แชร์ประสบการณ์ปั่นขึ้นเขาใหญ่จากฝั่งปากช่องครั้งแรก!

กระทู้สนทนา
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสปั่นจักรยานขึ้นเขาเป็นครั้งแรก ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง เลยอยากมาแบ่งปันประสบการณ์ให้ฟัง

ท้าวความนิดนึง บ้านผมอยู่ปากช่อง ซื้อจักรยานมาปั่นไปทำงานได้ปีกว่าแล้ว แต่ด้วยความที่มาทำงานที่กรุงเทพและไม่มีรถส่วนตัว จะเอาจักรยานขึ้นรถทัวร์ รถไฟ ก็ยังกล้าๆ กลัวๆ ก็เลยยังไม่เค เอาจักรยานมาปั่นที่ปากช่องเลย ทั้งที่บรรยากาศที่นี่เหมาะแก่การปั่นจักรยานมากๆๆ แต่ก็ตั้งใจมาตลอดว่าต้องหาทางเอาจักรยานกลับมาปั่นที่บ้านให้ได้สักวัน จนเมื่อประมาณเดือนที่แล้ว เพื่อนซื้อถุงใส่จักรยาน  vincita มา เลยได้โอกาสยืมมาทดลองใส่จักรยานขึ้นรถทัวร์กลับบ้าน

ตอนเอากลับมา ก็เอาไปปั่นทางราบผสมเนินเล็กๆ แถวบ้านก่อน ประทับใจมาก ถนนดี รถไม่เยอะ บรรยากาศดี อากาศดี แต่จากการที่เคยปั่นแต่ในเมืองกรุง เจออย่างมากก็แค่สะพาน พอมาเจอเนินซึมๆ ของต่างจังหวัดที่ถึงแม้จะไม่ได้ชันอะไรมากมาย แต่ก็ทำให้ถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียว การใช้เกียร์ รอบขา หัวใจ เหมือนต้องเริ่มเรียนรู้กันใหม่เลย

จนเมื่ออาทิตย์ที่แล้วตัดสินใจว่า กลับไปคราวนี้จะปั่นขึ้นเขาใหญ่ ส่วนตัว ประสบการณ์ปั่นขึ้นเขาแทบเป็นศูนย์ ที่ใกล้เคียงก็แค่เนินแถวบ้านที่ได้มาปั่นเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว แอบหวั่นเล็กน้อย แต่ไม่มาก เพราะรู้สึกมาตลอดว่า เขาใหญ่มันไม่ได้สูงมาก พวกที่โหดๆ ส่วนมากได้ยินแต่ ดอยสุเทพ ภูทับเบิก และ ดอยอินทนนท์ เลยรู้สึกว่าถ้าค่อยๆ ไป ไม่เร่ง ก็น่าจะผ่านได้ไม่ยาก เคยถามพี่ที่ทำงานที่เคยปั่นขึ้นเขาใหญ่ เขาก็บอกว่า ขึ้นจากฝั่งปากช่องจะชันกว่าฝั่งปราจีน แค่นั้น ก็ไม่ได้เตรียมตัวไรมาก แค่ตั้งใจจะคุมรอบขา และ หัวใจไม่ให้สูงมาก ก็พอ

พอถึงวันก็สองจิตสองใจว่าจะขับรถที่บ้านไปจอดที่หน้าด่านแล้วค่อยปั่นขึ้นหรือจะปั่นจากบ้านไปเลย ซึ่งก็ไกลอยู่ จนสุดท้ายก็ตัดสินใจว่าปั่นไปเลยแล้วกัน ถือซะว่าปั่นเก็บระยะทางไปด้วย

หลังจากที่โอ้เอ้ นอนอืด กว่าจะออกจากบ้านก็บ่ายโมง แถมลืมเอาหมวกมาจากกรุงเทพอีก เอาไงดี ไม่มีหมวก ปั่นลงเขามันจะอันตรายนะ หรือไว้อาทิตย์หน้าค่อยขึ้น คิดอยู่นานก่อนตัดสินใจว่าเป็นไงเป็นกัน ขาลงช้าๆ ก็คงพอได้

