โคตรภูญาณ การเปลี่ยนผ่านของจิตจากโลกียะสู่โลกุตตระ
ในพระสูตรใช้ถ้อยคำซ้ำๆ เพื่อเน้นความหมาย ดังนี้
ครอบงำ (ปหาน/วิชย): เช่น ครอบงำความเศร้าโศก ความรำพัน ความคับแค้นใจ และสังขารนิมิตภายนอก
แล่นไป (ปติสันธาวะ): เช่น แล่นไปสู่ความไม่เกิด ความไม่เป็นไป ความดับคือนิพพาน
ออกจาก (นิกขัมมะ/วิเวกะ): เช่น ออกจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บไข้ ความตาย ออกจากกรรม ออกจากปฏิสนธิ ออกจากคติทั้งหลาย
นี่คือภาวะที่จิต ข้ามพ้นโลกียธรรม แล้ว “ตกกระแส” เข้าสู่มรรคผลนิพพานโดยตรง
จากประสบการณ์จริงของนักปฏิบัติ
“ครอบงำนิมิตแล้วแล่นไปสู่อนิมิต” → ภาพอุโมงค์หรือรูหนอนที่พุ่งทะลุไปสู่ความว่าง ความไม่มีนิมิตใดๆ เหลือ
“แล่นไปสู่ความดับคือนิพพาน” → เมื่อสุดทางนั้น ปัญญาจักษุเห็นไตรลักษณ์ เห็นการเกิดดับของสัตว์โลก และที่สุดคือความดับสิ้น
“ออกจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย” → จิตนั้นพ้นจากขันธ์ ๕ และเสวยสุขเวทนาที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้
ผู้ปฏิบัติบางท่านเมื่อเดินวิปัสสนาถึงระดับ สังขารุเบกขาญาณ จะเกิดสภาวะเหมือนถูกแรงดึงเข้าสู่อุโมงค์อย่างรวดเร็ว คล้าย “รูหนอน”
ตรงนี้เป็นภาวะของ การข้ามโคตรภูญาณ คือจิตกำลังเปลี่ยนจากโลกียะเข้าสู่โลกุตตระเหมือน “ช่อง” หรือ “ประตู” ที่จิตก้าวข้ามโลกสมมุติเข้าสู่ความจริงของไตรลักษณ์
เมื่อข้ามเข้าสู่สภาวะนี้ ปัญญาจะไม่ทำงานแบบนึกคิด แต่จะ ปรากฏการเห็นตามจริง (ยถาภูตญาณทัสสนะ)
เห็น ทุกข์: ชีวิตสัตว์โลกเกิดขึ้นแล้วดับไป ญาติพี่น้องลูกเมียสุดท้ายสลายสิ้น
เห็น สมุทัย: เหตุคือ “ตัณหา–ทิฏฐิ” ที่ผูกมัดโลกทั้งหลาย ทำให้วุ่นวายไม่รู้จบ
เห็น อนัตตา: สุดท้ายแม้โลกธาตุและจักรวาลย่อมแตกสลาย เหลือเพียงความว่าง ไม่ใช่ตัวตนถาวร
“จิตหนึ่งดวง” ที่ไม่ติดอดีต ปัจจุบัน อนาคต
ภาวะนี้ตรงกับการเข้าถึงความเป็นอิสระของจิต (วิมุตติ) ไม่มีขอบเขตของกาลเวลาและอวกาศ เป็นภาวะที่ จิตไม่ถูกจำกัดด้วยขันธ์ “จิตเป็นอิสระจากร่างกาย” ไม่ถูกกักขังด้วยกาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
เมื่อจิตพ้นกายและเวลา จะปรากฏ จิตประภัสสร ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน องฺคุตฺตรนิกาย ว่า
“จิตนี้ผ่องใส แต่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสที่จรมาสู่” จิตแท้ไร้นิมิต ไม่ถูกกายหรือความคิดปรุงแต่ง
การเข้าถึงสภาวะนี้ยืนยันว่า การปฏิบัติที่ใช้สมถะเป็นบาทฐานแล้วเจริญวิปัสสนา ย่อมนำไปสู่การรู้แจ้งตามไตรลักษณ์ได้อย่างแท้จริง
