นำมาจาก
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/lp_cha/lp-cha_47.htm
อ่านแล้วชอบมากเลยขออนุญาตแชร์ต่อครับ
ใช้ภาษาอะไร?
หลวงพ่อชา สุภัทโท แห่ง วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี ท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่สำคัญมากรูปหนึ่ง ที่สามารถเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้ชาวต่างชาติเกิดความเลื่อมใสศรัทธาออกบวชปฏิบัติกับท่านมากมายด้วยปฏิภาณไหวพริบที่เฉียบแหลม
ในช่วงแรกนั้น สำหรับชาวบ้านที่มาเห็นพระฝรั่งในวัดหนองป่าพง เขาเหล่านั้นต่างรู้สึกทึ่งที่เห็นว่าพระฝรั่งชาวต่างชาติปฏิบัติกรรมฐานเคร่งครัดเคียงข้างกับพระชาวไทย จึงเกิดความสงสัยว่าหลวงพ่อชาท่านสอนพระฝรั่งได้อย่างไร? เพราะตัวหลวงพ่อชาเองท่านเป็นพระป่าที่ไม่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษมาก่อน ท่านรู้จักแต่ภาษาบาลีภาษาพระพุทธเจ้าเท่านั้น ส่วนทางฝ่ายลูกศิษย์ฝรั่งเองก็ไม่คุ้นเคยกับภาษาไทย บางคนอดสงสัยไม่ได้จนถึงกับถามเอาความจากท่าน ท่านก็ย้อนถามโยมท่านนั้นว่า
“ ที่บ้านมีสัตว์เลี้ยงหรือเปล่า? อย่างหมา อย่างแมว หรือวัวควายอย่างนี้ เวลาฝึกหัดมัน โยมต้องรู้ภาษาของมันด้วยไหม?”
เพ่งโทษผู้อื่น
พระขี้บ่นรูปหนึ่ง ชอบติเตียนเพื่อนสหธรรมิกบ้าง ครูบาอาจารย์บ้าง สถานที่บ้าง ว่าไม่สัปปายะ ไม่เอื้อเฟื้อต่อการปฏิบัติ คอยแต่จะนึกตำหนินั่น ตำหนินี่ จิตใจหมักหมมไว้แต่เรื่องอกุศลมูลจนกลิ่นตลบ คราวนี้หลวงพ่อชา ท่านกระทุ้งเอาอย่างแรงแต่เป็นเชิงตลกว่า
“คุณนี่แปลก.. ชอบเอาขี้พกใส่ย่าม แล้วพกติดตัวไปไหนต่อไหนด้วย แล้วมาบ่นว่าเหม็นขี้ ที่โน่นเหม็นขี้ ที่นี่เหม็นขี้ ที่ไหน ๆ ก็เหม็นขี้ ดีแต่บ่น ทำไมไม่ลองสำรวจย่ามของตัวเองดูบ้าง”
อาจารย์ที่แท้จริง
ครั้งหนึ่งท่านพระอาจารย์ชาคโร (พระชาวต่างชาติ) ถูกหลวงพ่อชาส่งให้ไปอยู่ประจำวัดสาขาแห่งหนึ่ง เมื่อมีโอกาสหลวงพ่อท่านได้เดินทางไปเยี่ยม หลวงพ่อถามว่า
“ท่านชาคโรเป็นอย่างไร? ทำไมผอมอย่างนี้ล่ะ?” พระอาจารย์ชาคโรกราบเรียนโดยไม่อ้อมค้อมว่า
“ เป็นทุกข์ครับหลวงพ่อ ไม่สบายเลย” หลวงพ่อซักไซ้ต่อว่า
“ เป็นทุกข์เรื่องอะไร? ทำไมจึงไม่สบาย?” พระอาจารย์ชาคโรเผยความในใจว่า
“ เป็นทุกข์เพราะอยู่ห่างไกลครูบาอาจารย์ครับ” หลวงพ่อท่านจึงท้วงขึ้นในทันทีว่า
“ มีอาจารย์อยู่ด้วยตั้ง ๖ องค์ ยังไม่พอรึ? มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่แหละ เป็นอาจารย์ของเรา ฟังให้ดี ดูให้ดี เขาจะสอนเราให้เกิดปัญญา”
ปล่อยวางผิดทาง
