ป.ป.ช. โดนย้อนศรเรื่องสองมาตรฐานเข้าให้อีกแล้ว หลังจากที่พยายามผลักดันให้
สนช.ถอดถอนคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีเพิกเฉยไม่ยับยั้งความ
เสียหายในโครงการรับจำนำข้าว ทั้งยังงัดข้อกับอัยการโดยต้องการเร่งรัดให้สั่งฟ้อง
คดีดังกล่าวต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
พรรคเพื่อไทยหยิบยก คดีองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.)
ในยุครัฐบาลคุณชวน หลีกภัย มาเทียบเคียงกับคดีจำนำข้าว เพราะกรณี ปรส.
ทำให้ประเทศเสียหายถึงกว่า 6 แสนล้านบาท อีกทั้งรัฐบาลในขณะนั้นยังไป
ค้ำประกันเงินฝากของสถาบันการเงิน 56 แห่ง
รวมแล้วต้องชดใช้เงินถึง 1.4 ล้านล้านบาท ซึ่งทุกปีรัฐบาลต้องเอาเงินงบประมาณ
6 หมื่นล้านบาทไปชำระหนี้ เป็นอย่างนี้มาตลอดสิบกว่าปีแล้ว
คุณสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล แกนนำพรรคเพื่อไทย ข้องใจทำไม ป.ป.ช.ไม่ดำเนิน
คดีกับผู้บริหารในยุคนั้นบ้าง
ผมขอลำดับความคดี ปรส.ให้ฟังคร่าวๆ หลายคนอาจลืมไปแล้ว ปี 2540 ก่อนที่จะ
ลอยตัวค่าเงินบาท ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เอาเงินทุนสำรองระหว่าง
ประเทศไปสู้กับกองทุนข้ามชาติขนาดใหญ่ที่เข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาท มันก็เหมือน
ลูกแกะเจอหมาป่า ไม่มีทางสู้ได้ สุดท้ายต้องสูญเงินสำรองไปหมด เกิดวิกฤติ
เศรษฐกิจจนต้องมีการสั่งปิดสถาบันการเงิน 56 แห่ง และเอาทรัพย์สินมาประมูลขาย
ทอดตลาด
ทรัพย์สินกว่า 8 แสนล้านบาทที่นำมาประมูล มีการจัดกองทรัพย์สินขั้นต่ำ 5 พันล้านบาท
อ้างว่าในภาวะเศรษฐกิจอย่างนั้นคนไทยคงไม่สามารถหาเงินมาค้ำประกันได้ จึงต้องดึง
เงินต่างชาติมาลงทุน แต่ปรากฏว่าต่างชาติกลับระดมทุนในประเทศไทยมาประมูลซื้อใน
ราคาถูก
จากมูลค่าทรัพย์สิน 8 แสนล้านบาทถูกขายไปในราคาเพียง 2 แสนล้านบาท แล้วต่างชาติ
ก็มาเอาทรัพย์สินเหล่านั้นมาซอยแบ่งขายให้คนไทยในราคาแพง เท่ากับเป็นตัวกลางกิน
ส่วนต่างไปพุงปลิ้น
ที่ร้ายยิ่งกว่านั้นมีข้อมูลหนึ่งที่ คุณพิชัย นริพทะพันธุ์ ทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า
เป็นเรื่องจริง คือนายแบงก์ใหญ่ของไทยในยุคนั้นถูกบีบไม่ให้เข้าร่วมประมูลด้วย หนำซ้ำ
ปรส.ยังอนุญาตให้ผู้ชนะประมูลนำกองทุนรวมที่จัดตั้งขึ้นใหม่มาเซ็นสัญญาแทนได้ ทั้งที่
เลยกำหนดวันเซ็นสัญญาไปแล้ว ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ออกกฎหมายเอื้อประโยชน์แก่กองทุน
รวมเหล่านี้ โดยงดเว้นภาษีเงินได้จากการซื้อขายทรัพย์สิน ท่ามกลางกระแสข่าวมีนักการเมือง
หลายคนในรัฐบาลแอบไปร่วมลงทุนกับกองทุนรวม และฟาดผลประโยชน์ไปมหาศาล
ข่าวจริงหรือข่าวลือ ถ้า ป.ป.ช.อยากรู้ก็สามารถใช้อำนาจตามกฎหมายเข้าไปตรวจสอบย้อน
หลังได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะทำจริงจังหรือเปล่า
สิ้นเดือนนี้คดี ปรส.จะหมดอายุความแล้ว เคยมีกรรมการ ป.ป.ช.คนหนึ่งประกาศจะไม่ยอมปล่อย
ให้คดีนี้หมดอายุความไปเฉยๆ ผมจะรอดูว่าในเมื่อผู้บริหาร ปรส.ถูกตัดสินว่ามีความผิด แล้วคน
ในรัฐบาลที่ออกกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้ต่างชาติ ทำให้ประเทศไทยเสียหายยับเยิน จะถูกดำเนิน
คดีหรือไม่
ถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์มาตรฐานของ ป.ป.ช.
