ทางเดินสู่ฝัน ณ "เขาช้างเผือก" อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี
สวัสดีค่าาาาา ^______^
พอดีเมื่ออาทิตย์ก่อนเราได้มีโอกาสไปเที่ยวที่ 'เขาช้างเผือก' อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ตามโครงการ "Dream Destinations กาลครั้งหนึ่ง...ต้องไป" ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ก็เลยอยากจะมาแบ่งปันความสวยงามของประเทศไทยให้คนที่ไม่มีโอกาส หรือมีโอกาสแต่ไม่ได้ไป หรือคนที่กำลังจะไปได้ดูบ้าง

ตามไปดูกันเลยค่าาา~
เราเริ่มการเดินทางกันที่กรุงเทพฯโดยรถตู้ค่ะ เจ็ดชีวิตกับอีกหนึ่งคนขับรถพร้อมหน้าพร้อมตากันราวประมาณตีสองครึ่งเป็นฤกษ์งามยามดีของการออกเดินทาง ณ ตอนนั้น เอาจริงๆคือว่า เรายังไม่รู้เลยค่ะว่าใครไปบ้าง เพิ่งจะมาเจอหน้าเจอตากันตอนจะขึ้นรถตู้ เพราะเพื่อนเราเป็นคนหาสมาชิกสำหรับทริปนี้ ประมาณว่าเราก็ชวนเพื่อนเราคนนึง ส่วนเพื่อนเราก็ชวนเพื่อนมาอีกจนได้ครบเจ็ดคนนั่นแหละค่ะ แต่ไม่เป็นไร ไม่รู้จักกันก็ทำความรู้จักกันได้~ สนุกดี
แนะนำตัวกันเสร็จก็พากันขึ้นรถ แล้วก็ถึงเวลาออกเดินทางสู่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ เย้! ไปโลดค่ะ~
ตลอดทางจากกรุงเทพฯ-ทองผาภูมิขอบอกว่าเรานอนไม่หลับเลยค่ะ คือแบบตื่นเต้น! ฮ่าๆ คือเราก็นั่งดูทางไปเรื่อย สักพักเริ่มเห็นเพื่อนๆที่นั่งหลับกันเริ่มขยับ แล้วก็มีกระซิบกระซาบกัน คือแบบ งงสิคะ เกิดอะไรขึ้น? เราเลยชะโงกหน้าไปดูถนน ปรากฎว่าหมอกค่ะ ข้างหน้าคือหมอกอย่างหนาแทบจะมองไม่เห็นทางหรือรถข้างหน้าเลย ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนั้นค่ะ พี่คนขับของเราแกเหยียบมิดเลยค่ะ ทุกคนแบบอยู่ในภาวะตื่นตระหนกอยากจะตะโกนบอกพี่เค้าว่า พี่! ขับช้าๆหน่อย หนูอยากไปถึงอุทยานชาตินี้ค่ะ ไม่ใช่ชาติหน้า TT^TT พี่แกเล่นเหยียบไม่มียั้งแบบซิ่งนรกเหมือนชีวิตจำโค้งทุกโค้งบนถนนสายนี้ได้หมดแล้ว ณ จุดจุดนั้นทุกคนแบบลุ้นค่ะ ถ้าเสกคาถาไล่หมอกได้นี่เสกไปแล้วว~ จังหวะลุ้นระทึกยังคงต่อเนื่องมาอีกสักระยะ แต่สุดท้ายก็ผ่านดงหมอกหนาตึ๊บมาได้อย่างปลอดภัย อาเมน =/\=
ราวๆเจ็ดโมงเศษๆ คุณพี่นักซิ่งหมอกมรณะของเราก็พารถตู้กับอีกเจ็ดชีวิตที่สลบไสลมาจอดแวะพักยืดเส้นยืดสายที่จุดชมวิวก่อนถึงอุทยานค่ะ ได้เวลาตื่นแล้ว~ ลงไปเดินเล่นชมทะเลหมอกยามเช้า กดสักแชะสองแชะสักหน่อย
