อธิบาย "นิพพาน" ... แบบง่ายๆ (เพื่อความเข้าใจ)

กระทู้สนทนา
พยายามศึกษาหาอ่านเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาแต่ส่วนใหญ่จะใช้คำบัญญัติเยอะหนูไม่ค่อยแม้นเลยค่ะ บางทีก็อ่านไม่ค่อยเข้าใจ เพราะส่วนใหญ่ก็จะดึงมาจากในหนังสือตำรา หรือพระไตรปิฎกแปล

ขออนุญาติโอกาสใช้พื้นที่นี้อธิบายเรื่องนี้แบบภาษาง่ายๆทั่วๆไปนะคะ มีคำอธิบายให้เราเห็นเจอะเจอมาหลากหลายอยู่บ้าง เย็น สงบ หมดไฟกิเลส กับ สูญ ในที่นี้ไม่ได้ตั้งกระทู้เพื่อหักล้างในส่วนของแบบใดๆนะคะ แต่จะขออธิบายเพื่อความเข้าใจถึงกระบวนการเกิดนิพพานนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เพื่อให้เรารู้แจ้งมากขึ้นว่าทำไมมันเกิดขึ้นได่ เกิดได้อย่างไร "" เพราะพุทธศาสนาไม่เคยสอนให้เชื่อเพราะว่าสิ่งนั่นถูกสิ่งนั่นดีเพียงเพราะตำราบอกๆ หนังสือขอบอก หรือพระพุทธองค์บอกไว้ เเต่เราควรจะต้องหาให้เห็น ไปให้รู้ เพื่อเกิดความมั่นใจว่านี่คือทางที่ถูกควรด้วยตัวเองเข้าใจจริงๆ ถึงจะถือว่าดีที่สุด (เพราะเราเองก็ไม่ใช่คนงมงาย และก็ไมาสามารถทำๆตามๆคนอื่นได้หรือเชื่อใครจริงๆได้ว่าสิงไหนดีแลเวถูกแล้วอยู่ดี"เอาตัวเองเป็นเกณต์)  อาจจะใช้ภาษาปัจจุบันเพื่อบุคคลทั่วไปจะสามารถพอจะเข้าใจได้ด้วยเป็นสำคัญนะคะ

ความหมายของ นิพพาน คือ การตัดภพตัดชาติ ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏตะสงสารนี้แล้ว **หลายๆคนอาจจะพอคุ้นกับความหมายนี้อยู่แล้ว ลองมาเข้าใจให้ชัดๆกันดูนะว่ามันคืออย่างไร

#หลายคน(หนูก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น)
เข้าใจไปว่า นิพพาน คือการชดใช้กรรมหมดแล้ว เลยไม่ต้องกลับมาเกิดเพื่อใช้กรรมอะไรแล้ว แต่มันไม่ใช่เลยนะคะ อันนี้ผิด!!!

ถ้าหากใครยังสับสนหรือไม่แน่ใจ เราลองมาทำความเข้าใจกันใหม่พร้อมๆกันนะคะ ^^

กรรมทั้งหมดที่เราเกิดตายเกิดตายมาไม่รู้กี่ภพชาติแล้ว เราต่างทำกรรมต่างๆไว้มากมายเหลือเกินทั้งที่จำได้และจำไม่ได้ เป็นไปได้มากว่าอาจทำมาทุกอย่างแล้วก็ได้ และตามที่เรารู้ว่า
**ทำกรรมดี(บุญกุศล) ก็ย่อมได้รับผลของกรรมดี(บุญ)
**ทำกรรมชั่ว(บาป) ก็ย่อมได้ผลของกรรมชั่ว(วิบากกรรม)

ผลกรรมที่เราได้เคยกระทำจะย้อนกลับมาถึงเราเสมอ ผ่านมายังร่างกาย(ขันท์)ของเรานี้เอง **ด้วยเหตุเพราะร่างกายเป็นตัวรับผลกรรมโดยตรง วิธีที่จะไม่ต้องมาคอยรับผลกรรม หรือความทุกข์นั่นอีก มีวิธีเดียวคือโดย ไม่ต้องมีร่างกายนี้อีกแล้ว ก็คือการตัดโดยการที่เราไม่ต้องเกิดเพื่อจะมีร่างกาย เมื่อเราไม่เกิดมาก็จะไม่มีร่างกายไว้รองรับผลกรรมใดๆ นี่คือทฤษฎีของการของนิพพาน

##@@พระพุทธเจ้าขนาดที่ท่านตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเป็นพระศาสดาแล้ว ท่านยังต้องรับวิบากผลกรรมคืออาการปวดหลังอยู่เสมอระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ และทรงเสร็จดับขันท์ไปด้วยอาการของโรคอาหารเป็นพิษ ทั้งๆที่ท่านก็ตรัสรู้แล้วเข้าถึงนิพพานแล้ว แต่เพียงเพราะว่ายังมีร่างกายนี้ ที่เป็นตัวรับกรรม ยังมีขันท์5อยู่ถึงยังต้องรับผลกรรม ถึงต้องเจ็บต้องป่วยอยู่

ส่วนวิธีการที่จะทำอย่างไรที่จะเป็นทางแห่งนิพพาน หรือการไม่ต้องเกิด ไม่ต้องมีร่างกายมารับผลแห่งกรรมนั่น พระพุทธองค์ทรงให้แนวทางสายตรงสายเดียวคือ "การปฏิบัติตามแนวทางวิปัสสนา"