จิตเข้าสมาธิ → หดเล็ก → พุ่งผ่านรูหนอน → เข้าสู่ว่าง → จิตประภัสสร → เห็นอนัตตา → กลับออกสู่กายพร้อมปัญญา เข้ากับลำดับ อนัตตานุปัสสนา → โคตรภู → มรรคจิต
“ภาวะข้ามมิติของจิต” ที่ตรงกับโคตรภูญาณและยถาภูตญาณทัสสนะ เป็นการเห็นอนัตตาด้วยประสบการณ์ตรง โดยใช้สมถะเป็นบาทแล้ววิปัสสนาแจ้งขึ้น เมื่อกลับออกมา ปัญญาเปลี่ยนโลกทัศน์ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค [๑. มหาวรรค]
๑. ญาณกถา ๑๐. โคตรภูญาณนิทเทส
ชื่อว่าโคตรภู เพราะครอบงำความเศร้าโศก ชื่อว่าโคตรภู เพราะครอบงำความ
รำพัน ชื่อว่าโคตรภู เพราะครอบงำความคับแค้นใจ ชื่อว่าโคตรภู เพราะครอบงำ
สังขารนิมิตภายนอก
ชื่อว่าโคตรภู เพราะแล่นไปสู่ความไม่เกิดขึ้น ฯลฯ ชื่อว่าโคตรภู เพราะแล่นไป
สู่ความดับคือนิพพาน
ชื่อว่าโคตรภู เพราะครอบงำความเกิดขึ้นแล้วแล่นไปสู่ความไม่เกิดขึ้น ชื่อว่า
โคตรภู เพราะครอบงำความเป็นไปแล้วแล่นไปสู่ความไม่เป็นไป ชื่อว่าโคตรภู เพราะ
ครอบงำนิมิตแล้วแล่นไปสู่อนิมิต ฯลฯ ชื่อว่าโคตรภู เพราะครอบงำสังขารนิมิต
ภายนอกแล้วแล่นไปสู่ความดับคือนิพพาน
ชื่อว่าโคตรภู เพราะออกจากความเกิดขึ้น ชื่อว่าโคตรภู เพราะออกจากความ
เป็นไป ชื่อว่าโคตรภู เพราะออกจากนิมิต ชื่อว่าโคตรภู เพราะออกจากกรรมเป็น
เครื่องประมวลมา ชื่อว่าโคตรภู เพราะออกจากปฏิสนธิ ชื่อว่าโคตรภู เพราะออก
จากคติ ชื่อว่าโคตรภู เพราะออกจากความบังเกิด ชื่อว่าโคตรภู เพราะออกจาก
ความอุบัติ ชื่อว่าโคตรภู เพราะออกจากความเกิด ชื่อว่าโคตรภู เพราะออกจาก
ความแก่ ชื่อว่าโคตรภู เพราะออกจากความเจ็บไข้ ชื่อว่าโคตรภู เพราะออกจาก
ความตาย ชื่อว่าโคตรภู เพราะออกจากความเศร้าโศก ชื่อว่าโคตรภู เพราะออก
จากความรำพัน ชื่อว่าโคตรภู เพราะออกจากความคับแค้นใจ ชื่อว่าโคตรภู เพราะ
ออกจากสังขารนิมิตภายนอก
ชื่อว่าโคตรภู เพราะแล่นไปสู่ความไม่เกิดขึ้น ชื่อว่าโคตรภู เพราะแล่นไปสู่
ความไม่เป็นไป ฯลฯ ชื่อว่าโคตรภู เพราะแล่นไปสู่ความดับคือนิพพาน
ชื่อว่าโคตรภู เพราะออกจากความเกิดขึ้นแล้วแล่นไปสู่ความไม่เกิดขึ้น ชื่อว่า
โคตรภู เพราะออกจากความเป็นไปแล้วแล่นไปสู่ความไม่เป็นไป ชื่อว่าโคตรภู เพราะ
ออกจากนิมิตแล้วแล่นไปสู่อนิมิต ชื่อว่าโคตรภู เพราะออกจากกรรมเป็นเครื่อง
ประมวลมาแล้วแล่นไปสู่ความไม่มีกรรมเป็นเครื่องประมวลมา ชื่อว่าโคตรภู เพราะ
ออกจากปฏิสนธิแล้วแล่นไปสู่ความไม่มีปฏิสนธิ ชื่อว่าโคตรภู เพราะออกจากคติแล้ว
