ชีวิตนักศึกษา/คนไทยในนิวซีแลนด์ กว่าจะถึงฝั่งฝัน

กำลังจะพยายามเขียนข้อมูลบางส่วนเพิ่มเติมหลังจากเดินทางมากลับมาเป็นครูที่เมืองไทยอยู่สามปีกว่าและคงได้กลับไปใช้ชีวิตที่นิวซีแลนด์อีกครั้งหวังว่าอีกไม่นานครับ
-----------
เอาเรื่องเดิมที่เคยเขียนไว้ตอนแรกมาลงไว้เมื่อสามสี่ปีที่แล้วก่อนเดินทางกลับมาทำงานในเมืองไทย มาลงอีกครั้งครับ
..........................
ตอนที่หนึ่ง

ผมเป็นเด็กบ้านนอก ได้มีโอกาสเข้ามาเรียนกรุงเทพฯ ด้วยความคิดกว้างไกลของพ่อแม่ ชีวิตที่จำได้อยากเดินทางไกลไปเมืองนอก อุตส่าหเก็บเงินไปเรียน เอ ยู เอ ทำงานโรงแรม ดิ้นรนทุกวิธีทางที่จะไปเมืองนอก สุดท้ายก็ได้ทำตามฝัน ผมถือว่าความสำเร็จไม่ใช่อยู่ที่การก้าวไปถึงฝั่งฝัน แต่เป็นการได้ทำตามความฝัน ถึงหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็น แต่ทำตามฝันเต็มที่แล้วหรือไม่ นั่นต่างหากที่สำคัญ

เรื่องที่จะเล่าเป็นประสบการเล็ก ๆ ของคนที่มาจากการไม่มีอะไร และได้ทำตามฝันตัวเอง ชีวิตยังอยู่ห่างไกลจากความสำเร็จของสิ่งที่คิดไว้ แต่ก็พอใจว่าได้ทำเต็มที่แล้ว เรื่องที่เล่าอาจเป็นประโยชน์สำหรับคนที่คิดแบบเดียวกัน คือเดินทางไกล ไปเผชิญโชค ที่แตกต่างจากประสบการณ์คนอื่น ๆ คือเป็นการเดินทางไกลสองรอบของคนที่มีอายุเกินสี่สิบแล้วในรอบแรก และเดินทางรอบสองตอนอายุใกล้จะห้าสิบแล้ว และพ่วงครอบครัวไปด้วยทั้งสองรอบ อุปสรรคย่อมมากกว่าเดินทางคนเดียว เพราะไม่ใช่การเดินทางที่เรียกว่า travel light คือเป็นการเดินทางแบบเบา ๆ แต่เป็นการเดินทางไปกับครอบครัวจะมีภาะหนักอึ้งด้วยไร้ปัจจัยหรือทุนรอนซึ่งต้องไปหาเอาข้างหน้า บันไดแต่ละขั้นกว่าจะผ่านก็หนักหนาสาหัส ทั้งการเรียน ทำงาน ครอบครัว แต่ขณะเดียวกันภาระก็เป็นกำลังใจที่พร้อมจะร้องให้ไปด้วยกันและให้หลังพิงกันและกัน ในทุกสิ่งมีสองด้านเสมอ แล้วแต่เราจะเลือกมองมุมไหน

เริ่มต้นการเล่าประวัติตัวเองก่อน และจะลงรายละเอียดในเรื่องอื่น ๆ ความตั้งใจไม่ใช่เพื่อเขียนเรื่องตัวเองแต่เพื่อถ่ายทอดชีวิตคนไทยที่ต้องดิ้นรนมาอยู่เมืองนอก หลายคนที่นี่ที่ยังเป็น "ผี" คืออยู่ในฐานะคนเข้าเมืองที่ผิดกฎหมาย แต่ทำงานสร้างรายได้ส่งเสียครอบครัว เขาคิดอย่างไร เขาใช้ชีวิตอย่างไร อาจเป็นอุทาหรณ์ดลบันดาลใจให้หลายคนที่หมดแรงสู้ได้รู้ว่าทางเลิอกชีวิตมีจริง ขออย่าเดียว อย่าหมดแรงใจ 