เห็นวิวสวยๆก็คงจะเริ่มหายง่วงกันแล้ว ถ้างั้นก็ออกเดินทางต่อเลยค่ะพี่ ลุยโลดดด~
ประมาณแปดโมงเศษ ในที่สุดก็เดินทางมาถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ เย้~ จัดการลงทะเบียนกันให้เรียบร้อย (อ้อ! ต้องมาลงทะเบียนกันก่อนเก้าโมงนะคะ ถ้าไม่อยากเหนื่อยก็แนะนำว่ามานอนค้างที่อุทยานกันก่อนสักคืนก็ได้ค่ะ สบายๆ) แล้วก็แวะลงไปกินข้าวเช้ากับคุณป้าที่สวัสดิการระหว่างรอเจ้าหน้าที่เตรียมเต๊นท์กับถุงนอน หลังจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทางกันต่อค่ะ
เราต้องนั่งรถตู้ต่อไปยังบ้านอีต่องซึ่งอยู่เลยที่ทำการอุทยานขึ้นไปอีก เพราะว่าจุดเริ่มต้นเส้นทางพิชิตยอดเขาช้างเผือกจะเริ่มกันที่นี่ค่ะ จอดรถกันหน้าหมู่บ้านแล้วก็เดินเข้าไปในตลาดเพื่อหาลูกหาบให้เค้ามาแพ๊คของที่รถค่ะ ลูกหาบคนนึงก็แบกน้ำหนักได้ประมาณ 25-30 กิโลกรัมค่ะ ค่าลูกหาบก็อยู่ที่ 1,100 บาทต่อคน สำหรับกลุ่มเราเราจ้างแค่คนเดียวค่ะ เน้นประหยัด (ไม่รู้คิดผิดคิดถูก แต่ระหว่างทางนี่คือทุกคนอยากจะโยนกระเป๋าทิ้งหมดเลย ฮาาา~) ให้เค้าแบกแค่น้ำ อาหารสำหรับ 2 มื้อ แล้วก็เต๊นท์กับถุงนอนค่ะ สำหรับคนที่แพลนว่าจะไป น้ำนี่เตรียมขึ้นไปคนละประมาณ 3 ลิตรนะคะ คือปกติเรากินน้ำน้อยเลยคิดว่า 3 ลิตรนี่เยอะไป แต่พอขึ้นไปนี่คือแบบ น้ำหนึ่งหยดนี่มีค่าที่สุดในชีวิตเลยค่ะ TT โอเค เลิกพูดเรื่องน้ำกันดีกว่า หลังจากลูกหาบแพ๊คของเสร็จพวกเราก็เตรียมตัวสะพายเป้ขึ้นหลังพร้อมออกลุย~
การเดินทางจากบ้านอีต่องไปยังลานกางเต๊นท์รวมระยะทางทั้งสิ้นประมาณ 8 กิโลเมตรค่ะ ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 4-5 ชั่วโมง พวกเราเริ่มออกเดินทางกันประมาณสิบโมงเศษๆโดยมีพี่ทหารหนึ่งคนเป็นคนนำทางประจำกลุ่มเราค่ะ เริ่มออกเดินทางจากบ้านอีต่องไปสักระยะ ช่วงแรกยังเป็นทางสบายๆ เดินไปคุยไป ชิวๆค่ะ (ถึงชิวแต่เราก็เริ่มรู้สึกเหนื่อย TT เพราะปกติก็ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายน่ะค่ะ) เนื่องจากพวกเราออกเดินทางสาย เราก็เลยได้เจอกลุ่มอื่นที่กำลังเดินสวนกลับลงมาบ้างแล้วค่ะ ตลอดทางก็จะมีคนสวนลงมาแล้วบอกสู้ๆกันตลอดทางเลย
ตอนแรกเราก็คิดว่าจากบ้านอีต่องนี่คือเริ่มนับเป็นเส้นทางพิชิตยอดเขาแล้วค่ะ แต่เปล่าค่ะ คือเราต้องเดินผ่านหมู่บ้านไปสักพักถึงจะเจอป้าย “ขอต้อนรับสู่เส้นทางผู้พิชิตยอดเขาช้างเผือก” จากจุดนี้มองไปก็เหนื่อย เอ้ย! สวยแล้วค่ะ

