้างคือลูกจ้างไม่ใช่เถ้าแก่
พอ ๆ กับคนเลี้ยงช้างมักจะกินอ้อยช้างบ้าง
หรือสิบล้อบางคันแอบขายน้ำมัน
การผสมน้ำลงในน้ำยางพารา
จะทำได้กับต้นยางพาราที่มีอายุมากแล้ว
ส่วนต้นยางที่เพิ่งกรีดใหม่ ๆ ช่วง 6-7 ปีแรก
ยังวัยละอ่อนอยู่ % น้ำยางพารา
ยังไม่สามารถดีด % เกินกว่า 30 ได้
จะมี % น้ำยางประมาณ 25-26%
แล้วค่อย ๆ เขยิบเหมือนนักฟุตบอลเลื่อนชั้น
เลื่อนเกรดไปเตะดิวิชั่น/พรีเมียลีคที่สูงขึ้น
บางรายผสมน้ำลงในน้ำยางพารา
คนน้ำยางไม่ดีหรือกระบวนการผลิตแบบฉ้อ(โกง)ไม่ดี
จะเกิดฝ้ายางเป็นก้อน ๆ เล็ก ๆ
คนรับซื้อก็จะด่าว่า " เห้ ยังม่อกั๋น "
มีลูกปลาหมอในถังน้ำยาง(...ดัน)
ก็จะถูกหักราคารับซื้อไปตามระเบียบ
กติกาคนรับซื้อน้ำยางสด
มักจะกำหนดว่ารับซื้อเพียง 8 วัน
อีก 2 วันให้ต้นยางได้พักผ่อนบ้าง
จะทำให้ต้นยางไม่โทรมและมี % น้ำยางสูง
แต่เอาเข้าจริง 2 วันที่เหลือนั้น
ชาวสวนยางจะนำไปขายเจ้าอื่นก่อน
เช่น ขายประจำที่คลองหวะ 8 วัน
อีก 2 วันที่เหลือไปขายที่รัตภูมิ
แล้ววกกลับมาใหม่เป็นวัฏจักรวงจร
ปัญหายางพาราที่สั่งสมมานานคือ
ยางพาราในปัจจุบันสายเลือดชิดเกินไป
สมัยก่อนพันธุ์ยางพื้นเมือง
จะให้ผลผลิต 100 ต้น 1 กิโลกรัม
แต่ยางพันธุ์ให้ผลผลิต 100 ต้น 3 กิโลกรัม
แน่นอน Supply ยิ่งมากราคายิ่งถูก
สมัยก่อนกรีดยางพาราได้น้อย
แต่ยางพื้นเมือง % น้ำยางสูงกว่ามาก
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าพิจารณาคือ
ตอนนี้การติดตา/เสียบยอดยางพารา
ใช้เมล็ดพันธุ์ 600 แล้วติดตา/เสียบยอด 600 หรือ gt235
ทำให้มีผลแบบเป็ดแบบไก่คือสายเลือดชิดเกินไป
เพราะแต่ก่อนยังหาเมล็ดพันธุ์พื้นเมือง
เพาะเป็นต้นอ่อนก่อนติดตา/เสียบยอดได้
น่าจะมีผลกับหน้ายางและโรคระบาดต้นยาง
ปัญหาในช่วงที่ผ่านมาคือ ยางพาราราคาสูง
ทำให้ชาวบ้าน/คนกรีดยางบางคนโลภจัด
ทำการอัดปุ๋ย ฉีดฮอร์โมน ใส่ยา อัดแก้ส
เพื่อเร่งปริมาณน้ำยางพาราออกมาให้มากที่สุด
บางรายจะได้ 6-7 กิโลกรัม/ไร่
หรือขยันกรีดยางพาราทุกวัน
แม้ว่าต้นยางควรจะหยุดพักบ้าง
เพื่อไม่ให้หน้ายางพาราเสียหาย/ต้นยางโทรม
แต่ผลสุดท้ายแล้วต้นยางก็โทรมอยู่ดี
หรือหน้ายางพาราตายกรีดไม่ได้อีก
คนที่เสียหายหนักคือเจ้าของสวนยาง
ส่วนคนกรีดยางก็เหมือนคาวบอยพเนจร
ที่ไหนมีเงินรางวัลหรือล่าเงินรางวัลได้ก็ไป
ปล่อยให้เจ้าของสวนยางพารานั่งซังกะตายไป