นโปเลียน-จักรพรรดิชื่อก้องโลกผู้เคยครอบครองหนึ่งหนึ่งของยุโรปเคยกล่าวไว้ว่า
แม้ข้าพเจ้าสิ้นแล้วแห่งอำนาจจักรพรรดิ
แม้โยเซฟิน (ผู้หญิงที่นโปเลียนรักที่สุด) ต้องจากข้าพเจ้าไป
แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าจะไม่ยอมสูญเส่ียให้ใครไปเป็นอันขาด
สิ่งนั้นคือกำลังใจ

ถ้าท่านคิดจะสร้างอนาคต คนจะมีอนาคตต้องรู้จักสร้างฝันและสร้างความหวัง สิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยกำลังใจ เรื่องที่จะเขียนหวังไว้ว่าคงชื่นชูให้กำลังใจใครบางคนได้เดินทางตามฝัน แค่นี้นั้นก็ถือว่าการเปิดบล็อกเขียนเรื่องนี้ก็สำเร็จตามวัตถุประสงคฺ์แล้ว 

เรื่องที่เล่าคงไม่ใช่เรื่องสำราญหรือความสุขสำหรับคนที่มีความพร้อมทางครอบครัว ทรัพย์สินเงินทอง ที่คิดจะเดินทางไปนิวซีแลนด์ แต่มุ่งเป้าไปที่ผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์แต่ตั้งความหวังไว้ไกล ดังนั้นเนื้อหาหลักจะไม่เน้นเรืองการชอปปื้ง หรือแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งจะเขียนในโอกาสหลังครับ

เกี่ยวกับผู้เขียน
เกิดที่ตำบลเล็ก ๆ ในอำเภอเล็ก ๆ ใน จ.นครศรีธรรมราช ในครอบครัวใหญ่ที่พ่อแม่เป็นครู พี่น้องเจ็ดคน เริ่มเรียนประถม 1-3 ที่โรงเรียนบ้านเกิด ครอบครัวย้ายเข้ากรุงเทพตอนอายุได้สิบปี เข้าเรียนต่อ ป. 4 โรงเรียนแถว ๆ ถ. เพชรบุรีตัดใหม่ ที่แม่ย้ายมาเป็นครูสอนอยู่ที่นี่ ปากทางเข้าโรงเรียนเป็นร้านสุกี้ชื่อดัง เรือนเพชรสุกี้ จบ ป 7 ก็ข้ามฟากถนนเพชรบุรีตัดใหม่ไปลงเรือข้ามคลองแสนแสบ เดินผ่าน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เข้ารั้วมัธยมสาธิตประสานมิตร จบแค่ มอศอ 4 สอบเทียบมอปลายได้ เอ็นท์ติดสงขลานครินทร์แต่ไม่มีเงินเรียนก็เลยเรียนรามรุ่น 8 ปี 2522 เรียนสามปีได้เป็นบัญฑิตคณะรัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แล้วเข้าต่อโทฯ ที่ธรรมศาสตร์ เรียนอยู่เจ็ดปี ไม่จบ ถูกถอดชื่อจากสถานภาพนักศึกษา เพราะมัวใช้ชีวิตสำราญในการทำงานโรงแรม รออยู่หลายปีไปสมัครโทฯ ต่อที่ ม. เกษตรศาสตร์ ภาควิชาภาษาศาสตร์ประยุกต์ ในคณะมนุษยศาสตร์ (ตอนที่มีครอบครัวและมีลูกหนึ่งคนแล้ว) จบโทจากเกษตรได้พักหนึ่ง สอบชิงทุนรัฐบาลนิวซีแลนด์ผ่านกรมวิเทศสหการไปศึกษาต่อ ป. โท สาขาบริหารกลยุทธ์ ที่ University of Waikato เมือง Hamilton ตอนอายุได้ 40 ปี เรียนอยู่สองปีครึ่ง จนจบกลับมาทำงานใช้ทุนรัฐบาลอีกห้าปีและสมัครไปเรียนต่อปริญญาเอก สาขาการท่องเที่ยวและการโรงแรม ที่มหาลัยเดิม ด้วยทุนตัวเอง โดยเอาเงินนที่ได้ทั้งหมดจาก Early Retire ไปเสี่ยงชีวิตเป็นนักศึกษาเมืองนอกเรียนอยู่หกปีจนจบ เริ่มต้นเรียน ป.เอก อายุ 48 เรียนจบอายุ 54 ปี  ข้อสรุปเรื่องการเรียนคือถ้าตั้งใจจริงอายุไม่ใช่ประเด็น 