ต่อจากนี้ไปก็เริ่มรู้สึกว่าจะเป็นเส้นทางเดินป่าจริงๆแล้วนะ มาเจอป้ายกันแล้วก็ต้องถ่ายรูปรวมกันสักหน่อย แต่รูปไม่ได้อยู่กล้องเราค่ะ แป่ว~
ระหว่างทางขึ้นนั้นโชคดีว่าเจอพี่ๆกลุ่มนึง เค้าก็บริจาคไม้เท้าให้ค่ะ คือความจริงมันก็คือไม้ไผ่เนี่ยล่ะค่ะ เอามาช่วยค้ำตอนเดินแทนไม้เท้า คือแรกๆก็จะรู้สึกว่า ไม่ต้องใช้หรอกมั้ง เกะกะ แต่ขอบอกว่า มันดีมากค่ะ คือมันช่วยลดภาระเข่าให้เราด้วย แล้วบางช่วงที่ลื่นๆ หรือช่วงขาลงชันๆนี่ช่วยได้มากค่ะ เดินง่ายขึ้นเยอะ ของเค้าดีจริง
ดูเหมือนเราจะเล่าละเอียดเกินไปแล้ว เดี๋ยวจะเบื่อซะก่อน เอารูปริมทางสวยๆไปชมกันนะคะ คือทางเดินมันเหนื่อยจริงค่ะ ช่วงแรกก็ไม่เท่าไหร่เพราะยังไม่ค่อยชัน ก็เลยมีอารมณ์จะเก็บวิวข้างทางมาให้ดูกัน เอาว่า เห็นวิวก็หายเหนื่อยแล้วล่ะค่ะ คืออยากจะลงไปนอนกลิ้งกับหญ้าเขียวๆเลย ฮ่าๆ
เห็นวิวข้างทางแล้วอยากจะช่วยโปรโมทการท่องเที่ยวประเทศไทยเลยจับเพื่อนมาเป็นพรีเซ็นเตอร์เที่ยวเมืองไทยสักหน่อย ฮาาาา~
เดินไปเดินมาก็มาถึงจุดพักพอดี เดินมาได้ประมาณ 3 กิโลเมตรแล้วค่ะ แต่ยังไม่ถึงครึ่งทาง TT^TT เริ่มเหนื่อยกันแล้ว เลยขอพักกันสักหน่อย
คือกลุ่มเรานี่ตอนก่อนจะมาที่นี่คือทุกคนแทบจะไม่รู้จักกันเลยค่ะ แต่ตอนขากลับนี่ทุกคนคุยกันแบบสนิทมากกกก~ เหมือนรู้จักกันแต่ชาติปางก่อน
ต่อเรื่อยๆค่ะ ช่วงนี้ไม่รู้จะเล่าอะไรมาก เดินไปถ่ายรูปไปเรื่อย วิวดี อากาศร้อนหน่อย แต่เพื่อนๆเราก็ยังไหว ยังยิ้มได้อยู่ค่าา
นี่งานพาเพื่อนมาทรมานค่ะ ไม่รู้แม่เค้าจะสั่งเลิกคบหรือเปล่า ฮาาาาาาา~ คือเพื่อนบอกว่ามาทริปนี้แล้วรู้สึกแก่เลย
ไปชมวิวกันต่อค่าา~ ฟ้าสวยๆกับภูเขาเขียวๆ ฟินค่ะบอกเลย~
ตลอดทางนี่คือเขียวมาตลอดเลยค่ะ เมืองไทยนี่สุดยอดไปเลย ไปเที่ยวกันนะคะ
นานๆทีขอหนีบรรยากาศเมืองมารับลมรับแดดบ้างจะเป็นอะไรไป
อันนี้เพื่อนๆในกลุ่มเรากับพี่ทหารนำทางที่ไปปิดท้ายกรุ๊ปซะแล้ว สู้ต่อไป~
มาไกลแล้วค่ะ อันนี้ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าข้ามเขาอีกสามลูกก็น่าจะถึงลานกางเต๊นท์แล้ว คือทางมันทั้งเสียวทั้งสวย ไปไม่เป็นเลยจ้า~ แต่ก็ต้องไป TT
อยากเห็นวิวสวยๆก็ต้องเดินดีๆ ถ้าก้าวพลาดทีอาจจะเป็นฉากแบบหนังผี คือเพื่อนๆได้ยินแต่เสียงกรี๊ดแล้วหายไป ฮาาาาาา
เลยจากตรงนี้ไปคือทางชันสุดๆ เหนื่อยแล้วด้วย~ ขออนุญาติเก็บกล้องก่อนแล้วกันนะคะ เพื่อความอยู่รอด อีกนิดเดียวเท่านั้น จะถึงลานกางเต๊นท์แล้ว