***วิธีการโดยต้องอาศัย สมาธิและสติ 2อย่างนี้เป็นฐานเพื่อให้เกิดปัญญา (เรียกว่าปัญญาญาณ) โดยใช้แนวทางของสมถะเป็นฐานช่วยให้เกิดปัญญา และจำเป็นต้องมีสติ เพื่อไปเห็นความจริงที่เป็นไป เพื่อยังถึงปัญญาเช่นกัน
#(สมาธิ + สติ = ปัญญา)#

จากสมการแบบนี้(เขียนให้เข้าใจโดยง่าย) เราก็จะสามารถพิจารณาว่าแนวทางที่เราปฏิบัตินั้นเป็นแนวทางที่ถูกที่ควรตามทางสายตรงสายเดียวที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วหรือไหม  ####สมัยพุทธกาลที่พระเทวทัตแยกสำนักออกไปตั้งสำนักตนเองเพื่อจะแข่งกับพระพุทธเจ้า นั้นก็ยังถือว่าสำนักนั้นก็ยังเป็นสำนักแห่งพุทธศาสนา บวชเป็นพระเช่นกัน เป็นนักปฏิบัติเช่นกัน แต่พระเทวทัตก็ยังไม่ใช่โดนตรง ตามประวัติที่กล่าวไว้ว่าพระเทวทัตเก่งกาจในการมีอิทฤทธิ์วิเศษจากสมถะเป็นสำคัญ ซึ่งก็ไม่ไช่หนทางที่แท้จริงของพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้

#จะสมัยนี้หรือสมัยนั้นๆก็มีไม่ต่างกัน เพราะหลากหลายสำนึกแตกออกไป  เพราะเอาเข้าจริงๆ แค่ พุทธ-โท , กับ ยุบหนอ-พองหนอ ก็ต่างกันแล้ว บางทีก็ดูที่ลมหายใจ ให้นิ่ง ให้สงบ อยู่กับอารมณ์เดียวโดยที่ไม่มีสติระลึก  แน่นอนว่าใช้ไม่เหมือนกัน วิถีการปฏิบัติต่างกัน ผลการปฏิบัติและเป้าหมายก็ต่างกันอย่างชัดเจน ก็แล้วแต่ละสำนึก และก็นมนานมาแล้วที่พุทธกับพราหมณ์ถูกรวมกันไปจนแยกออกจากกันยากน่าดู แต่แท้จริงสมาธิ(สมถะ)ก็ถูกนำมาใช้เป็นฐานในการเจริญภาวนะยังถึงวิปัสสนาญาณเท่านั้น
#%#%#%#%%%%"%"%%%%##
---ปฏิบัติแล้วได้ความนิ่ง เงียบ สงบ เห็นนิมิต จดจ่อ เพ่ง ดิ่ง อารมณ์เดียวเท่านี้ เป็นแนวทางของ สมถะ ผลที่ได้คือ กำลังสมาธิ เพียงอย่างเดียว
###สมถะ = สมาธิ = ฌาญ
---วิปัสสนาปฏิบัติเพื่อให้มีจิตใจที่มั่นคง พร้อมด้วยสติจดจ่อไปรับรู้ความเป็นไปที่เกิดขึ้นกับอารมณ์และร่างกายที่เกิดขึ้นจริงขณะนั้นๆ (กาย เวทนา จิต ธรรม) ว่าก็คือการใช้ร่างกายของตัวเองเพื่อเห็นสัจจะธรรมความเป็นธรรมชาติเท่านั้นเอง ผลที่ได้รับคือ กำลังลังสมาธิ และกำลังสติ
###วิปัสสนา = สมาธิ,สติ = ปัญญา = ญาณ (ปัญญาญาณ)
วิถีทางแห่งวิปัสสนานี้จะนำไปเพื่อการเห็นและรับรู้ถึงความเป็นไปในความจริงของทุกข์ กิเลส ตัณหา ร่างกาย ว่าคือความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง หากเมื่อมีกำลังสมาธิและกำลังสติพร้อมถึงแล้ว
ก็จะสามารถเข้าไปรับรู้ความจริงที่พระพุทธองค์ค้นพบและตรัสรู้ถึงนิพพาน เรียกว่าปัญญาญาณ และด้วยปัญญาญาณเหล่านี้ กิเลส ตัณหา ต่างๆก็จะค่อยๆถูกชำระล้างไปเรื่อยๆจนเบาบางลงและหมดไปในที่สุดคือถึงพระนิพพาน

#ปัญญาญาณจะไม่มีการเสื่อมไป จะติดอยู่ในขันท์สันดารของเราอย่างนั้น ซึ่งก็มาตามลำดับขั้นไป ญาณ 1, ญาณ 2 ,ญาณ3 ,4 ....,16 จนถึงพระนิพพาน

ขออภัยนะคะ หากยังอธิบายได้ยังไม่ดีพอหรือตกหล่นตรงไหนอย่างไร หรือใช้คำที่ไม่สมควร ดูอาจจะไม่ได้อิงกับตำรา หรือดึงอ้างอิงหรืออย่างไร ขอระบุออกตัวว่าความเข้าใจนี้เกิดจากการที่ตัวเองมีโอกาสได้ลงมือทำลงมือปฏิบัติเป็นหลัก

หากผิดเพี้ยนหรือผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะคะ ..... ขออนุโมทนาบุญของทุกจิตทุกท่านที่ปรารถนาที่จะยังถึงความดีงาม ถึงบุญกุศล ขอให้ขอให้เราและทุกท่านมีโอกาสยังถึงสัจจะธรรมที่แท้จริงของพระพุทธองค์และเห็นประโยชน์สำคัญในหัวใจของพระพุทธศาสนาด้วยเถิด สาธุๆๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่