ลูกศิษย์หลวงพ่อท่านหนึ่งกำลังสนใจฝึกที่จะไม่ยึดมั่นถือมั่นตามแนวทางของ "ท่านเว่ยหล่าง” (สังฆปรินายกองค์ที่ ๖ ของจีน) อยู่ ท่านพักอาศัยอยู่ในกุฏิหลังคามุงแฝกหลังหนึ่งภายในวัดหนองป่าพง ในฤดูฝนนั้นฝนตกชุก และวันหนึ่งพายุก็พัดเอาหลังคาโหว่ไปครึ่งหนึ่ง ท่านก็ไม่ขวนขวายที่จะมุงมันใหม่ จึงปล่อยให้ฝนรั่วอยู่อย่างนั้น หลายวันผ่านไปหลวงพ่อท่านได้ถามถึงกุฏิของท่านเข้า ลูกศิษย์ท่านนั้นก็ตอบว่า
“ ผมกำลังฝึกการไม่ยึดมั่นถือมั่นอยู่ ขอรับ”
หลวงพ่อท่านก็ตอบสวนกลับไปว่า
“นั้นเป็นการไม่ยึดมั่นถือมั่นโดยไม่ใช้หัวสมอง มันก็เกือบจะเหมือนกับความวางเฉยของควาย ถ้าท่านมีความเป็นอยู่ดีและเป็นอยู่ง่าย ๆ ถ้าท่านอดทนและไม่เห็นแก่ตัวนั้นแหละถึงจะเข้าใจความไม่ยึดมั่นถือมั่นของท่านเว่ยหล่างได้ ”
อุบายคลายคิดถึง
ครั้งหนึ่งพระหนุ่มชาวต่างชาติซึ่งบวชอยู่ที่วัดหนองป่าพง เกิดคิดถึงคู่รักเก่าของตนขึ้นมา จิตใจฟุ้งซ่านวุ่นวายเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติของตนมาก จึงได้มากราบเรียนปรึกษาหลวงพ่อเพื่อขออุบายในการคลายความฟุ้งซ่านของตน หลวงพ่อท่านก็แนะนำให้ว่า
“ ขอให้เขียนจดหมายถึงคู่รัก และขอให้เธอเอาขี้ใส่ขวดเล็ก ๆ ส่งมาให้ด้วย แล้วเก็บไว้ในย่ามตลอดเวลา คิดถึงเมื่อไหร่ก็ให้หยิบขวดขี้ของเธอออกมาสูดดม.. เฮ้อ!”
พระอรหันต์
สำหรับตัวหลวงพ่อชาเอง ท่านไม่ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เลยเหมือนไม่สนใจ ท่านไม่กล่าวถึงแต่ก็ไม่ปฏิเสธ ถ้ามีคนไปถามเรื่องอย่างนี้ หลวงพ่อท่านก็จะพูดตัดบทหรือพูดชักนำออกไปในเรื่องของการประพฤติปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์เสีย อย่างเช่นครั้งหนึ่งมีคนไปถามท่านว่า
“ เขาลือว่าหลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ เป็นแล้วเหาะได้หรือเปล่า? ” หลวงพ่อท่านก็ตอบว่า
“ เรื่องเหาะเรื่องบินนี่มันไม่สำคัญหรอก แมงกุดจี่ (แมลงชนิดหนึ่งอยู่กับขี้ควาย) มันก็บินได้ มันเป็นพระอรหันต์รึเปล่า? ”
และอีกครั้งหนึ่ง เมื่อครูคนหนึ่งถามท่านเกี่ยวกับการเหาะเหินเดินอากาศของพระอรหันต์ในครั้งพุทธกาล ซึ่งเคยอ่านพบว่าเป็นความจริงหรือไม่ว่า
“ เคยอ่านพบเรื่องพระอรหันต์สมัยก่อน ๆ เขาว่าเหาะได้จริงไหมครับ?”หลวงพ่อท่านก็ตอบว่า
“ถามไกลตัวเกินไปแล้วล่ะครู มาพูดถึงตอสั้น ๆ ที่จะตำเท้าเราจะไม่ดีกว่ารึ? ”
จับเองก็ปล่อยเอง
มีเด็กหิ้วกรงขังนกมาชวนให้หลวงพ่อซื้อเพื่อปล่อยเป็นการทำบุญในสถานที่แห่งหนึ่ง ท่านถามว่า
“นกอะไร? เอามาจากไหน?” เด็กที่ขายนกก็ตอบว่า
“ผมจับมาเอง หลวงพ่อปล่อยไหม จะได้ทำบุญ” หลวงพ่อชาก็ตอบว่า
“เอ๊า.. จับเองก็ปล่อยเองซิ มาให้หลวงพ่อปล่อยทำไม?”
ไม่อายหรือ?