สักประมาณบ่ายสามโมงได้ พวกเราทั้ง 7 คนก็ได้ลากสังขารตัวเองมาถึงลานกางเต๊นท์อย่างปลอดภัย แบบเหนื่อยขาดใจ~ แล้วไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย คือพอพวกเรามาถึงกันได้ไม่นาน นั่งพักกันนอกเต๊นท์อยู่ประมาณไม่ถึง 10 นาที ฝนตกเลยค่าาาาา วิ่งเข้าเต๊นท์กันแทบไม่ทัน แต่คือพอเข้าไปในเต๊นท์แล้วแบบอบมาก ไม่ไหวค่ะ เราเลยไปขออาศัยกลุ่มพี่ๆใจดีที่นั่งกันอยู่นอกเต๊นท์แบบมีผ้าใบบังฝนนั่งด้วย ขอบพระคุณในความกรุณาของพี่ๆต่อพวกเราเด็กตาดำๆค่ะ ^/\^ เหมือนชีวิตจะแฮปปี้ประการฉะนั้นแล แต่ไม่ค่ะ! คือฝนมันเทลงมาหนักขึ้น น้ำก็ไหลเข้าผ้าใบสิคะ ทีนี้คือแบบไม่ว่าใครก็ใครคงต้องระเห็จกลับไปอยู่ในเต๊นท์ตัวเองแล้วล่ะค่ะ เศร้า TT^TT
อ้อ! ลืมเล่าไปค่ะ คือเราไปกัน 7 คนใช่มั๊ยคะ มีเต๊นท์ 3 หลัง ปรากฎว่ามีหลังนึงรั่วค่ะ น้ำเข้าทั้งจากข้างบนแล้วก็ข้างล่าง เพื่อนเราคนนึงเลยต้องนอนน้ำท่วมอยู่ในเต๊นท์ เศร้าแทน ถือว่าเป็นประสบการณ์ละกันนะ โชคดี~ บาย~ ฮ่าๆ
เนื่องจากฝนตก ไม่มีอะไรทำ และเหนื่อยมาก~ ทุกคนก็เลยสลบไสลกันอยู่ในเต๊นท์ตั้งแต่ตอนนั้นเลยค่ะ เพราะดูท่าฝนตกแบบนี้คงจะไม่ได้ขึ้นไปยอดเขาแล้วเย็นนี้ แย่จัง~ TT^TT
ยังไม่จบนะคะ เดี๋ยวมาต่อ~
[CR] กาลครั้งหนึ่ง...ต้องไป "เขาช้างเผือก" :) Thailand Dream Destinations
สวัสดีค่าาาาา ^______^
พอดีเมื่ออาทิตย์ก่อนเราได้มีโอกาสไปเที่ยวที่ 'เขาช้างเผือก' อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ตามโครงการ "Dream Destinations กาลครั้งหนึ่ง...ต้องไป" ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ก็เลยอยากจะมาแบ่งปันความสวยงามของประเทศไทยให้คนที่ไม่มีโอกาส หรือมีโอกาสแต่ไม่ได้ไป หรือคนที่กำลังจะไปได้ดูบ้าง
เราเริ่มการเดินทางกันที่กรุงเทพฯโดยรถตู้ค่ะ เจ็ดชีวิตกับอีกหนึ่งคนขับรถพร้อมหน้าพร้อมตากันราวประมาณตีสองครึ่งเป็นฤกษ์งามยามดีของการออกเดินทาง ณ ตอนนั้น เอาจริงๆคือว่า เรายังไม่รู้เลยค่ะว่าใครไปบ้าง เพิ่งจะมาเจอหน้าเจอตากันตอนจะขึ้นรถตู้ เพราะเพื่อนเราเป็นคนหาสมาชิกสำหรับทริปนี้ ประมาณว่าเราก็ชวนเพื่อนเราคนนึง ส่วนเพื่อนเราก็ชวนเพื่อนมาอีกจนได้ครบเจ็ดคนนั่นแหละค่ะ แต่ไม่เป็นไร ไม่รู้จักกันก็ทำความรู้จักกันได้~ สนุกดี
แนะนำตัวกันเสร็จก็พากันขึ้นรถ แล้วก็ถึงเวลาออกเดินทางสู่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ เย้! ไปโลดค่ะ~