แม้ว่าการปลูกยางพาราจะมีโบนัสก้อนใหญ่
คือ การขายไม้ยางให้กับโรงงานผลิตไม้ยางพารา
แต่ราคาก็ลงมากแล้วในช่วง 2-3 ปีนี้
ราคายางท่อนที่ไปแปรรูปได้ช่วงนี้ตกกิโลกรัมละ 1.80 บาท
ถ้าเป็นไม้ฟืนราคาจะต่ำกว่า 1.00 บาท
แต่การขายเป็นไม้แปรรูปได้นั้น
จะต้องมีการพิจารณาจากความสูง/อ้วนของต้นยางพารา
และไส้ในไม่ดำ คือ ถ้ามีการฉีดยา อัดแก้สเร่งน้ำยางพารา
จะทำให้แกนในมีรอยเส้นสีดำแปรรูปแล้วไม่สวย
เพราะไม้ยางพาราต่างประเทศเรียกว่า ไม้สักขาว
ถ้าอบน้ำยา/กระบวนการผลิตดี ๆ จะอยู่ได้ถึง 20 ปี
ก่อนที่น้ำยาจะหมดสภาพแล้วเป็นอาหารมอด/ปลวก
ในการรับซื้อไม้ยางพาราต้องดูประวัติศาสตร์อดีตด้วย
ถ้าเคยเป็นเขตฐานที่มั่นหรือเคยมีการปะทะ
กับโจรจีนมาลายาหรือพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
บางแห่งจะไม่รับซื้อเข้าโรงงานเลย
แต่จะรับซื้อแบบไม้ฟืนไปเลย
เพราะตอนเลื่อยเกิดเจอลูกกระสุนปืนฝังในต้นไม้
ปลิวใส่แรงพอ ๆ กับลูกปืนยิงใส่ไม่ตายก็เจ็บ
แต่ที่เจ็บยิ่งกว่าคือ ใบเลื่อยที่เสียหาย
ใบหนึ่งไม่ใช่ราคาถูก ๆ และการติดตั้งก็ไม่ใช่ง่ายด้วย
หลังจากตกลงรับซื้อไมัยางพารากันแล้ว
จะต้องมีการสำรวจ/นับต้นกัน
ไร่หนึ่งจะปลูกต้นยางพาราได้ 70 ต้น
จะนับจำนวนต้นก่อนและรวมจำนวนต้นคิดเป็นไร่
ราคาซื้อขายจะคิดกันเป็นไร่
ช่วงไม้ยางราคาดี ๆ เคยมีคนขายได้ไร่ละแสนกว่า
แต่ต้องติดกับถนนใหญ่และชักลากได้ง่าย
ราคาไม้ยางพาราจะขายได้แพงในช่วงตุลาคม-มกราคม
เพราะเป็นช่วงหน้าฝนของภาคใต้
ความต้องการไม้ยางพาราของโรงงานมาก
ส่วนหน้าร้อนการตัดชักลากง่ายราคาจึงถูกลง
แต่ตอนนี้ตกอยู่ที่ราคาประมาณไร่ละ 4-6 หมื่นบาท
เรื่องการซื้อขายไม้ยางพาราในสมัยก่อน
จะมีลูกเล่นคือ ซื้อขายราคาสูงแล้วค่อยมาหักค่าดันค่าไถ
สมัยก่อนน้ำมันถูกไร่ละ 5 พันบาทตอนนี้ประมาณ 2 หมื่นบาท
การซื้อขายไม้ยางพาราจึงต้องตกลงให้ชัดเจน
ว่าขายสุทธิ อย่ามาหักค่าดันค่าไถต้นยางพาราอีก
สมัยก่อนกิ่งเล็ก ๆ ต้นตอกับรากยางพาราไม่มีราคาเลย
ต้องดันกอง ๆ ไว้แล้วเผาทิ้งในช่วงฤดูแล้ง
ส่วนตอต้องราดยาฆ่าตอให้ตายซาก
แต่ตอนนี้มีราคาเพราะโรงงานรับซื้อนำไปเป็นเชื้อเพลิงได้
เรียกว่าขุด/ดึงขึ้นมาเท่าที่จะทำได้มากเท่าไรมีกำไรแฝงมากเท่านั้น
เป็นแรงจูงใจให้คนรับซื้อขยันเก็บ/ดัน/ขุดต้นยางพาราขึ้นมามากขึ้น
ถ้ามองในแง่บวก/โลกสวย