ผ่านการทำงานมาหลากหลายตั้งแต่กระเป๋ารถเมล์ ขสมก. ตอนอายุ 15-16 ปี เข้าทำงานจริง ๆ จัง ๆ ที่โรงแรมแถวซอยนานา สุขุมวิท ซอย 4 เป็น ยาม รูมบอย รูมเซอร์วิส ซุปเปอร์ไวเซอร์ พนักงานรับโทรศัพท์ พนักงานต้อนรับ ย้ายไปทำงานโรงแรมห้าดาวชื่อดังแถวสีลม เป็นหัวหน้าพนักงานรักษาความปลอดภัย ได้งานพนักงานรัฐวิสาหกิจครั้งแรกที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในตำแหน่งวิทยากร 3 ทำงานส่งเสริมการท่องเที่ยวเยาวชน ผู้สูงอายุ เดินทางทั่วไทยร่วมคณะไปอบรมให้ความรู้ด้านการท่องเที่ยวแก่นักเรียนมัธยมทั่วประเทศ ชีพจรลงเท้าต้องย้ายงานไปเป็นข้าราชการ ตำแหน่ง นักการข่าว 3 อยู่สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี อยู่ที่นี่ได้ปีเดียว ย้ายงานและไปจบลงที่รัฐวิสาหกิจที่ให้บริการโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ที่ตั้งบนถนนแจ้งวัฒนะ ตำแหน่งวิทยากร 3 ทำงานประสานกิจการระหว่างประเทศ ตำแหน่งสุดท้ายคือผู้จัดการส่วน พบรัก แต่งงาน มีครอบครัว คิดว่าจะปักหลักที่นี่จนเกษียณ แต่ชะตาชีวีตต้องหักเหเมื่อสอบชิงทุนศึกษาต่อได้จึงต้องเดินทางต้องมาเรียนและใช้ชีวิตที่นิวซีแลนด์ ผ่านงานหลายหลาย เช่น พนักงานพาร์ทไทม์ขับรถบรรทุกรับส่งของระหว่างเมือง  พนักงานจัดของเข้าชั้นในห้างสรรพสินค้า พนักงานเก็บค่าจอดรถประจำลานจอดรถสถานคาสิโนของเมือง เพื่อนชวนเปิดร้านอาหารไทย ทำงานเป็นเด็กเสริฟ พ่อครัว(จำเป็น) ย้ายไปเป็นผู้จัดการร้านอาหารไทยริมหาดชื่อดังเมืองโอ้คแลนด์ ลาออกมาทำงานเป็น Hostel Manager ที่โรงแรมเล็ก ๆ กลางเมือง Auckland กลับมา Hamilton เมืองที่ตั้งมหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่ ด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนคนไทยที่แต่งงานกับฝรั่ง ได้เป็นผู้จัดการร้านอาหารไปผสมฝรั่ง ได้รบความช่วยเหลือจากเพื่อนดี ๆ หลายคน ไปเปิดร้าน takeaway (ขายอาหารตามสั่ง) จนเรียนจบ กล้บมาทำงานเป็นครูอยู่เมืองไทยสามปีกว่า 

บทสรุปของชีวิตคือ ทิ้งอดีตไว้ในอดีต วาดฝันให้ไกล และต้องไปตามฝันโดยใช้ passion หรือความหลงไหลใฝ่ฝันเป็นแรงบันดาลใจสู่ธงชัยแห่งชีวิต การต่อสู่ย่อมมีบาดแผลเสมอ เคยคบเพื่อนมามากมาย เพื่อนหลายคนก็ห่างหายเลิกคบไปก็มีโดยเฉพาะตอนใช้ชีวิตใต้อิทธิพลอบายมุข เป็นอุทาหรณ์สอนใจไม่ให้ประมาทก้บการใช้ชีวิต และปรับปรุงตัวเอง ที่สำคัญคือต้องรับความผิดพลาดที่ก่อขึ้น ยอมรับตัวตนของตนเอง ยอมรับข้อบกพร่องของตัวเอง และอภัยตัวเองให้ได้ก่อนจะเดินก้าวต่อไป รู้แต่จุดแข็งตัวเองแต่ไม่รู้จุดอ่อนตัวเองโอกาสสำเร็จอาจเป็นศูนย์

