คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 25
หลักอิทัปปัจจยตา คือ หลักแห่งเหตุ และผล ว่าทุกๆ สิ่งนั้น ล้วนมีเหตุ มีปัจจัย เพราะมีสิ่งเหล่านี้ จึงทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้
เช่น ท้องฟ้ามืด เพราะพระอาทิตย์ตก
หลักอิทัปปัจจยาตา เป็นภาคขยายของ ปฏิจจสมุปปบาท
ปฏิจจสมุปบาท อธิบายถึง การเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลายเพราะอาศัยกัน, การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันจึงเกิดมีขึ้น เช่น ทุกข์เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัย 12 เรื่องเกิดขึ้นสืบ ๆ เนื่องกันมาตามลำดับดังนี้ คือ
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี
เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปทานจึงมี
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี
เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี
เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมี
http://www.chatchawan.net
กฎของเมอร์ฟี่ คือ หลักของความน่าจะเป็น จากเหตุที่เป็นอยู่ ถ้ามีโอกาสที่จะเกิดผลที่ผิดพลาด เราก็มักจะสังเกตุเห็นมัน
ในภาคขยายของกฎนี้ ก็คือ ถ้ามีโอกาส ที่เหตุการณ์บางอย่างจะเกิด มันจะเกิดขึ้น ()
ในหนัง Interstellar พระเอกปลอบลูกสาวว่ามันไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องผิดพลาดเสมอไป
เป็นการปูพื้นฐานสำคัญของหนังว่า ถ้ามีโอกาสที่จะช่วยโลกได้ มันก็จะมีทางที่จะทำให้เกิดขึ้นได้เสมอ
แม้ว่าตัวแปรสำหรับแก้สมการแรงโน้มถ่วงอยู่ด้านหลัง Singularity พระเอกยังไปค้นพบได้เลย ส่งกลับมาได้ด้วย
สรุป
หลักอิทัปปัจจยตา เพราะ เหตุ เพราะ A จึงมีผลเป็น B
กฎของเมอร์ฟี่ จากเหตุ A แล้วมีโอกาสที่ผลจะเป็น B หรือ C เรามักจะให้ความสนใจกับผลที่เป็น B ที่ผิดข้อผิดพลาด
หลายๆ คนมักทำตามกฎของเมอร์ฟี่
คิดว่า การทำดี แล้ว ไม่ได้ดี เพราะมองแต่ผลที่ไม่ดี ไม่ได้มองว่า ผลของความดี มันยังมาไม่ถึง
ถ้าเราชื่อในหลักอิทัปปัจจยตา จะพบว่า ทำดีแล้วได้ดี ทำชั่วแล้วได้ชั่ว เสมอ (ได้เมื่อไหร่ไม่รู้แต่ได้แน่ ถึงไม่ได้ชาตินี้ ก็ได้ชาติหน้า)
เช่น ท้องฟ้ามืด เพราะพระอาทิตย์ตก
หลักอิทัปปัจจยาตา เป็นภาคขยายของ ปฏิจจสมุปปบาท
ปฏิจจสมุปบาท อธิบายถึง การเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลายเพราะอาศัยกัน, การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันจึงเกิดมีขึ้น เช่น ทุกข์เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัย 12 เรื่องเกิดขึ้นสืบ ๆ เนื่องกันมาตามลำดับดังนี้ คือ
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี
เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปทานจึงมี
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี
เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี
เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมี
http://www.chatchawan.net
กฎของเมอร์ฟี่ คือ หลักของความน่าจะเป็น จากเหตุที่เป็นอยู่ ถ้ามีโอกาสที่จะเกิดผลที่ผิดพลาด เราก็มักจะสังเกตุเห็นมัน
ในภาคขยายของกฎนี้ ก็คือ ถ้ามีโอกาส ที่เหตุการณ์บางอย่างจะเกิด มันจะเกิดขึ้น ()
ในหนัง Interstellar พระเอกปลอบลูกสาวว่ามันไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องผิดพลาดเสมอไป
เป็นการปูพื้นฐานสำคัญของหนังว่า ถ้ามีโอกาสที่จะช่วยโลกได้ มันก็จะมีทางที่จะทำให้เกิดขึ้นได้เสมอ
แม้ว่าตัวแปรสำหรับแก้สมการแรงโน้มถ่วงอยู่ด้านหลัง Singularity พระเอกยังไปค้นพบได้เลย ส่งกลับมาได้ด้วย
สรุป
หลักอิทัปปัจจยตา เพราะ เหตุ เพราะ A จึงมีผลเป็น B
กฎของเมอร์ฟี่ จากเหตุ A แล้วมีโอกาสที่ผลจะเป็น B หรือ C เรามักจะให้ความสนใจกับผลที่เป็น B ที่ผิดข้อผิดพลาด
หลายๆ คนมักทำตามกฎของเมอร์ฟี่
คิดว่า การทำดี แล้ว ไม่ได้ดี เพราะมองแต่ผลที่ไม่ดี ไม่ได้มองว่า ผลของความดี มันยังมาไม่ถึง
ถ้าเราชื่อในหลักอิทัปปัจจยตา จะพบว่า ทำดีแล้วได้ดี ทำชั่วแล้วได้ชั่ว เสมอ (ได้เมื่อไหร่ไม่รู้แต่ได้แน่ ถึงไม่ได้ชาตินี้ ก็ได้ชาติหน้า)
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 18
ทำไมศาสนาพุทธถึงเป็นศาสนาวิทยาศาสตร์ เพราะศาสนาพุทธสอนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันมีสาเหตุเสมอ หลักอิทัปปัจจยตา นี่แหละครับ ผมว่าคือหัวใจของศาสนาพุทธเลย
ดังนั้นเมื่อทุกอย่างมีสาเหตุ ศาสนาพุทธเลยบอกว่า เราก็ต้องแก้ที่สาเหตุสิ ดังนั้นคำสอนของศาสนาพุทธจึงเน้นการหาต้นเหตุของปัญหา และเน้นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
ตรงกับแนวคิดของวิทยาศาสตร์ ที่เน้นหาสมมุติฐาน และหาทฤษฏีมาทดสอบสมมุติฐานเหล่านั้น
แต่ปัญหาของศาสนาพุทธก็คือ การเอาเหตุผลมาทำ marketing บางทีมันก็ไม่ mass พอ ตลาดที่ชมพูทวีปมันไปได้ก็จริง แต่พอมาตลาดอื่นละ ? เพราะตลาดอื่นยังนิยมการใช้ ความเชื่อ มาทำ marketing มากกว่า
ดังนั้นศาสนาพุทธเมื่อออกไปเผยแพร่ที่อื่น ก็ต้องปรับตัว หลอมรวมเข้ากับความเชื่อท้องถิ่นนั้นๆ (อย่างไทยก็คือ พุทธ + พราห์ม + ผี) ทำให้บางครั้งเราจะเห็นว่า เรื่องเดียวกันแท้ๆ แต่ศาสนาพุทธของแต่ละประเทศกลับพูดต่างกันไป
ศาสนาพุทธในไทยจึงประกอบด้วย 2 ส่วน part A ที่เป็นวิทยาศาสตร์จ๋า และ part B ที่เป็นความเชื่อล้วนๆ ดังนั้นพอเราเอาศาสนาพุทธมาเคลมว่าเป็นศาสนาวิทยาศาสตร์
ถ้าคนฟังฟังเสร็จไปมอง part B ก็จะบอกว่า "มันวิทยาศาสตร์ตรงไหน ?"