ถ้ามีการล้มยาง/ลดพื้นที่ปลูกยางพารามากขึ้น
จำนวนปริมาณน้ำยางที่จะออกสู่ท้องตลาดจะลดลง
ทำให้ราคายางพาราสูงขึ้นมาก
ข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการจากบริษัทผู้ผลิตยางพารารายใหญ่
ตอนนี้ในไทยมีจังหวัดที่ยังไม่มีการปลูกยางพาราเพียง 8 จังหวัดเท่านั้น
แสดงว่าอีกไม่นานปริมาณยางพาราจะออกสู่ท้องตลาดจำนวนมาก
คำถามว่าถ้าตอนนี้กลับไปทำยางแผ่นรมควันได้หรือไม่
คำตอบของลุงลัพธ์ คือ เครื่องจักรรีดยางขายช้าดเหม็ดแล้ว
ขายไปหมดแล้วไม่เหลืออีกเลย
ถ้าจะซื้อกลับมาทำใหม่ก็ต้องลงทุนใหม่
รองลงมาคือ หาคนงานทำยางแผ่นยากแล้ว
เพราะขายน้ำยางสดได้เงินเร็วกว่า
ปัญหานี้กระทบกับโรงงานรมควันยางพาราชุมชนในบางพื้นที่
เพราะชาวบ้านหันมาขายน้ำยางสดแทน
ทำให้ปริมาณยางแผ่นขาดหายไปมาก
จนหลายโรงงานกลายเป็นโรงงานร้าง
ทิ้งให้วัวควายแมงมุมค้างคาวหมาแมวอาศัยแทน
การรื้อฟื้นขึ้นมาทำใหม่ต้องแก้ไข
เรื่องแรงงานกับเรื่องเงินทุนที่รับซื้อยางแผ่น
แม้ว่าจะมีการปรึกษากันว่า
ให้นำเงินบางส่วนตั้งเป็นกองทุนหรือถือหุ้นก่อน
เช่นขายยางแผ่น 100 กิโลกรัมขอหัก 10 กิโลกรัม
ตั้งเป็นกองทุนหรือถือหุ้นเพื่อให้มีเงินหมุนเวียนรับซื้อ
แต่ชาวบ้านมักจะไม่เห็นด้วย
เพราะอยากได้เงินเร็วและกลัวเจอปัญหาอื่น ๆ
เพราะราคายางผันผวนมาก ขึ้นเร็ว ลงเร็ว
สมัยก่อนราคายางพารามี 4 ราคาในแต่ละวัน
เรียกว่าเข้าผิดจังหวะจะขาดทุนทันที
เข้าถูกจังหวะก็ร่ำรวยทันที ไม่ต่างกับตลาดหุ้น
ทำให้โรงงานรมควันยางพาราชุมชนเจ๊งมานักต่อนักแล้ว
ปัญหาที่รองลงมาคือ ตอนนี้คนกรีดยางพาราส่วนมากเป็นพม่า
เวลากรีดยางพาราเจ้าของต้องตามใจคนกรีดยางพารา
เพราะหาคนกรีดยางพาราจากอีสานยากแล้ว
รวมทั้งคนพม่าไม่ค่อยกล้าเข้ามาในเมือง
เพราะมักจะเจอการรีดไถ/หาเรื่องจับรีดเงิน
ส่วนมากจะอยู่แต่ในสวนยางพารา
จึงมีเวลากรีดยางมากขึ้นแล้วมีโอกาสเป็นแบบคาวบอย
คือ สวนไหนหน้ายางเสียหายก็จรไปที่อื่น
แต่คนดีก็มี คนชั่วก็มาก เรื่องแบบนี้พูดลำบาก
เรียกว่าโชควาสนาของเจ้าของสวนยางไม่เหมือนกัน
สมัยก่อนคนกรีดยางพม่า
มักจะนำเงินสดกลับเข้าพม่าทางระนอง
จึงมักถูกปล้นกลางกลางแดดทั้งทางฝั่งไทย
หรือเข้าไปในพม่าก็ถูกปล้นเช่นกัน
แต่ตอนนี้มีการโอนเงินโดยตรงไปได้
ปัญหาแบบนี้จึงหมดไปในระดับหนึ่ง
อีกปัญหาอย่างหนึ่งที่ชาวบ้านไม่ชอบขายยางแผ่น
