ระบบการเลือกตั้งแบบ เยอรมัน

นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในฐานะอนุกรรมาธิการเป็นผู้เสนอ เพราะวิธีเลือกตั้งแบบเยอรมัน จะทำให้ทุกคะแนนที่ลงนั้นมีค่า ไม่ถูกตัดทิ้ง  พรรคขนาดกลางและเล็กมี โอกาสได้ส.ส.มากขึ้นเพราะจะคิดจากคะแนนของระบบบัญชีรายชื่อเป็นหลัก เช่น ประเทศไทยมีส.ส. 500 คน พรรค ข. ได้คะแนนแบบบัญชีรายชื่อ ร้อยละ 10 ของทั้งหมด หรือคิดเป็นจำนวนส.ส.ที่ควรจะมี 50 คน แต่ชนะเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเพียง 30 เขต ผลคือ พรรค ข.จะมีส.ส. 50 คน มาจากแบบแบ่งเขต 30 คน และจะได้ส.ส.จากบัญชีรายชื่ออีก 20 คน รวมเป็น 50 คน โดยระบบนี้จะคำนึงถึงผู้ที่ลงคะแนนเสียงในภาพรวมเป็นหลักเพื่อมาคำนวณหาสัดส่วนส.ส.ที่ควรจะเป็น


ความแตกต่างของระบบที่ไทยใช้และระบบที่เยอรมันใช้

            ระบบการเลือกตั้งแบบเยอรมันจะแตกต่างจากระบบการเลือกตั้งของไทย ต่างจากในรัฐธรรมนูญ ปี ′40 และ ′50 ที่เป็นระบบแบบแถมให้ โดยพรรคชนะเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเท่าไรก็ให้ไปรวมกับสัดส่วนที่ได้จากบัญชีรายชื่อทั้งหมด แต่ระบบนี้จะคิดจำนวนผู้แทนฯ จากระบบบัญชีรายชื่อเป็นหลัก ที่สำคัญจะช่วยแก้ปัญหาการซื้อสิทธิ์ขายเสียงจากการเลือกตั้งได้

ข้อมูลการวัจัยเรื่อง  การซื้อสิทธิ์ขายเสียง  มีผลต่อผลการเลือกตั้งของประเทศไทยหรือไม่

ผลวิจัยซื้อเสียง'มีผลเลือกส.ส.น้อย
"ปริญญา" เผยผลวิจัยซื้อเสียง มีผลต่อการตัดสินใจเลือกส.ส.น้อยลง เหตุ "ปชช." เลือกพรรคมากขึ้น ระบุ แจกใบเหลือง-ยุบพรรค-ตัดสิทธิการเมือง 5 ปี ไร้ผล แนะ “แก้กม.” ยกเลิกการเลือกตั้งเป็นหน้าที่ - การขายเสียงเป็นความผิด-การยุบพรรค โดยให้ตัดสิทธิเป็นรายบุคคล เพิ่มโทษให้รุนแรงขึ้น
ที่รร.เซ็นทรา คอนเวชั่นเซ็นเตอร์ วันที่ 17 ส.ค. ในการสัมมนาทางวิชาการของสถาบันพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้ง สำนักงานกกต. โดยนายปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดี ฝ่ายนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้นำเสนอผลการวิจัยเรื่อง “การป้องกันและแก้ไขปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียงในการเลือกตั้ง” โดยการวิจัยดังกล่าวได้มีการสุ่มตัวอย่างผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศ จำนวน941 คน ในการเลือกตั้งส.ส.เมื่อวันที่ 3 ก.ค.54 ที่ผ่านมา พบว่า ในส่วนการเลือกตั้งระดับชาติ ปัจจุบันการใช้เงินเพื่อจูงใจ ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเลือกตนเองในการเลือกตั้งระดับชาติ มีผลต่อการตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้งน้อยลงจากเดิม และไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุดในการแพ้หรือชนะการเลือกตั้งอีกต่อไป
นายปริญญา กล่าวว่า โดยข้อมูลจากการสำรวจพบว่า ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ยอมรับว่ารับเงินจากผู้สมัคร แต่ไม่เลือกผู้สมัครรายนั้น ถึงร้อยละ 46.79 และที่ตอบว่า แม้ไม่ได้รับเงินก็จะเลือก มีร้อยละ 48.62 ส่วนผู้ที่ตอบว่าเลือกเพราะได้รับเงินมีเพียง 4.59 ข้อมูลดังกล่าว สอดคล้องกับผลการสัมมนากลุ่มย่อยของผู้นำชุมชนในพื้นที่ต่างๆ ที่พบว่า ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ไม่ได้เลือกผู้สมัครเพราะเงิน

อ่านต่อได้ที่ลิ้งด้านล่าง

https://www.facebook.com/boythakae/posts/468315289871967
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่