หลวงพ่อท่านมีความรักและเคารพต่อข้อวัตรปฏิบัติของท่านมาก จนกระทั่งเคยบอกกับลูกศิษย์ว่า
“ ถ้าจะให้ผมละเมิดพระวินัย ผมยอมตายก่อนไม่เสียดายชีวิตเท่าเสียดายพระวินัย”
ครั้งหนึ่งหลวงพ่อได้รับนิมนต์ไปฉันในพระบรมมหาราชวัง ขณะลงจากรถได้พบกับเจ้าคุณรูปหนึ่งพอดี ท่านเจ้าคุณรูปนั้นมองเห็นว่าหลวงพ่อสะพายบาตรอยู่ ก็ถามหลวงพ่ออย่างเยาะหยันว่า
“คุณชา ไม่อายในหลวงหรือ สะพายบาตรเข้าวัง?” หลวงพ่อท่านก็ตอบท่านเจ้าคุณทันทีเลยว่า
“ ท่านเจ้าคุณไม่อายพระพุทธองค์หรือครับ จึงไม่สะพายบาตรเข้าวัง”
นั่งอย่างเดียวก็ไม่ใช่
วันหนึ่งหลวงพ่อพาพระเณรขนดินขึ้นไปใส่สนามหญ้ารอบโบสถ์ พอดีขณะที่ท่านกำลังยืนสั่งงานอยู่นั้น มีหนุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งเข้ามาเที่ยวชมวัด เดินมาพบท่านเข้า พวกเขาเข้ามายืนใกล้ ๆ ท่านทำท่าทางแบบฝรั่งวัยรุ่นกิริยาไม่สู้จะอ่อนน้อมเท่าไรนัก หนึ่งในคณะของเขาถามท่านหลายอย่างและท้ายสุดเขาจึงถามท่านทำนองรุกไล่ว่า
“ทำไม? ท่านไม่พาพระเณรนั่งสมาธิ ชอบพาทำงานอยู่เรื่อย” หลวงพ่อตอบออกไปทันควันว่า
“ นั่งมากมันขี้ไม่ออกว่ะ”
พวกนั้นรู้สึกงุนงงต่อคำตอบของท่าน ทันทีท่านก็ยกไม้เท้าขึ้นชี้ไปยังคนถามปัญหาและสั่งสอนว่า
“ ที่ถูกนั้นนั่งอย่างเดียวก็ไม่ใช่ เดินอย่างเดียวก็ไม่ใช่ ต้องนั่งบ้าง ทำประโยชน์บ้าง และทำความรู้ความเห็นให้ถูกต้องไปทุกเวลานาที อย่างนี้จึงจะถูก กลับไปเรียนใหม่นี่ยังอ่อนอยู่มาก เรื่องการปฏิบัตินี้ถ้าไม่รู้จริงอย่าพูด มันจะขายขี้หน้าตัวเอง”
รักษ์ป่า
ในช่วงแรกที่หลวงพ่อและคณะสงฆ์มาอยู่ที่วัดหนองป่าพง ไข้มาเลเรียระบาดหนักอยู่ถึง ๓ ปีเต็ม ทั้งพระเณรและแม่ชีเป็นไข้กันงอมแงมเริ่มจากหลวงพ่อก่อนเลย ท่านเป็นหนักมากจนเนื้อตัวเขียวคล้ำ นึกว่าถึงที่สุดแล้วแต่ในที่สุดก็หาย พอหลวงพ่อหายลูกวัดก็เป็นกันใหญ่ ทั้งพระทั้งชีป่วยหนักไปตาม ๆ กัน แต่โชคดีที่ไม่มีใครเสียชีวิตกันเลย
การรักษาในสมัยนั้นก็ไม่มีหยูกยาอะไรกินนอกจากสมุนไพร ครั้งหนึ่งมีคณะแพทย์เขามากราบเรียนหลวงพ่อว่า
“ ป่านี้ทึบเกินไป ให้ตัดรอนกิ่งไม้ออกบ้างให้โปร่ง ๆ ลมจะได้เข้าสะดวก” หลวงพ่อตอบว่า
“ตายซะคน เอาไว้แต่ป่าก็พอ”
พวกหมอก็พยายามอธิบายพูดโน้มน้าวหว่านล้อมด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานาเกี่ยวกับเรื่องป่า แต่หลวงพ่อก็ยังยืนยันเจตนารมณ์ดั้งเดิม ท่านตอบอย่างเด็ดเดี่ยวว่า
“ พระหรือชีก็ตาม อาตมาเองก็ตาม ตายแล้วก็แล้วไป เอาป่าไว้เสียดีกว่า”
พวกหมอก็เลยพูดไม่ออก แล้วก็ลากลับไป
รถประจำตำแหน่ง
ครั้งหนึ่งโยมที่อุบลฯ เอารถมาถวายหลวงพ่อ เขาบอกว่าถ้าหลวงพ่อไม่รับผมไม่ยอมหรอกครับ เขาเอารถมาจอดไว้หลังกุฏิท่านใต้ต้นประดู่ (ด้านประตู) แล้วเอากุญแจใส่ย่ามท่านไว้ แล้วก็มานั่งหัวเราะภาคภูมิใจในผลบุญของตน แต่หลวงพ่อไม่เคยไปดูรถคันนั้นเลย พอออกจากกุฏิท่านจะเดินไปทางอื่น จะไปในเมืองท่านก็ขึ้นรถคนอื่น ไม่ได้ไปดูเลยว่ามันเป็นอย่างไร? มีสีอะไร? ผ่านไป ๗ วันหลวงพ่อท่านก็เรียกโยมคนหนึ่งมาแล้วบอกว่า