ตลอดทางจากกรุงเทพฯ-ทองผาภูมิขอบอกว่าเรานอนไม่หลับเลยค่ะ คือแบบตื่นเต้น! ฮ่าๆ คือเราก็นั่งดูทางไปเรื่อย สักพักเริ่มเห็นเพื่อนๆที่นั่งหลับกันเริ่มขยับ แล้วก็มีกระซิบกระซาบกัน คือแบบ งงสิคะ เกิดอะไรขึ้น? เราเลยชะโงกหน้าไปดูถนน ปรากฎว่าหมอกค่ะ ข้างหน้าคือหมอกอย่างหนาแทบจะมองไม่เห็นทางหรือรถข้างหน้าเลย ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนั้นค่ะ พี่คนขับของเราแกเหยียบมิดเลยค่ะ ทุกคนแบบอยู่ในภาวะตื่นตระหนกอยากจะตะโกนบอกพี่เค้าว่า พี่! ขับช้าๆหน่อย หนูอยากไปถึงอุทยานชาตินี้ค่ะ ไม่ใช่ชาติหน้า TT^TT พี่แกเล่นเหยียบไม่มียั้งแบบซิ่งนรกเหมือนชีวิตจำโค้งทุกโค้งบนถนนสายนี้ได้หมดแล้ว ณ จุดจุดนั้นทุกคนแบบลุ้นค่ะ ถ้าเสกคาถาไล่หมอกได้นี่เสกไปแล้วว~ จังหวะลุ้นระทึกยังคงต่อเนื่องมาอีกสักระยะ แต่สุดท้ายก็ผ่านดงหมอกหนาตึ๊บมาได้อย่างปลอดภัย อาเมน =/\=
ราวๆเจ็ดโมงเศษๆ คุณพี่นักซิ่งหมอกมรณะของเราก็พารถตู้กับอีกเจ็ดชีวิตที่สลบไสลมาจอดแวะพักยืดเส้นยืดสายที่จุดชมวิวก่อนถึงอุทยานค่ะ ได้เวลาตื่นแล้ว~ ลงไปเดินเล่นชมทะเลหมอกยามเช้า กดสักแชะสองแชะสักหน่อย
เห็นวิวสวยๆก็คงจะเริ่มหายง่วงกันแล้ว ถ้างั้นก็ออกเดินทางต่อเลยค่ะพี่ ลุยโลดดด~
ประมาณแปดโมงเศษ ในที่สุดก็เดินทางมาถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ เย้~ จัดการลงทะเบียนกันให้เรียบร้อย (อ้อ! ต้องมาลงทะเบียนกันก่อนเก้าโมงนะคะ ถ้าไม่อยากเหนื่อยก็แนะนำว่ามานอนค้างที่อุทยานกันก่อนสักคืนก็ได้ค่ะ สบายๆ) แล้วก็แวะลงไปกินข้าวเช้ากับคุณป้าที่สวัสดิการระหว่างรอเจ้าหน้าที่เตรียมเต๊นท์กับถุงนอน หลังจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทางกันต่อค่ะ
เราต้องนั่งรถตู้ต่อไปยังบ้านอีต่องซึ่งอยู่เลยที่ทำการอุทยานขึ้นไปอีก เพราะว่าจุดเริ่มต้นเส้นทางพิชิตยอดเขาช้างเผือกจะเริ่มกันที่นี่ค่ะ จอดรถกันหน้าหมู่บ้านแล้วก็เดินเข้าไปในตลาดเพื่อหาลูกหาบให้เค้ามาแพ๊คของที่รถค่ะ ลูกหาบคนนึงก็แบกน้ำหนักได้ประมาณ 25-30 กิโลกรัมค่ะ ค่าลูกหาบก็อยู่ที่ 1,100 บาทต่อคน สำหรับกลุ่มเราเราจ้างแค่คนเดียวค่ะ เน้นประหยัด (ไม่รู้คิดผิดคิดถูก แต่ระหว่างทางนี่คือทุกคนอยากจะโยนกระเป๋าทิ้งหมดเลย ฮาาา~) ให้เค้าแบกแค่น้ำ อาหารสำหรับ 2 มื้อ แล้วก็เต๊นท์กับถุงนอนค่ะ สำหรับคนที่แพลนว่าจะไป น้ำนี่เตรียมขึ้นไปคนละประมาณ 3 ลิตรนะคะ คือปกติเรากินน้ำน้อยเลยคิดว่า 3 ลิตรนี่เยอะไป แต่พอขึ้นไปนี่คือแบบ น้ำหนึ่งหยดนี่มีค่าที่สุดในชีวิตเลยค่ะ TT โอเค เลิกพูดเรื่องน้ำกันดีกว่า หลังจากลูกหาบแพ๊คของเสร็จพวกเราก็เตรียมตัวสะพายเป้ขึ้นหลังพร้อมออกลุย~