................................
ขอเอาตอนที่เขียนไว้นานแล้วลงต่อครับ
........................
ตอนที่สอง

คุณพ่อของผมเคยแต่งกลอนไว้บทหนึ่งมีความว่า

ก่อนอรุณจะรุ่งแจ้งแสงทองสาด
นภากาศจะมืดมิดทุกทิศา
พ้นความมืดแสงทองจึงส่องมา
ดุจชีวาทั้งผองของมวลชล
ก่อนสบสุขทุกข์ระทมจะโถมทับ
ผิดหวังนับไม่น้อยร้อยร้อยหน
หากผู้ใดใครหมดความอดทน
ไม่อาจพ้นพบแสงแห่งอรุณ

ย้อนกลับมาเรื่องก่อนเดินทางมานิวซีแลนด์ ผมบังเอิญโชคดีได้มีโอกาสทำงานในโรงแรมในกรุงเทพฯ เริ่มทำงานครั้งแรกตอนจบ มอศอสี่จากสาธิตประสานมิตร ตำแหน่งแรกคือพนักงานรักษาความปลอดภัย ภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่รักแต่ก็เป็นยาขม เพราะเป็นสิ่งที่ต้องใช้ความอดทนอย่างยิ่ง ผมซื้อดิกชันนารีของสอ เสถบุตรติดกระเป๋ากางเกง เวลาว่างก็เปิดออกมาท่อง กะไว้จะท่องไปเรื่อย ๆ แต่ไม่เคยสำเร็จเกินหน้าแรกสักที วันทำงานวันแรกขณะทำหน้าที่อยู่ในลอบบี้โรงแรม มีแขกต่างชาติฝรั่งคนหนึ่งลงจากแทกซี่วิ่งพรวดพราดเข้ามาในโรงแรม พอเจอหน้าผม เขาก็ถามขึ้นมาทันทีว่า

Where is the toilet?

มันคืออะไรหว่า ขออภัย ผมไม่เข้าใจความหมายของคำสุดท้ายจริง ๆ แต่กลัวว่าใคร ๆ จับตามองอยู่ก็เลยชี้โบ้ยชี้บ้ายทำนองว่าได้ที่ที่ถามถึงน่ะอยู่ข้างใน ฝรั่งคนนั้นวิ่งพรวดไปทางลิฟท์ที่ผมชี้ทางให้ สักพักก็วิ่งพรวดหน้าแดงกลับมาที่รีเซฟชั่น พนักงานรีเซฟชั่นก็บอกทางให้ ฝรั่งคนนั้นก็วิ่งไปตามทางที่เขาบอก ผมเพิ่งรู้วันนั้นเองว่าไอ้ทอยเล็ท (toilet) มันคือห้องน้ำนี้เอง