“ ไปบอกเขาเอารถกลับคืนไปนะ เอามาถวายข้อย ๆ ก็รับไปแล้ว ได้บุญแล้ว เดี๋ยวนี้ข้อยจะส่งคืน มันไม่ใช่ของพระ”
ปวดเหมือนกัน
มีโยมผู้หญิงมากราบหลวงพ่อและร้องขอกับท่านว่า
“ หลวงพ่อเป่าขาให้ดิฉันหน่อยซิ แหม! ดิฉันปวดขาเหลือเกิน” หลวงพ่อท่านก็บอกว่า
“ โยมมาเป่าให้อาตมาบ้างซิ อาตมาก็ปวดเหมือนกัน”
จริงแต่ไม่ถูก
นักปฏิบัติที่ถือเอาการปฏิบัติที่จิตภาวนาอย่างขะมักเขม้น แต่ละเลยกิริยาภายนอก หลวงพ่อท่านถือว่าเป็นการสร้างประโยชน์ตนแต่ฝ่ายเดียว ไม่ใส่ใจในประโยชน์ผู้อื่นจะเรียกว่าเป็นนักปฏิบัติธรรมที่ครบถ้วนสมบูรณ์ยังไม่ได้ ส่วนการประพฤติปฏิบัติโดยเอื้อเฟื้อต่อพระวินัยนั้น ถือเป็นการประกาศศาสนาไปในตัวเพราะทำให้ผู้ที่มาพบเห็นที่ยังไม่เคยเลื่อมใสให้เลื่อมใส ที่เลื่อมใสแล้วเกิดความเลื่อมใสยิ่ง ๆ ขึ้นไป ซึ่งข้อนี้ตรงกับวัตถุประสงค์อันหนึ่งที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติพระวินัยขึ้นคู่เคียงกับพระธรรม บางสำนักสอนว่าไม่ต้องไปจุกจิกจู้จี้เรื่องสิกขาบทต่าง ๆ มากเกินไป ให้มีสติตัวเดียวก็พอแล้ว ครั้งหนึ่งมีพระถามหลวงพ่อว่าท่านเห็นอย่างไร? ต่อทัศนะนี้หลวงพ่อท่านก็ตอบว่า
“ จริงแต่ไม่ถูก ถูกแต่ไม่จริง”
วางมันซิ
พระฝรั่งลูกศิษย์รูปหนึ่ง มีปัญหาในการเลือกอารมณ์กรรมฐานที่ถูกจริตของตัวเอง เพราะได้เจริญพุทโธกับอานาปานสติมาเป็นเวลานานแล้ว จิตก็ไม่เคยสงบ ระลึกความตายก็ไม่สงบ ระลึกขันธ์ห้าก็ไม่สงบ เลยหมดปัญญา เมื่อมากราบเรียนถามหลวงพ่อท่านก็ตอบง่าย ๆ ว่า
“วางมันซิ หมดปัญญาก็วางมัน”
ใครรู้ ?
คนที่นับถือพระเจ้าท่านหนึ่ง ไม่ยอมรับคำสอนเรื่อง "อนัตตา" ของศาสนาพุทธ เหตุผลของเขาก็คือว่า
“จะเอาอะไรมารู้อนัตตาเล่า ? ถ้าไม่ใช่อัตตา”
ซึ่งหมายความว่าสิ่งที่เป็นอนัตตาหรือสิ่งที่ไม่มีตัวตน สิ่งนั้นเราจะรู้และเข้าใจได้อย่างไร? ถ้าไม่มีตัวตนผู้ที่มารู้มาเข้าใจ วันหนึ่งมีชาวคริสต์คนหนึ่งมาถามหลวงพ่อว่า
“ใครรู้อนัตตา ?”
หลวงพ่อท่านก็ถามกลับทันทีว่า
“ใครรู้อัตตา ?”
เมาความสุข
ครั้งหนึ่งระหว่างที่พำนักอยู่ที่วัดหนองป่าพง พระอาจารย์ปสันโน (พระฝรั่ง) มีโอกาสได้ตามหลวงพ่อไปบิณฑบาตที่บ้านกลาง ขากลับหลวงพ่อเดินช้า ๆ ขณะเดินผ่านต้นไม้ กิ้งก่าคู่หนึ่งซึ่งกำลัง "ปฏิบัติกามกิจ” อยู่ข้างบนก็พลาดท่า หล่นตุ๊บลงมาต่อหน้าทั้งที่ตัวยังติดกัน หลวงพ่อเห็นเข้าก็หัวเราะชี้ให้ลูกศิษย์ดู พร้อมกับทำมือทำไม้ประกอบคำอธิบายแก่ท่านอาจารย์ปสันโน ซึ่งตอนนั้นยังไม่ค่อยเข้าใจภาษาไทยมากนักว่า
“แน่ะ! เห็นไหม มันเมาความสุขอยู่ข้างบน เป็นเหตุให้ประมาท ตกลงมาก็เจ็บอย่างนี้แหละ”
ธรรมะสบายๆ ของหลวงปู่ชา
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/lp_cha/lp-cha_47.htm
อ่านแล้วชอบมากเลยขออนุญาตแชร์ต่อครับ
ใช้ภาษาอะไร?