กับอีกกลุ่มที่ฟังเสร็จไปมอง part A ก็จะบอกว่า "เห็นไหม เนี่ยวิทยาศาสตร์เห็นๆ ดังนั้นถ้า part A เป็นวิทยาศาสตร์ part B ก็ต้องวิทยาศาสตร์เหมือนกันสิ เพราะอยู่ในพุทธเหมือนกัน"
ผมว่านะ พุทธกับวิทย์ยังไงก็คุยกันได้ แต่ต้องดูดีๆกว่าคุณหยิบพุทธมาคุยถูก part หรือเปล่า
ดังนั้นเมื่อทุกอย่างมีสาเหตุ ศาสนาพุทธเลยบอกว่า เราก็ต้องแก้ที่สาเหตุสิ ดังนั้นคำสอนของศาสนาพุทธจึงเน้นการหาต้นเหตุของปัญหา และเน้นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
ตรงกับแนวคิดของวิทยาศาสตร์ ที่เน้นหาสมมุติฐาน และหาทฤษฏีมาทดสอบสมมุติฐานเหล่านั้น
แต่ปัญหาของศาสนาพุทธก็คือ การเอาเหตุผลมาทำ marketing บางทีมันก็ไม่ mass พอ ตลาดที่ชมพูทวีปมันไปได้ก็จริง แต่พอมาตลาดอื่นละ ? เพราะตลาดอื่นยังนิยมการใช้ ความเชื่อ มาทำ marketing มากกว่า
ดังนั้นศาสนาพุทธเมื่อออกไปเผยแพร่ที่อื่น ก็ต้องปรับตัว หลอมรวมเข้ากับความเชื่อท้องถิ่นนั้นๆ (อย่างไทยก็คือ พุทธ + พราห์ม + ผี) ทำให้บางครั้งเราจะเห็นว่า เรื่องเดียวกันแท้ๆ แต่ศาสนาพุทธของแต่ละประเทศกลับพูดต่างกันไป
ศาสนาพุทธในไทยจึงประกอบด้วย 2 ส่วน part A ที่เป็นวิทยาศาสตร์จ๋า และ part B ที่เป็นความเชื่อล้วนๆ ดังนั้นพอเราเอาศาสนาพุทธมาเคลมว่าเป็นศาสนาวิทยาศาสตร์
ถ้าคนฟังฟังเสร็จไปมอง part B ก็จะบอกว่า "มันวิทยาศาสตร์ตรงไหน ?"
กับอีกกลุ่มที่ฟังเสร็จไปมอง part A ก็จะบอกว่า "เห็นไหม เนี่ยวิทยาศาสตร์เห็นๆ ดังนั้นถ้า part A เป็นวิทยาศาสตร์ part B ก็ต้องวิทยาศาสตร์เหมือนกันสิ เพราะอยู่ในพุทธเหมือนกัน"
ผมว่านะ พุทธกับวิทย์ยังไงก็คุยกันได้ แต่ต้องดูดีๆกว่าคุณหยิบพุทธมาคุยถูก part หรือเปล่า
แสดงความคิดเห็น
Interstellar กฎของเมอร์ฟี่ใกล้เคียงกับหลักอิทัปปัจจยตาของพระพุทธเจ้าหรือไม่
ดังนั้น ในทางพุทธศาสนาจึงปฏิเสธเหตุบังเอิญว่าจะเกิดขึ้นได้โดยไม่มีเหตุปัจจัย เพราะแม้แต่เรื่องบังเอิญที่พวกเราอาจเห็นกันว่ามันช่างบังเอิ๊นบังเอิญเสียเหลือเกิน ก็ย่อมจะต้องมีเหตุปัจจัยให้มันมองดูเหมือนกับว่าบังเอิญเช่นนั้น
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ทางพุทธศาสนาปฏิเสธ "the first cause" คือไม่มีอะไรที่เป็นเหตุแรกลอยๆ เกิดขึ้นเฉยๆ โดยไม่มีเหตุปัจจัยก่อให้เกิด
การเกิดของ Big Bang ก็ย่อมจะไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ ในมุมมองของพุทธศาสนา แต่ย่อมจะต้องมีเหตุปัจจัยย้อนหลังสืบสาวไปได้อีกเรื่อยๆๆๆ ฉะน้น ในทางพุทธศาสนา กาลเวลานั้นย้อนหลังขึ้นไปก่อน big bang นี่หลายล้านๆ เท่า และมี big bang เกิดขึ้นมาแล้วนับไม่ถ้วน เกิด-ดับ-เกิด-ดับ-เกิด-ดับ อยู่เช่นนี้ เวลาในทางพุทธศาสนาจึงยาวนานเป็นหลายอสงไขย และมีพระพุทธเจ้าเกิดก่อนหน้านี้และตรัสรู้นิพพานไปแล้วหลายล้านๆๆ พระองค์จนนับไม่ถ้วน
แต่กฎของเมอร์ฟี่ บอกว่า อะไรที่สามารถจะผิดพลาดได้ ก็จะผิดพลาดได้ หรืออะไรจะเกิดขึ้นได้ ก็ย่อมจะเกิดขึ้นได้
ขอเชิญนักวิทยาศาสตร์อธิบายต่อครับ