การเดินทางจากบ้านอีต่องไปยังลานกางเต๊นท์รวมระยะทางทั้งสิ้นประมาณ 8 กิโลเมตรค่ะ ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 4-5 ชั่วโมง พวกเราเริ่มออกเดินทางกันประมาณสิบโมงเศษๆโดยมีพี่ทหารหนึ่งคนเป็นคนนำทางประจำกลุ่มเราค่ะ เริ่มออกเดินทางจากบ้านอีต่องไปสักระยะ ช่วงแรกยังเป็นทางสบายๆ เดินไปคุยไป ชิวๆค่ะ (ถึงชิวแต่เราก็เริ่มรู้สึกเหนื่อย TT เพราะปกติก็ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายน่ะค่ะ) เนื่องจากพวกเราออกเดินทางสาย เราก็เลยได้เจอกลุ่มอื่นที่กำลังเดินสวนกลับลงมาบ้างแล้วค่ะ ตลอดทางก็จะมีคนสวนลงมาแล้วบอกสู้ๆกันตลอดทางเลย
ตอนแรกเราก็คิดว่าจากบ้านอีต่องนี่คือเริ่มนับเป็นเส้นทางพิชิตยอดเขาแล้วค่ะ แต่เปล่าค่ะ คือเราต้องเดินผ่านหมู่บ้านไปสักพักถึงจะเจอป้าย “ขอต้อนรับสู่เส้นทางผู้พิชิตยอดเขาช้างเผือก” จากจุดนี้มองไปก็เหนื่อย เอ้ย! สวยแล้วค่ะ
ระหว่างทางขึ้นนั้นโชคดีว่าเจอพี่ๆกลุ่มนึง เค้าก็บริจาคไม้เท้าให้ค่ะ คือความจริงมันก็คือไม้ไผ่เนี่ยล่ะค่ะ เอามาช่วยค้ำตอนเดินแทนไม้เท้า คือแรกๆก็จะรู้สึกว่า ไม่ต้องใช้หรอกมั้ง เกะกะ แต่ขอบอกว่า มันดีมากค่ะ คือมันช่วยลดภาระเข่าให้เราด้วย แล้วบางช่วงที่ลื่นๆ หรือช่วงขาลงชันๆนี่ช่วยได้มากค่ะ เดินง่ายขึ้นเยอะ ของเค้าดีจริง
ดูเหมือนเราจะเล่าละเอียดเกินไปแล้ว เดี๋ยวจะเบื่อซะก่อน เอารูปริมทางสวยๆไปชมกันนะคะ คือทางเดินมันเหนื่อยจริงค่ะ ช่วงแรกก็ไม่เท่าไหร่เพราะยังไม่ค่อยชัน ก็เลยมีอารมณ์จะเก็บวิวข้างทางมาให้ดูกัน เอาว่า เห็นวิวก็หายเหนื่อยแล้วล่ะค่ะ คืออยากจะลงไปนอนกลิ้งกับหญ้าเขียวๆเลย ฮ่าๆ
เห็นวิวข้างทางแล้วอยากจะช่วยโปรโมทการท่องเที่ยวประเทศไทยเลยจับเพื่อนมาเป็นพรีเซ็นเตอร์เที่ยวเมืองไทยสักหน่อย ฮาาาา~
เดินไปเดินมาก็มาถึงจุดพักพอดี เดินมาได้ประมาณ 3 กิโลเมตรแล้วค่ะ แต่ยังไม่ถึงครึ่งทาง TT^TT เริ่มเหนื่อยกันแล้ว เลยขอพักกันสักหน่อย
คือกลุ่มเรานี่ตอนก่อนจะมาที่นี่คือทุกคนแทบจะไม่รู้จักกันเลยค่ะ แต่ตอนขากลับนี่ทุกคนคุยกันแบบสนิทมากกกก~ เหมือนรู้จักกันแต่ชาติปางก่อน