หลวงพ่อชา สุภัทโท แห่ง วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี ท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่สำคัญมากรูปหนึ่ง ที่สามารถเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้ชาวต่างชาติเกิดความเลื่อมใสศรัทธาออกบวชปฏิบัติกับท่านมากมายด้วยปฏิภาณไหวพริบที่เฉียบแหลม
ในช่วงแรกนั้น สำหรับชาวบ้านที่มาเห็นพระฝรั่งในวัดหนองป่าพง เขาเหล่านั้นต่างรู้สึกทึ่งที่เห็นว่าพระฝรั่งชาวต่างชาติปฏิบัติกรรมฐานเคร่งครัดเคียงข้างกับพระชาวไทย จึงเกิดความสงสัยว่าหลวงพ่อชาท่านสอนพระฝรั่งได้อย่างไร? เพราะตัวหลวงพ่อชาเองท่านเป็นพระป่าที่ไม่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษมาก่อน ท่านรู้จักแต่ภาษาบาลีภาษาพระพุทธเจ้าเท่านั้น ส่วนทางฝ่ายลูกศิษย์ฝรั่งเองก็ไม่คุ้นเคยกับภาษาไทย บางคนอดสงสัยไม่ได้จนถึงกับถามเอาความจากท่าน ท่านก็ย้อนถามโยมท่านนั้นว่า
“ ที่บ้านมีสัตว์เลี้ยงหรือเปล่า? อย่างหมา อย่างแมว หรือวัวควายอย่างนี้ เวลาฝึกหัดมัน โยมต้องรู้ภาษาของมันด้วยไหม?”
เพ่งโทษผู้อื่น
พระขี้บ่นรูปหนึ่ง ชอบติเตียนเพื่อนสหธรรมิกบ้าง ครูบาอาจารย์บ้าง สถานที่บ้าง ว่าไม่สัปปายะ ไม่เอื้อเฟื้อต่อการปฏิบัติ คอยแต่จะนึกตำหนินั่น ตำหนินี่ จิตใจหมักหมมไว้แต่เรื่องอกุศลมูลจนกลิ่นตลบ คราวนี้หลวงพ่อชา ท่านกระทุ้งเอาอย่างแรงแต่เป็นเชิงตลกว่า
“คุณนี่แปลก.. ชอบเอาขี้พกใส่ย่าม แล้วพกติดตัวไปไหนต่อไหนด้วย แล้วมาบ่นว่าเหม็นขี้ ที่โน่นเหม็นขี้ ที่นี่เหม็นขี้ ที่ไหน ๆ ก็เหม็นขี้ ดีแต่บ่น ทำไมไม่ลองสำรวจย่ามของตัวเองดูบ้าง”
อาจารย์ที่แท้จริง
ครั้งหนึ่งท่านพระอาจารย์ชาคโร (พระชาวต่างชาติ) ถูกหลวงพ่อชาส่งให้ไปอยู่ประจำวัดสาขาแห่งหนึ่ง เมื่อมีโอกาสหลวงพ่อท่านได้เดินทางไปเยี่ยม หลวงพ่อถามว่า
“ท่านชาคโรเป็นอย่างไร? ทำไมผอมอย่างนี้ล่ะ?” พระอาจารย์ชาคโรกราบเรียนโดยไม่อ้อมค้อมว่า
“ เป็นทุกข์ครับหลวงพ่อ ไม่สบายเลย” หลวงพ่อซักไซ้ต่อว่า
“ เป็นทุกข์เรื่องอะไร? ทำไมจึงไม่สบาย?” พระอาจารย์ชาคโรเผยความในใจว่า
“ เป็นทุกข์เพราะอยู่ห่างไกลครูบาอาจารย์ครับ” หลวงพ่อท่านจึงท้วงขึ้นในทันทีว่า
“ มีอาจารย์อยู่ด้วยตั้ง ๖ องค์ ยังไม่พอรึ? มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่แหละ เป็นอาจารย์ของเรา ฟังให้ดี ดูให้ดี เขาจะสอนเราให้เกิดปัญญา”
ปล่อยวางผิดทาง