ลมกรด
http://www.thairath.co.th/content/463670
ปรส.กับจำนำข้าวโดย ลมกรด ....ไทยรัฐออนไลน์ .... เชิญกูรู ทั้ง 2 กรณี สนทนา .... sao..เหลือ..noi
สนช.ถอดถอนคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีเพิกเฉยไม่ยับยั้งความ
เสียหายในโครงการรับจำนำข้าว ทั้งยังงัดข้อกับอัยการโดยต้องการเร่งรัดให้สั่งฟ้อง
คดีดังกล่าวต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
พรรคเพื่อไทยหยิบยก คดีองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.)
ในยุครัฐบาลคุณชวน หลีกภัย มาเทียบเคียงกับคดีจำนำข้าว เพราะกรณี ปรส.
ทำให้ประเทศเสียหายถึงกว่า 6 แสนล้านบาท อีกทั้งรัฐบาลในขณะนั้นยังไป
ค้ำประกันเงินฝากของสถาบันการเงิน 56 แห่ง
รวมแล้วต้องชดใช้เงินถึง 1.4 ล้านล้านบาท ซึ่งทุกปีรัฐบาลต้องเอาเงินงบประมาณ
6 หมื่นล้านบาทไปชำระหนี้ เป็นอย่างนี้มาตลอดสิบกว่าปีแล้ว
คุณสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล แกนนำพรรคเพื่อไทย ข้องใจทำไม ป.ป.ช.ไม่ดำเนิน
คดีกับผู้บริหารในยุคนั้นบ้าง
ผมขอลำดับความคดี ปรส.ให้ฟังคร่าวๆ หลายคนอาจลืมไปแล้ว ปี 2540 ก่อนที่จะ
ลอยตัวค่าเงินบาท ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เอาเงินทุนสำรองระหว่าง
ประเทศไปสู้กับกองทุนข้ามชาติขนาดใหญ่ที่เข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาท มันก็เหมือน
ลูกแกะเจอหมาป่า ไม่มีทางสู้ได้ สุดท้ายต้องสูญเงินสำรองไปหมด เกิดวิกฤติ
เศรษฐกิจจนต้องมีการสั่งปิดสถาบันการเงิน 56 แห่ง และเอาทรัพย์สินมาประมูลขาย
ทอดตลาด
ทรัพย์สินกว่า 8 แสนล้านบาทที่นำมาประมูล มีการจัดกองทรัพย์สินขั้นต่ำ 5 พันล้านบาท
อ้างว่าในภาวะเศรษฐกิจอย่างนั้นคนไทยคงไม่สามารถหาเงินมาค้ำประกันได้ จึงต้องดึง
เงินต่างชาติมาลงทุน แต่ปรากฏว่าต่างชาติกลับระดมทุนในประเทศไทยมาประมูลซื้อใน
ราคาถูก
จากมูลค่าทรัพย์สิน 8 แสนล้านบาทถูกขายไปในราคาเพียง 2 แสนล้านบาท แล้วต่างชาติ
ก็มาเอาทรัพย์สินเหล่านั้นมาซอยแบ่งขายให้คนไทยในราคาแพง เท่ากับเป็นตัวกลางกิน
ส่วนต่างไปพุงปลิ้น
ที่ร้ายยิ่งกว่านั้นมีข้อมูลหนึ่งที่ คุณพิชัย นริพทะพันธุ์ ทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า
เป็นเรื่องจริง คือนายแบงก์ใหญ่ของไทยในยุคนั้นถูกบีบไม่ให้เข้าร่วมประมูลด้วย หนำซ้ำ
ปรส.ยังอนุญาตให้ผู้ชนะประมูลนำกองทุนรวมที่จัดตั้งขึ้นใหม่มาเซ็นสัญญาแทนได้ ทั้งที่
เลยกำหนดวันเซ็นสัญญาไปแล้ว ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ออกกฎหมายเอื้อประโยชน์แก่กองทุน
รวมเหล่านี้ โดยงดเว้นภาษีเงินได้จากการซื้อขายทรัพย์สิน ท่ามกลางกระแสข่าวมีนักการเมือง
หลายคนในรัฐบาลแอบไปร่วมลงทุนกับกองทุนรวม และฟาดผลประโยชน์ไปมหาศาล
ข่าวจริงหรือข่าวลือ ถ้า ป.ป.ช.อยากรู้ก็สามารถใช้อำนาจตามกฎหมายเข้าไปตรวจสอบย้อน
หลังได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะทำจริงจังหรือเปล่า
สิ้นเดือนนี้คดี ปรส.จะหมดอายุความแล้ว เคยมีกรรมการ ป.ป.ช.คนหนึ่งประกาศจะไม่ยอมปล่อย
ให้คดีนี้หมดอายุความไปเฉยๆ ผมจะรอดูว่าในเมื่อผู้บริหาร ปรส.ถูกตัดสินว่ามีความผิด แล้วคน
ในรัฐบาลที่ออกกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้ต่างชาติ ทำให้ประเทศไทยเสียหายยับเยิน จะถูกดำเนิน
คดีหรือไม่
ถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์มาตรฐานของ ป.ป.ช.
ลมกรด
http://www.thairath.co.th/content/463670