เพราะพ่อค้ามักจะท่องคาถาในใจสามคำ
คือ ฉ้อ(โกง) ขอ หัก
ฉ้อ คือ ตั้งแต่การชั่งน้ำหนักไม่ครบหรือขาดหายไป
ชาวบ้านบางคนชั่งน้ำหนักยางแผ่นมาจากบ้านแล้ว
แต่เวลาชั่งที่ร้านรับซื้อยางพาราน้ำหนักยางมักจะหายไป
ทำให้ยื้อกับคนขายดึงลูกตุ้มชั่งน้ำหนักยางแผ่นไปมา
จนคนขายต้องใช้วิธีจ่ายเงินดันหลัง คือให้ก่อน 200-300 บาท
ให้ไปซื้อข้าวของ สูบบุหรี่ดื่มน้ำรอก่อน
อย่ามายุ่งในตอนชั่งน้ำหนักยางแผ่น
ขอ คือ เวลาชั่งน้ำหนักเสร็จแล้ว
ยางแผ่นที่มาขาย 100 กิโลกรัมขอซัก 1 กิโลกรัม
หรือซักครึ่งกิโลกรัม หลาย ๆ คนก็ได้ฟรีมาจำนวนมากเช่นกัน
หัก คือ หัก % น้ำในแผ่นยางแผ่น
แม้ว่าจะตากยางแผ่นแห้งขนาดไหนแล้ว
เวลารมควันยางแผ่นจะมีอัตราน้ำที่หายไปในเตารมควัน
เฉลี่ยถึง 20% ทีเดียวโดยประมาณ
ยางแผ่นตอนเข้ารมควัน 100 กิโลกรัม
จะมีน้ำหนักหายไปเกือบ 2 กิโลกรัม
ดังนั้นคนตีน้ำ(น้ำในยางแผ่น) เก่ง ๆ จะค่าตัวสูงมาก
หรือ หักค่ายางแผ่นสกปรกอ้างว่าต้องตัดออกก่อนรมควัน
หรือ หาข้อตำหนิว่ายางพารามีใบไม้ เศษดินปน เป็นต้น
ส่วนที่หักได้คือ กำไรแฝงพ่อค้า
ส่วนชาวสวนบางคนสมัยก่อนเวลาขายขี้ยาง
จะต้องปั้นขี้ยางเป็นก้อนกลม ๆ ก่อนไปขาย
บางรายจะปนก้อนซีเมนต์ที่กระเทาะจากฝาบ้าน
หรือไปหาจากบ้านร้างใส่เข้าไปข้างใน
ทำให้ได้น้ำหนักก้อนขึ้ยางเพิ่มขึ้น
โรงงานยางจิ้นฮงสมัยก่อนเจอเรื่องนี้
เครื่องจักรดังโคร่ง ๆ พังไปเลยหนึ่งตัว
เลยดัดลำด้วยการโยนก้อนขี้ยางให้แตกกระจาย
หรือเอามีดที่ทำจากแหนบรถยนต์ผ่าดูกันเลย
ปัญหาว่าเอายางพาราไปราดถนนร่วมกับยางมะตอย
เป็นเรื่องที่พูดคุยมาหลายปีแล้ว
แต่การพัฒนาสูตรใช้ได้จริง
ใช้ทน ใช้นาน ใช้จนรำคาญ ต้องใช้เวลา
รวมทั้งเงินทุนในการรับซื้อยางไปผลิต
การขนส่งน้ำยาง/ยางแผ่นรมควันไปผลิต
กับปัญหาความนิ่งของยางพารา
ที่เข้ากระบวนการผลิต
เรื่องเหล่านี้ภาษาชาวบ้านมักจะพูดว่า
ทำกับปากง่ายเพ ลองทำจริงหืดขึ้นคอ
ทำเกษตรกับกระดาษ ทำกับปาก รวยเพ
ทำจริงได้เป็นแสน (แสนสาหัส)
ส่วนต้นยางพันธุ์ที่ให้น้ำยางมาก ๆ
เท่าที่ทราบจากการพูดคุยกับชาวบ้านตอนนี้
มีถ้ำพรรณนรา พัทลุง กับ บ้านฉาง นาทวี
แต่ข้อมูลนี้ยังไม่ยืนยันว่าจริงหรือไม่
เพราะพืชผลทุกอย่างขึ้นกับ ดิน น้ำ ลม ไฟ(แสงแดด)
เขียนขึ้นจากความทรงจำร่วมกัน
ก่อนที่จะปลิดปลิวหายไปเหมือนใบยางพาราที่ร่วงหล่