ลูกศิษย์หลวงพ่อท่านหนึ่งกำลังสนใจฝึกที่จะไม่ยึดมั่นถือมั่นตามแนวทางของ "ท่านเว่ยหล่าง” (สังฆปรินายกองค์ที่ ๖ ของจีน) อยู่ ท่านพักอาศัยอยู่ในกุฏิหลังคามุงแฝกหลังหนึ่งภายในวัดหนองป่าพง ในฤดูฝนนั้นฝนตกชุก และวันหนึ่งพายุก็พัดเอาหลังคาโหว่ไปครึ่งหนึ่ง ท่านก็ไม่ขวนขวายที่จะมุงมันใหม่ จึงปล่อยให้ฝนรั่วอยู่อย่างนั้น หลายวันผ่านไปหลวงพ่อท่านได้ถามถึงกุฏิของท่านเข้า ลูกศิษย์ท่านนั้นก็ตอบว่า
“ ผมกำลังฝึกการไม่ยึดมั่นถือมั่นอยู่ ขอรับ”
หลวงพ่อท่านก็ตอบสวนกลับไปว่า
“นั้นเป็นการไม่ยึดมั่นถือมั่นโดยไม่ใช้หัวสมอง มันก็เกือบจะเหมือนกับความวางเฉยของควาย ถ้าท่านมีความเป็นอยู่ดีและเป็นอยู่ง่าย ๆ ถ้าท่านอดทนและไม่เห็นแก่ตัวนั้นแหละถึงจะเข้าใจความไม่ยึดมั่นถือมั่นของท่านเว่ยหล่างได้ ”
อุบายคลายคิดถึง
ครั้งหนึ่งพระหนุ่มชาวต่างชาติซึ่งบวชอยู่ที่วัดหนองป่าพง เกิดคิดถึงคู่รักเก่าของตนขึ้นมา จิตใจฟุ้งซ่านวุ่นวายเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติของตนมาก จึงได้มากราบเรียนปรึกษาหลวงพ่อเพื่อขออุบายในการคลายความฟุ้งซ่านของตน หลวงพ่อท่านก็แนะนำให้ว่า
“ ขอให้เขียนจดหมายถึงคู่รัก และขอให้เธอเอาขี้ใส่ขวดเล็ก ๆ ส่งมาให้ด้วย แล้วเก็บไว้ในย่ามตลอดเวลา คิดถึงเมื่อไหร่ก็ให้หยิบขวดขี้ของเธอออกมาสูดดม.. เฮ้อ!”
พระอรหันต์
สำหรับตัวหลวงพ่อชาเอง ท่านไม่ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เลยเหมือนไม่สนใจ ท่านไม่กล่าวถึงแต่ก็ไม่ปฏิเสธ ถ้ามีคนไปถามเรื่องอย่างนี้ หลวงพ่อท่านก็จะพูดตัดบทหรือพูดชักนำออกไปในเรื่องของการประพฤติปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์เสีย อย่างเช่นครั้งหนึ่งมีคนไปถามท่านว่า
“ เขาลือว่าหลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ เป็นแล้วเหาะได้หรือเปล่า? ” หลวงพ่อท่านก็ตอบว่า
“ เรื่องเหาะเรื่องบินนี่มันไม่สำคัญหรอก แมงกุดจี่ (แมลงชนิดหนึ่งอยู่กับขี้ควาย) มันก็บินได้ มันเป็นพระอรหันต์รึเปล่า? ”
และอีกครั้งหนึ่ง เมื่อครูคนหนึ่งถามท่านเกี่ยวกับการเหาะเหินเดินอากาศของพระอรหันต์ในครั้งพุทธกาล ซึ่งเคยอ่านพบว่าเป็นความจริงหรือไม่ว่า
“ เคยอ่านพบเรื่องพระอรหันต์สมัยก่อน ๆ เขาว่าเหาะได้จริงไหมครับ?”หลวงพ่อท่านก็ตอบว่า
“ถามไกลตัวเกินไปแล้วล่ะครู มาพูดถึงตอสั้น ๆ ที่จะตำเท้าเราจะไม่ดีกว่ารึ? ”
จับเองก็ปล่อยเอง
มีเด็กหิ้วกรงขังนกมาชวนให้หลวงพ่อซื้อเพื่อปล่อยเป็นการทำบุญในสถานที่แห่งหนึ่ง ท่านถามว่า
“นกอะไร? เอามาจากไหน?” เด็กที่ขายนกก็ตอบว่า
“ผมจับมาเอง หลวงพ่อปล่อยไหม จะได้ทำบุญ” หลวงพ่อชาก็ตอบว่า
“เอ๊า.. จับเองก็ปล่อยเองซิ มาให้หลวงพ่อปล่อยทำไม?”
ไม่อายหรือ?