ต่อเรื่อยๆค่ะ ช่วงนี้ไม่รู้จะเล่าอะไรมาก เดินไปถ่ายรูปไปเรื่อย วิวดี อากาศร้อนหน่อย แต่เพื่อนๆเราก็ยังไหว ยังยิ้มได้อยู่ค่าา
นี่งานพาเพื่อนมาทรมานค่ะ ไม่รู้แม่เค้าจะสั่งเลิกคบหรือเปล่า ฮาาาาาาา~ คือเพื่อนบอกว่ามาทริปนี้แล้วรู้สึกแก่เลย
ไปชมวิวกันต่อค่าา~ ฟ้าสวยๆกับภูเขาเขียวๆ ฟินค่ะบอกเลย~
ตลอดทางนี่คือเขียวมาตลอดเลยค่ะ เมืองไทยนี่สุดยอดไปเลย ไปเที่ยวกันนะคะ
นานๆทีขอหนีบรรยากาศเมืองมารับลมรับแดดบ้างจะเป็นอะไรไป
อันนี้เพื่อนๆในกลุ่มเรากับพี่ทหารนำทางที่ไปปิดท้ายกรุ๊ปซะแล้ว สู้ต่อไป~
มาไกลแล้วค่ะ อันนี้ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าข้ามเขาอีกสามลูกก็น่าจะถึงลานกางเต๊นท์แล้ว คือทางมันทั้งเสียวทั้งสวย ไปไม่เป็นเลยจ้า~ แต่ก็ต้องไป TT
อยากเห็นวิวสวยๆก็ต้องเดินดีๆ ถ้าก้าวพลาดทีอาจจะเป็นฉากแบบหนังผี คือเพื่อนๆได้ยินแต่เสียงกรี๊ดแล้วหายไป ฮาาาาาา
เลยจากตรงนี้ไปคือทางชันสุดๆ เหนื่อยแล้วด้วย~ ขออนุญาติเก็บกล้องก่อนแล้วกันนะคะ เพื่อความอยู่รอด อีกนิดเดียวเท่านั้น จะถึงลานกางเต๊นท์แล้ว
สักประมาณบ่ายสามโมงได้ พวกเราทั้ง 7 คนก็ได้ลากสังขารตัวเองมาถึงลานกางเต๊นท์อย่างปลอดภัย แบบเหนื่อยขาดใจ~ แล้วไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย คือพอพวกเรามาถึงกันได้ไม่นาน นั่งพักกันนอกเต๊นท์อยู่ประมาณไม่ถึง 10 นาที ฝนตกเลยค่าาาาา วิ่งเข้าเต๊นท์กันแทบไม่ทัน แต่คือพอเข้าไปในเต๊นท์แล้วแบบอบมาก ไม่ไหวค่ะ เราเลยไปขออาศัยกลุ่มพี่ๆใจดีที่นั่งกันอยู่นอกเต๊นท์แบบมีผ้าใบบังฝนนั่งด้วย ขอบพระคุณในความกรุณาของพี่ๆต่อพวกเราเด็กตาดำๆค่ะ ^/\^ เหมือนชีวิตจะแฮปปี้ประการฉะนั้นแล แต่ไม่ค่ะ! คือฝนมันเทลงมาหนักขึ้น น้ำก็ไหลเข้าผ้าใบสิคะ ทีนี้คือแบบไม่ว่าใครก็ใครคงต้องระเห็จกลับไปอยู่ในเต๊นท์ตัวเองแล้วล่ะค่ะ เศร้า TT^TT
อ้อ! ลืมเล่าไปค่ะ คือเราไปกัน 7 คนใช่มั๊ยคะ มีเต๊นท์ 3 หลัง ปรากฎว่ามีหลังนึงรั่วค่ะ น้ำเข้าทั้งจากข้างบนแล้วก็ข้างล่าง เพื่อนเราคนนึงเลยต้องนอนน้ำท่วมอยู่ในเต๊นท์ เศร้าแทน ถือว่าเป็นประสบการณ์ละกันนะ โชคดี~ บาย~ ฮ่าๆ
เนื่องจากฝนตก ไม่มีอะไรทำ และเหนื่อยมาก~ ทุกคนก็เลยสลบไสลกันอยู่ในเต๊นท์ตั้งแต่ตอนนั้นเลยค่ะ เพราะดูท่าฝนตกแบบนี้คงจะไม่ได้ขึ้นไปยอดเขาแล้วเย็นนี้ แย่จัง~ TT^TT
ยังไม่จบนะคะ เดี๋ยวมาต่อ~
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น