โคตรภูญาณ การเปลี่ยนผ่านของจิตจากโลกียะสู่โลกุตตระ
ในพระสูตรใช้ถ้อยคำซ้ำๆ เพื่อเน้นความหมาย ดังนี้
ครอบงำ (ปหาน/วิชย): เช่น ครอบงำความเศร้าโศก ความรำพัน ความคับแค้นใจ และสังขารนิมิตภายนอก
แล่นไป (ปติสันธาวะ): เช่น แล่นไปสู่ความไม่เกิด ความไม่เป็นไป ความดับคือนิพพาน
ออกจาก (นิกขัมมะ/วิเวกะ): เช่น ออกจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บไข้ ความตาย ออกจากกรรม ออกจากปฏิสนธิ ออกจากคติทั้งหลาย
นี่คือภาวะที่จิต ข้ามพ้นโลกียธรรม แล้ว “ตกกระแส” เข้าสู่มรรคผลนิพพานโดยตรง
จากประสบการณ์จริงของนักปฏิบัติ
“ครอบงำนิมิตแล้วแล่นไปสู่อนิมิต” → ภาพอุโมงค์หรือรูหนอนที่พุ่งทะลุไปสู่ความว่าง ความไม่มีนิมิตใดๆ เหลือ
“แล่นไปสู่ความดับคือนิพพาน” → เมื่อสุดทางนั้น ปัญญาจักษุเห็นไตรลักษณ์ เห็นการเกิดดับของสัตว์โลก และที่สุดคือความดับสิ้น
“ออกจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย” → จิตนั้นพ้นจากขันธ์ ๕ และเสวยสุขเวทนาที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้
ผู้ปฏิบัติบางท่านเมื่อเดินวิปัสสนาถึงระดับ สังขารุเบกขาญาณ จะเกิดสภาวะเหมือนถูกแรงดึงเข้าสู่อุโมงค์อย่างรวดเร็ว คล้าย “รูหนอน”
ตรงนี้เป็นภาวะของ การข้ามโคตรภูญาณ คือจิตกำลังเปลี่ยนจากโลกียะเข้าสู่โลกุตตระเหมือน “ช่อง” หรือ “ประตู” ที่จิตก้าวข้ามโลกสมมุติเข้าสู่ความจริงของไตรลักษณ์
เมื่อข้ามเข้าสู่สภาวะนี้ ปัญญาจะไม่ทำงานแบบนึกคิด แต่จะ ปรากฏการเห็นตามจริง (ยถาภูตญาณทัสสนะ)
เห็น ทุกข์: ชีวิตสัตว์โลกเกิดขึ้นแล้วดับไป ญาติพี่น้องลูกเมียสุดท้ายสลายสิ้น
เห็น สมุทัย: เหตุคือ “ตัณหา–ทิฏฐิ” ที่ผูกมัดโลกทั้งหลาย ทำให้วุ่นวายไม่รู้จบ
เห็น อนัตตา: สุดท้ายแม้โลกธาตุและจักรวาลย่อมแตกสลาย เหลือเพียงความว่าง ไม่ใช่ตัวตนถาวร
“จิตหนึ่งดวง” ที่ไม่ติดอดีต ปัจจุบัน อนาคต
ภาวะนี้ตรงกับการเข้าถึงความเป็นอิสระของจิต (วิมุตติ) ไม่มีขอบเขตของกาลเวลาและอวกาศ เป็นภาวะที่ จิตไม่ถูกจำกัดด้วยขันธ์ “จิตเป็นอิสระจากร่างกาย” ไม่ถูกกักขังด้วยกาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
เมื่อจิตพ้นกายและเวลา จะปรากฏ จิตประภัสสร ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน องฺคุตฺตรนิกาย ว่า
“จิตนี้ผ่องใส แต่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสที่จรมาสู่” จิตแท้ไร้นิมิต ไม่ถูกกายหรือความคิดปรุงแต่ง
การเข้าถึงสภาวะนี้ยืนยันว่า การปฏิบัติที่ใช้สมถะเป็นบาทฐานแล้วเจริญวิปัสสนา ย่อมนำไปสู่การรู้แจ้งตามไตรลักษณ์ได้อย่างแท้จริง