หลวงพ่อท่านมีความรักและเคารพต่อข้อวัตรปฏิบัติของท่านมาก จนกระทั่งเคยบอกกับลูกศิษย์ว่า
“ ถ้าจะให้ผมละเมิดพระวินัย ผมยอมตายก่อนไม่เสียดายชีวิตเท่าเสียดายพระวินัย”
ครั้งหนึ่งหลวงพ่อได้รับนิมนต์ไปฉันในพระบรมมหาราชวัง ขณะลงจากรถได้พบกับเจ้าคุณรูปหนึ่งพอดี ท่านเจ้าคุณรูปนั้นมองเห็นว่าหลวงพ่อสะพายบาตรอยู่ ก็ถามหลวงพ่ออย่างเยาะหยันว่า
“คุณชา ไม่อายในหลวงหรือ สะพายบาตรเข้าวัง?” หลวงพ่อท่านก็ตอบท่านเจ้าคุณทันทีเลยว่า
“ ท่านเจ้าคุณไม่อายพระพุทธองค์หรือครับ จึงไม่สะพายบาตรเข้าวัง”
นั่งอย่างเดียวก็ไม่ใช่
วันหนึ่งหลวงพ่อพาพระเณรขนดินขึ้นไปใส่สนามหญ้ารอบโบสถ์ พอดีขณะที่ท่านกำลังยืนสั่งงานอยู่นั้น มีหนุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งเข้ามาเที่ยวชมวัด เดินมาพบท่านเข้า พวกเขาเข้ามายืนใกล้ ๆ ท่านทำท่าทางแบบฝรั่งวัยรุ่นกิริยาไม่สู้จะอ่อนน้อมเท่าไรนัก หนึ่งในคณะของเขาถามท่านหลายอย่างและท้ายสุดเขาจึงถามท่านทำนองรุกไล่ว่า
“ทำไม? ท่านไม่พาพระเณรนั่งสมาธิ ชอบพาทำงานอยู่เรื่อย” หลวงพ่อตอบออกไปทันควันว่า
“ นั่งมากมันขี้ไม่ออกว่ะ”
พวกนั้นรู้สึกงุนงงต่อคำตอบของท่าน ทันทีท่านก็ยกไม้เท้าขึ้นชี้ไปยังคนถามปัญหาและสั่งสอนว่า
“ ที่ถูกนั้นนั่งอย่างเดียวก็ไม่ใช่ เดินอย่างเดียวก็ไม่ใช่ ต้องนั่งบ้าง ทำประโยชน์บ้าง และทำความรู้ความเห็นให้ถูกต้องไปทุกเวลานาที อย่างนี้จึงจะถูก กลับไปเรียนใหม่นี่ยังอ่อนอยู่มาก เรื่องการปฏิบัตินี้ถ้าไม่รู้จริงอย่าพูด มันจะขายขี้หน้าตัวเอง”
รักษ์ป่า
ในช่วงแรกที่หลวงพ่อและคณะสงฆ์มาอยู่ที่วัดหนองป่าพง ไข้มาเลเรียระบาดหนักอยู่ถึง ๓ ปีเต็ม ทั้งพระเณรและแม่ชีเป็นไข้กันงอมแงมเริ่มจากหลวงพ่อก่อนเลย ท่านเป็นหนักมากจนเนื้อตัวเขียวคล้ำ นึกว่าถึงที่สุดแล้วแต่ในที่สุดก็หาย พอหลวงพ่อหายลูกวัดก็เป็นกันใหญ่ ทั้งพระทั้งชีป่วยหนักไปตาม ๆ กัน แต่โชคดีที่ไม่มีใครเสียชีวิตกันเลย
การรักษาในสมัยนั้นก็ไม่มีหยูกยาอะไรกินนอกจากสมุนไพร ครั้งหนึ่งมีคณะแพทย์เขามากราบเรียนหลวงพ่อว่า
“ ป่านี้ทึบเกินไป ให้ตัดรอนกิ่งไม้ออกบ้างให้โปร่ง ๆ ลมจะได้เข้าสะดวก” หลวงพ่อตอบว่า
“ตายซะคน เอาไว้แต่ป่าก็พอ”
พวกหมอก็พยายามอธิบายพูดโน้มน้าวหว่านล้อมด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานาเกี่ยวกับเรื่องป่า แต่หลวงพ่อก็ยังยืนยันเจตนารมณ์ดั้งเดิม ท่านตอบอย่างเด็ดเดี่ยวว่า
“ พระหรือชีก็ตาม อาตมาเองก็ตาม ตายแล้วก็แล้วไป เอาป่าไว้เสียดีกว่า”
พวกหมอก็เลยพูดไม่ออก แล้วก็ลากลับไป
รถประจำตำแหน่ง
ครั้งหนึ่งโยมที่อุบลฯ เอารถมาถวายหลวงพ่อ เขาบอกว่าถ้าหลวงพ่อไม่รับผมไม่ยอมหรอกครับ เขาเอารถมาจอดไว้หลังกุฏิท่านใต้ต้นประดู่ (ด้านประตู) แล้วเอากุญแจใส่ย่ามท่านไว้ แล้วก็มานั่งหัวเราะภาคภูมิใจในผลบุญของตน แต่หลวงพ่อไม่เคยไปดูรถคันนั้นเลย พอออกจากกุฏิท่านจะเดินไปทางอื่น จะไปในเมืองท่านก็ขึ้นรถคนอื่น ไม่ได้ไปดูเลยว่ามันเป็นอย่างไร? มีสีอะไร? ผ่านไป ๗ วันหลวงพ่อท่านก็เรียกโยมคนหนึ่งมาแล้วบอกว่า