เรื่องตลกเกี่ยวกับความน่าอับอายในการใช้ภาษาของมีมากมายจารไนยไม่ไหว ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นสักเดือน ผมเป็นกระเป๋ารถเมล์ ขสมก. (กระเป๋ารถเมล์นักเรียน) ใส่ชุดนักเรียนบอกชื่อโรงเรียนต้นสังกัดอย่างเรียบร้อย สาธิตประสานมิตรเป็นโรงเรียนมีชื่อระดับต้น ๆ เพื่อนรุ่นพี่เป็นนักการเมืองใหญ่ รุ่นเดียวกันก็เช่นกัน รุ่นน้องก็เป็นนางสาวไทย ผมทะลึ่งสอบเข้าเรียนได้โรงเรียนดีแต่ความพร้อมไม่มี ก็เลยน่าจะเป็นที่อับอายของเพื่อน ๆ อยู่พอสมควรที่เห็นเพื่อนร่วมโรงเรียนมาทำอาชีพกระเป๋ารถเมล์ ย้อนกลับมาเรื่องภาษาอังกฤษ ตอนนั้นผมเป็นกระเป๋าสาย 36 วิ่งระหว่างดินแดง สี่พระยา พอรถวิ่งถึงหน้ามาบุญครองก็มีฝรั่งคนหนึ่งขึ้นมา เขาถามผมประมาณว่ารถคันนี้ไปหัวลำโพงหรือเปล่า ผมก็เอ้อเอ้ออ้ออ้อ yes ไปเรื่อย นี่คือนิสัยคนไทยหรือเรียกว่าคนเอเซีย คือเสียหน้าไม่ได้ คำศัพท์ฝรั่งคือ lose face ดังนั้นเรื่องจะตอบว่า sorry I don't understand you หรือ  I don't get what you mean จึงไม่ออกจากปากคนไทย สรุปทำให้ฝรั่งงงคือเขาเข้าใจว่าเราเข้าใจคำถามเขา ได้มาเรียนเมืองนอกจึงต้องฝึกว่าอันไหนไม่เข้าใจก็อย่าได้ทำท่าว่าเข้าใจ เพราะทำให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่ อยู่เมืองนอก ไม่เข้าใจก็ต้องบอกว่าไม่เข้าใจ อันนี้เป็นบทเรียนที่จะได้เล่าต่อไป ย้อนกลับมาตอนที่ฝรั่งถามและผมตอบไปทำให้ฝรั่งเข้าใจว่ารถจะวิ่งไปหัวลำโพง แต่พอรถวิ่งผ่านจุฬาฯ แต่ไม่ได้เลี้ยวขวาไปทางหัวลำโพง ฝรั่งลุกพรวดพราดจากท้ายรถเดินมาหน้ารถแล้วมาถามผมทำนองว่าไหงยูบอกว่ารถคันนี้จะไปหัวลำโพงแล้วทำไมไม่เลี้ยวขวาล่ะ ผมเองก็อื้ออื้ออึงอึง พูดทำอะไรไม่ถูก ฝรั่งก็ตบหัวป๊าบเข้าให้ ผมงี้หน้าแดงด้วยความอาย มีนักศึกษาจุฬาฯ คนนึงทนไม่ได้ก็เลยถามฝรั่งว่าจะไปไหนและก็แนะทางให้ ผมฝังใจจำแม่นเลยว่าการไม่รู้ภาษาต้องเสียค่าโง่ถูกตบศีรษะฟรี ผมทั้งแค้นทั้งเคือง และตั้งใจว่าเราต้องเก่งภาษาอังกฤษให้ได้ นี่เป็นแรงผลักดันอันสูงสุดให้ผมมุ่งเรียนภาษาอังกฤษอย่างหนักในเวลาต่อมา 

เมื่อโตขึ้นผมจึงเข้าใจเจตนาของฝรั่งคนที่ผมแปลเจตนาว่าตบหัวเป็นการดูถูก ในภายหลังเมื่อมีประสบการณ์ชีวิตมากขึ้น ผมมาเข้าใจว่าวัฒนธรรมฝรั่งการสัมผัสศีรษะ หรือจับหัว/ผลักหัวถือเป็นการล้อเล่นในฐานะเพื่อน แต่คนไทยถือสามากเรื่องนี้ ผมเคยเห็นนักท่องเที่ยวอาหรับสองคนเถียงกันหน้าดำหน้าแดงแบบหน้าเกือบชนหน้า แต่จะไม่มีการสัมผัสทางกายเด็ดขาด มาเข้าใจตอนหลังว่ากฎหมายมุสลิมนั้นรุนแรง ใครลงมือทำร้ายใครอาจโดนตัดมือได้ จึงมีแต่การเถียงแต่ไม่โดนตัว ผมเคยเห็นแขกชาวอาหรับที่เป็นผู้โดยสารเถียงกับคนขับแทกซี่ แขกอาหรับยื่นหน้าเข้าใกล้ตะคอกแท็กซี่คนไทย คนไทยต่อยตูม สลบคาหมัดเลย เพราะอาหรับไม่ได้เตรียมต่อสู้และคาดไม่ถึงว่าจะถูกทำร้าย ธรรมเนียมที่ต่างกันที่ยกมานี้จะเป็นปัญหาในการปรับตัวเวลาไปทำงานเมืองนอก ผมเคยมีประสบการณ์ครั้งหนึ่งที่เกือบทำให้เกิดอุบัติเหตุเรื่องวิวาทอาจถึงชีวิตได้ คือเรื่องการให้สัญญาณไฟให้ทางของคนไทยกับฝรั่งนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ของไทยเปิดไฟสูงคือไม่ให้ทาง ของกีวีคือเป็นการให้ทาง เขาเห็นเราให้ทางก็ออกพรวดมา หลบกันแทบไม่ทัน ฝรั่งยกนิ้ว (ด่า) ให้เลย เกือบได้วางมวยกัน (เนื้อที่หมด ค่อยมาเขียนเล่าต่อครับ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่