สองอาทิตย์เองคุณ อย่าพึ่งใจร้อน
เท่าที่เราเห็น ตั้งไข่กันสามเดือน หกเดือน เป็นปีก็มีค่ะ (หมายถึงว่าขาดทุนสะสมเกือบปี กว่าจะฟื้นและมียอดต่อเนื่อง)

สิ่งที่คุณควรคิดและควรทำก็คือ คุณต้องสังเกตพฤติกรรมของผู้บริโภคแถวๆนั้น ที่มาแวะซื้อยาร้านคุณ ถามได้ก็ถามค่ะ อยู่แถวไหน ทำไมผ่านมา
และจดจำด้วยว่า ยาแนวไหนขายดี ก็สต๊อกแนวนั้นเยอะๆหน่อย แล้วก็หาของมาขายเพิ่ม (เราไม่ทราบว่าทำได้ไหม)
อย่างเช่น อาหารเสริมดีๆ เวชสำอาง เครื่องมือแพทย์ง่ายๆเบาๆ เพื่อเพิ่มกำไร
และสิ่งที่คสรทำอีกอย่างก็คือ ทำเพจค่ะ (ไม่รู้ทำหรือยัง)
โดยการลงโฆษณาเฉพาะคนที่น่าจะอยู่รอบๆร้านคุณพอ สุ่มเอาทุกกลุ่มอายุ (เราเคยเจอร้านหมอฟันดีๆร้านนึงจากเพจเฟซบุ๊ก)
แล้วคุณก็ลงเกร็ดความรู้ สาระดีๆ เกี่ยวกับโรคง่ายๆและการใช้ยา เพื่อเพิ่มแทรฟฟิกคนเข้าถึงร้านค่ะ
หน้าร้านก็ติดไฟสว่างๆ ทำป้ายใหญ่ๆ เห็นชัดๆ เผื่อคนผ่านไปผ่านมาไม่เห็น จะได้เห็น จะได้มีโอกาสแวะมากขึ้น

เวลาเค้ามาถามซื้อยา ต้องบริการดีๆนะคะ (เฝ้าร้านเองใช่ไหม) ถามให้เยอะๆ ละเอียดๆค่ะ ตรงนี้คนมาซื้อจะสัมผัสได้ถึงความเอาใจใส่
แถวบ้านเรามีร้านยา 8 ร้านค่ะ แต่เราซื้อร้านเดิมตลอด เคยแวะซื้อสองร้าน พบว่ามีร้านนึงถามเอาใจใส่ดีมาก ครั้งต่อไปเราก็ซื้อร้านนี้ตลอด
ธุรกิจร้านยา หมอฟัน คลินิกหมอ ถ้าลูกค้าหรือคนป่วยได้เข้ามาแล้วครั้งแรกประทับใจ เค้าก็จะไปร้านเดิมที่เคยไปตลอดค่ะ
ไม่เปลี่ยนบ่อยเหมือนพวกร้านอาหาร ร้านกาแฟ
้ถ้าคุณรักษาตรงนี้ได้ คุณจะได้ทั้งคนแถวนั้นและขาจร ที่เป็นลูกค้าประจำ แนวว่า ถ้ารู้สึกไม่สบาย ต้องการซื้อยา เขาก็จะแวะมาร้านคุณตลอด
เท่านี้ก็น่าจะอยู่ได้แล้วนะ รอประเมินซักหกเดือนค่ะ แล้วค่อยว่ากันใหม่ (ค่าเช่าเท่าไหร่ไม่เห็นบอก)

ปล. ธุรกิจแนวนี้ เช่น ร้านยา หมอฟัน คลินิกหมอ จะเป็นธุรกิจที่คนไม่ค่อยอยากเอาเงินมาให้น่ะ เพราะไม่มีใครอยากป่วย
ถ้าหมอฟันก็ต้องจัดฟัน ถ้าคลินิกหมอก็แนวๆสกิน จะรายได้เยอะมาก