จิตเข้าสมาธิ → หดเล็ก → พุ่งผ่านรูหนอน → เข้าสู่ว่าง → จิตประภัสสร → เห็นอนัตตา → กลับออกสู่กายพร้อมปัญญา เข้ากับลำดับ อนัตตานุปัสสนา → โคตรภู → มรรคจิต
“ภาวะข้ามมิติของจิต” ที่ตรงกับโคตรภูญาณและยถาภูตญาณทัสสนะ เป็นการเห็นอนัตตาด้วยประสบการณ์ตรง โดยใช้สมถะเป็นบาทแล้ววิปัสสนาแจ้งขึ้น เมื่อกลับออกมา ปัญญาเปลี่ยนโลกทัศน์ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค [๑. มหาวรรค]
๑. ญาณกถา ๑๐. โคตรภูญาณนิทเทส
ชื่อว่าโคตรภู เพราะครอบงำความเศร้าโศก ชื่อว่าโคตรภู เพราะครอบงำความ
รำพัน ชื่อว่าโคตรภู เพราะครอบงำความคับแค้นใจ ชื่อว่าโคตรภู เพราะครอบงำ
สังขารนิมิตภายนอก
ชื่อว่าโคตรภู เพราะแล่นไปสู่ความไม่เกิดขึ้น ฯลฯ ชื่อว่าโคตรภู เพราะแล่นไป
สู่ความดับคือนิพพาน
ชื่อว่าโคตรภู เพราะครอบงำความเกิดขึ้นแล้วแล่นไปสู่ความไม่เกิดขึ้น ชื่อว่า
โคตรภู เพราะครอบงำความเป็นไปแล้วแล่นไปสู่ความไม่เป็นไป ชื่อว่าโคตรภู เพราะ
ครอบงำนิมิตแล้วแล่นไปสู่อนิมิต ฯลฯ ชื่อว่าโคตรภู เพราะครอบงำสังขารนิมิต
ภายนอกแล้วแล่นไปสู่ความดับคือนิพพาน
ชื่อว่าโคตรภู เพราะออกจากความเกิดขึ้น ชื่อว่าโคตรภู เพราะออกจากความ
เป็นไป ชื่อว่าโคตรภู เพราะออกจากนิมิต ชื่อว่าโคตรภู เพราะออกจากกรรมเป็น
เครื่องประมวลมา ชื่อว่าโคตรภู เพราะออกจากปฏิสนธิ ชื่อว่าโคตรภู เพราะออก
จากคติ ชื่อว่าโคตรภู เพราะออกจากความบังเกิด ชื่อว่าโคตรภู เพราะออกจาก
ความอุบัติ ชื่อว่าโคตรภู เพราะออกจากความเกิด ชื่อว่าโคตรภู เพราะออกจาก
ความแก่ ชื่อว่าโคตรภู เพราะออกจากความเจ็บไข้ ชื่อว่าโคตรภู เพราะออกจาก
ความตาย ชื่อว่าโคตรภู เพราะออกจากความเศร้าโศก ชื่อว่าโคตรภู เพราะออก
จากความรำพัน ชื่อว่าโคตรภู เพราะออกจากความคับแค้นใจ ชื่อว่าโคตรภู เพราะ
ออกจากสังขารนิมิตภายนอก
ชื่อว่าโคตรภู เพราะแล่นไปสู่ความไม่เกิดขึ้น ชื่อว่าโคตรภู เพราะแล่นไปสู่
ความไม่เป็นไป ฯลฯ ชื่อว่าโคตรภู เพราะแล่นไปสู่ความดับคือนิพพาน
ชื่อว่าโคตรภู เพราะออกจากความเกิดขึ้นแล้วแล่นไปสู่ความไม่เกิดขึ้น ชื่อว่า
โคตรภู เพราะออกจากความเป็นไปแล้วแล่นไปสู่ความไม่เป็นไป ชื่อว่าโคตรภู เพราะ
ออกจากนิมิตแล้วแล่นไปสู่อนิมิต ชื่อว่าโคตรภู เพราะออกจากกรรมเป็นเครื่อง
ประมวลมาแล้วแล่นไปสู่ความไม่มีกรรมเป็นเครื่องประมวลมา ชื่อว่าโคตรภู เพราะ
ออกจากปฏิสนธิแล้วแล่นไปสู่ความไม่มีปฏิสนธิ ชื่อว่าโคตรภู เพราะออกจากคติแล้ว