กว่าจะถึงหน้าด่านเข็มไมล์ก็ขึ้นไป สามสิบกว่าโลละ จะไหวมั้ยเนี่ย แต่เห็นป้ายบอกถึงอุทยาน 14 โล เออ..ไม่ไกลแฮะ น่าจะไหวๆ
ก่อนเข้าเจอเจ้าหน้าที่ทักว่า เคยมารึยัง 7 กิโลแรก มันชันนะ จะไหวเหรอ ไอ้เราก็ครับๆ แล้วก็ปั่นขึ้นไป

อืม... อากาศดี เย็นสบาย แถมทางก็ไม่ได้ชันเท่าไหร่ ค่อยๆ ไป เรื่อยๆ เจอลิงตามทางบ้าง ดีที่มันไม่ดุเหมือนมา ถ้าต้องปั่นหนีลิงตอนขึ้นเนินนี่คงไม่ไหว
ก็ปั่นขึ้นไปเรื่อยๆ ทางก็ชันอยู่ แต่หัวใจก็ยังอยู่ประมาณ ต้น-กลาง โซน 4 บอกตัวเอง ถ้าเป็นอย่างงี้เรื่อยๆ ขาไม่แตะพื้นแน่

และแล้วความจริงก็มาถึง... โค้งแท่งปูนแบริเออร์สีขาวเหลืองที่ กม. ที่ 7 กับความชันที่แค่เห็นก็แทบอยากลงเดิน เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ใจเย็นๆ ลองปั่นขึ้นดูก่อน ปรับเกียร์ จานหน้าเล็กสุด 34 จานหลังใหญ่สุด 28 ค่อยๆ กดบันไดทีละนิดๆ แต่มันหนักมากจนต้องขึ้นยืนโยก ทิ้งน้ำหนักตัวช่วยกด ซ้าย...ขวา... หัวใจแทบระเบิด กลั้นใจบอกตัวเอง ไปให้ถึงสุดเนินให้ได้ เหลือบมอง เลข heart rate พุ่งไปที่ 188! (max ของผมแล้ว) ฝืนขึ้นไปอีกนิดๆ จนถึงสุดเนิน... และแล้วขาผมก็แตะพื้นจนได้

คือ มันไม่ไหวแล้ว หมดทุกอย่าง ยังดีตระคิวไม่ขึ้น จากนั้นค่อยๆ ประคองจักรยานจอด และประคองตัวเองนั่งพิงแผงเหล็กกั้นขอบทาง หัวใจยังคงเต็นแรง หน้ามึด มือชา หายใจแรงหอบเหนื่อย ใจนึกถึงเรื่องคนเสียชีวิตจากหัวใจวายที่สนามเขีนวเมื่อวันก่อน พูดกับตัวเอง เฮ้ยกูจะตายมั้ยเนี่ย คือ มันเหนื่อยมาก มันหวิว มันจะเป็นลม ถ้าเป็นลมแล้วจะฟื้นมั้ย นี่เรากำลังจะจบชีวิตตรงนี้เหรอเนี่ย อาจฟังดูเวอร์ นะครับ แต่ตอนนั้นในหัวมันคิดแบบนั้นจริงๆ

คราวนี้ทิ้งตัวลงนั้งกับพื้นหญ้าเลย เพราะทรงตัวพิงไม่ค่อยจะไหว แกะเจลที่พกมากิน สักพักเริ่มดีขึ้น ยังหอบเหนื่อยอยู่ แต่หัวใจเต้นช้าลง เย้ เราไม่ตายแล้ว เริ่มมั่นใจ เพราะไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี้ ไม่มั่นใจเลยว่าจะอยู่หรือไป  

นั่งพักอยู่ตรงนั้นประมาณ 10 นาทีได้ เริ่มหายเหนื่อย โล่งอก ไม่ตายละ ถ่ายรูปเนินไว้เป็นที่ระลึกนิดนึง อยากรู้จริงๆ ว่ามันชันกี่เปอร์เซนต์ ใครรู้บอกที หลังจากนั้นก็จูงจักรยานจะไปต่อ แต่ดราม่ายังไม่จบครับ! ขึ้นคร่อมจักรยาน ขาขวาใส่คลีทเรียบร้อย ขึ้นนั้งอาน ขาซ้ายพยายามใส่คลีท แต่ด้วยความที่ทางมันยังชัน จักรยานก็ไหลลง แถมใส่คลีทขาซ้ายไม่เข้า โครม! ล้มครับ ล้มทางขวาเข้าไปในถนนเต็มเลนเลย ดีที่ไม่มีรถมา