“ ไปบอกเขาเอารถกลับคืนไปนะ เอามาถวายข้อย ๆ ก็รับไปแล้ว ได้บุญแล้ว เดี๋ยวนี้ข้อยจะส่งคืน มันไม่ใช่ของพระ”
ปวดเหมือนกัน
มีโยมผู้หญิงมากราบหลวงพ่อและร้องขอกับท่านว่า
“ หลวงพ่อเป่าขาให้ดิฉันหน่อยซิ แหม! ดิฉันปวดขาเหลือเกิน” หลวงพ่อท่านก็บอกว่า
“ โยมมาเป่าให้อาตมาบ้างซิ อาตมาก็ปวดเหมือนกัน”
จริงแต่ไม่ถูก
นักปฏิบัติที่ถือเอาการปฏิบัติที่จิตภาวนาอย่างขะมักเขม้น แต่ละเลยกิริยาภายนอก หลวงพ่อท่านถือว่าเป็นการสร้างประโยชน์ตนแต่ฝ่ายเดียว ไม่ใส่ใจในประโยชน์ผู้อื่นจะเรียกว่าเป็นนักปฏิบัติธรรมที่ครบถ้วนสมบูรณ์ยังไม่ได้ ส่วนการประพฤติปฏิบัติโดยเอื้อเฟื้อต่อพระวินัยนั้น ถือเป็นการประกาศศาสนาไปในตัวเพราะทำให้ผู้ที่มาพบเห็นที่ยังไม่เคยเลื่อมใสให้เลื่อมใส ที่เลื่อมใสแล้วเกิดความเลื่อมใสยิ่ง ๆ ขึ้นไป ซึ่งข้อนี้ตรงกับวัตถุประสงค์อันหนึ่งที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติพระวินัยขึ้นคู่เคียงกับพระธรรม บางสำนักสอนว่าไม่ต้องไปจุกจิกจู้จี้เรื่องสิกขาบทต่าง ๆ มากเกินไป ให้มีสติตัวเดียวก็พอแล้ว ครั้งหนึ่งมีพระถามหลวงพ่อว่าท่านเห็นอย่างไร? ต่อทัศนะนี้หลวงพ่อท่านก็ตอบว่า
“ จริงแต่ไม่ถูก ถูกแต่ไม่จริง”
วางมันซิ
พระฝรั่งลูกศิษย์รูปหนึ่ง มีปัญหาในการเลือกอารมณ์กรรมฐานที่ถูกจริตของตัวเอง เพราะได้เจริญพุทโธกับอานาปานสติมาเป็นเวลานานแล้ว จิตก็ไม่เคยสงบ ระลึกความตายก็ไม่สงบ ระลึกขันธ์ห้าก็ไม่สงบ เลยหมดปัญญา เมื่อมากราบเรียนถามหลวงพ่อท่านก็ตอบง่าย ๆ ว่า
“วางมันซิ หมดปัญญาก็วางมัน”
ใครรู้ ?
คนที่นับถือพระเจ้าท่านหนึ่ง ไม่ยอมรับคำสอนเรื่อง "อนัตตา" ของศาสนาพุทธ เหตุผลของเขาก็คือว่า
“จะเอาอะไรมารู้อนัตตาเล่า ? ถ้าไม่ใช่อัตตา”
ซึ่งหมายความว่าสิ่งที่เป็นอนัตตาหรือสิ่งที่ไม่มีตัวตน สิ่งนั้นเราจะรู้และเข้าใจได้อย่างไร? ถ้าไม่มีตัวตนผู้ที่มารู้มาเข้าใจ วันหนึ่งมีชาวคริสต์คนหนึ่งมาถามหลวงพ่อว่า
“ใครรู้อนัตตา ?”
หลวงพ่อท่านก็ถามกลับทันทีว่า
“ใครรู้อัตตา ?”
เมาความสุข
ครั้งหนึ่งระหว่างที่พำนักอยู่ที่วัดหนองป่าพง พระอาจารย์ปสันโน (พระฝรั่ง) มีโอกาสได้ตามหลวงพ่อไปบิณฑบาตที่บ้านกลาง ขากลับหลวงพ่อเดินช้า ๆ ขณะเดินผ่านต้นไม้ กิ้งก่าคู่หนึ่งซึ่งกำลัง "ปฏิบัติกามกิจ” อยู่ข้างบนก็พลาดท่า หล่นตุ๊บลงมาต่อหน้าทั้งที่ตัวยังติดกัน หลวงพ่อเห็นเข้าก็หัวเราะชี้ให้ลูกศิษย์ดู พร้อมกับทำมือทำไม้ประกอบคำอธิบายแก่ท่านอาจารย์ปสันโน ซึ่งตอนนั้นยังไม่ค่อยเข้าใจภาษาไทยมากนักว่า
“แน่ะ! เห็นไหม มันเมาความสุขอยู่ข้างบน เป็นเหตุให้ประมาท ตกลงมาก็เจ็บอย่างนี้แหละ”