หลังจากรีบลุกขึ้นมาได้ก็เลยจูงไปอีกนิดให้ทางมันราบหน่อยถึงจะใส่คลีทได้ ปั่นต่อไปอีกนิดก็เจอจุดชมวิวครับ ก็ลงไปถ่ายรูปนิดหน่อย แล้วก็ไปต่อ
เกือบดราม่าอีกรอบ! ช่วงหลังจากจุดชมวิว จะเป็นแอ่ง มองด้วยสายตาเห็นแล้วชันมาก เลยกะว่าต้องปั่นส่งแรงๆ หน่อย จะได้ขึ้นเนินต่อไปได้เลย แต่ปัญหาคือ มันไม่มีทางยาวๆ ให้ปั่นส่งเท่าไหร่ ก็คือต้องปั่นส่งตอนเริ่มไหลลง ก็เลยปรับเกียร์หนัก จานหน้าใหญ่ พยายามปั่นส่งลงไป แต่ปรากฏว่าแรงส่งไม่พอ มันไม่ถึงอีกยอดนึง คือมันเกือบจะถึง จริงๆ เริ่มรู้แล้วว่ามันคงไม่ถึง จังหวะขึ้นก็พยายามไล่เกียร์และเปลี่ยนมาเป็นจานหน้าเล็ก แต่เกียร์เจ้ากรรมดันติดๆ ขัดๆ กดบันไดมันลง ก็เลยหยุดกึ่กก่อนสุดเนิน ใจหายแว๊บ เพราะเนินค่อนข้างชัน ดีที่ปลดคลีทขาซ้ายลงไปยืนทัน ไม่งั้นได้ล้มกลิ้งอีกรอบแน่ๆ มาคราวหน้าคงไหลลงด้วยจานหน้าเล็กแล้วค่อยๆ ไต่ขึ้นดีกว่า

หลังจากนี้ก็ไม่ลำบากมากแล้วครับ ไปได้เรื่อยๆ มีเสียวนิดหน่อยตรงป้าย ทางงูเห่าข้าม 555 แต่บรรยากาศข้างบนดีมากจริงๆ สวย อากาศดี ชิวมาก ปั่นซักพักก็มาถึงที่ทำการ ใช้เวลาทั้งสิ้นจากหน้าด้าน 1 ชั่วโมง 20 นาทีโดยประมาณ พอไปถึงตาก็มองหาร้านขายน้ำอย่างเดียวเลย หลังจากนั้นก็ถ่ายรูปนิดหน่อย แล้วก็รีบลง เพราะกลัวจะมืดซะก่อน ขาลงก็ไม่มีไรมากครับ ช่วงโค้งเยอะก็พยายามให้ความเร็วไม่เกิน 40 กลัวเบรกไม่อยู่ ไม่ได้ใส่หมวกด้วย ส่วนทางตรงที่เป็นแอ่งก็ปล่อยแต่ไม่หมด กลัว speed wobble แต่ก็ได้ max speed มา 60 ถ้าใส่หมวกคงปล่อยมากกว่านี้ ขาลงใช้เวลา 30 นาที
จบทริป ได้ระยะมาทั้งหมด 90 โล กับประสบการณ์อีกเพียบ

บทเรียนสำคัญๆ ที่ได้จากการปั่นครั้งนี้
1. คราวหน้าถ้า heart rate ถึง 180 ผ่อนทันที ไม่อยากไปแตะ max อีกแล้ว มันหน้ากลัว
2. ถ้ายังใส่คลีทขาซ้ายไม่คล่อง อย่าเริ่มขึ้นปั่นตอนทางชัน
3. เซ็ทเกียร์ให้ดี ให้ลื่น เพราะการเปลี่ยเกียร์เป็นปัจจัยที่สำคัญมากในการปั่นขึ้นเขา
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  จักรยาน
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่