สวัสดีค่ะ วันนี้มีการฉายรอบสื่อมวลชนของ INTERSTELLAR 
พอดีว่า มีคนรู้จักเราได้ไปชมมา และรีวิวไว้ในเพจวิจารณ์เพจหนึ่ง แต่เนื่องจากเขาไม่มีล็อกอินพันทิป
เราเลยขออณุญาตเขานำมาลงค่ะ เพราะเห็นว่าอาจจะน่าสนใจสำหรับใครที่กำลังตัดสินใจอยากไปดู
ถามคนรีวิวมาแล้วเขาบอกว่า ในรีวิวไม่ได้เล่าในส่วนเนื้อเรื่องเลยค่ะ
แต่พูดถึงการนำเสนอและประเด็นและหลักการของหนังมากกว่า
เพราะงั้นหากใครกลัวสปอล์ยจัดๆ ก็ข้ามไปเลยก็ได้ค่ะ
แต่เราเองอ่านหมดแล้ว ก็ยังไม่รู้เรื่องราวในหนังเลยค่ะ แต่พอเข้าใจวิธีนำเสนอของโนแลนในหนังเรื่องใหม่นี้เฉยๆ
ใครสนใจอยากรู้จริงๆ ลองเสี่ยงอ่านดูก็ได้ค่ะ 555555
Interstellar
2014, USA
Directed by Christopher Nolan
SCORE: A- (80/100)
By STW
ถ้าเราจะพูดกันตามตรงเลยว่านี่เป็นหนังที่มีความทะเยอทะยานมากที่สุดในแง่ของประเด็นการนำเสนอของโนแลนก็ว่าได้ การพูดถึงหลักการทางฟิสิกส์ดาราศาสตร์สมัยใหม่ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม และก้าวไปไกลในการอธิบายอวกาศ และเวลา รวมไปถึงการตั้งข้อสังเกตุของเรื่องต่างๆออกมาได้อย่างน่าชื่นชม
แต่เข้าใจในความที่ทฤษฎีเองก็สร้างมาจากจินตนาการของบรรดานักฟิสิกส์ที่ในปัจจุบันเองก็ยังพยายามที่จะทดสอบสมมติฐานเหล่านั้นอยู่ มันจึงอาจมีข้อขัด หรือข้อโต้แย้งทางทฤษฎีอยู่บ้าง แต่การที่หนังเองเลือกที่จะลำดับการเล่นมิติเชิงลึกของความเป็นไปได้ทางกลศาสตร์ควอนตัม ซึ่งถือว่าทำออกมาได้ดี การไล่เรียงตั้งแต่ความเข้าใจที่แจ่มชัดมากที่สุดของมนุษย์อย่างทฤษฎีสัมพันธภาพของไอส์ไตน์ จนตั้งคำถามถึงแรงที่เรารู้จักกันดีที่สุด แต่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับมันน้อยที่สุดอย่างแรงโน้มถ่วง ไล่เรียงขยายขอบเขตไปถึงความเข้าใจในทฤษฎีที่ได้รับความน่าสนใจมากที่สุดอย่าง ..
ทฤษฎีสตริง
หนังเองมีแก๊ปมากมายที่ยังหาคำตอบไม่ได้ชัดเจน ซึ่งส่วนตรงนี้มันก็เป็นเหตุมาจากการคาดการณ์ความเป็นไปได้ในหลายรูปแบบของทฤษฎีเหล่านั้น ซึ่งก็ดูออกจะน่ารำคาญไปหน่อย เมื่อหนังเองพยายามที่จะอธิบายรายละเอียดของคำจำกัดความหลายๆอย่าง ที่เอาเข้าจริงแล้วคนที่เคยทำงานให้นาซ่ามาก่อนจะไม่รู้คำจำกัดความ หรือความหมายของสิ่งเหล่านั้น มันก็ดูเป็นไปได้ยากทีเดียว
ในช่วงต้นเราจะเห็นว่าหนังเองก็แตะความเป็นพื้นผิวของฟิสิกส์อย่าง อวกาศ และเวลา ที่เป็นหัวใจสำคัญในทฤษฎีสัมพันธภาพ ที่ใช้อธิบายการบิดโค้งของห้วงเวลา ซึ่งแน่นอนในปัจจุบันเองมันก็ติดปัญหาหลายๆประการจนต้องพัฒนาทฤษฎีอื่นๆต่อยอดออกไป หัวใจหลักประการหนึ่งในช่วงต้นเรื่อง ที่หนังจับระดับผิวๆเหมือนงานของไอสไตน์ยุคนั้นที่ยังไม่ลงลึก และยังอธิบายในเรื่องของความต่อเนื่องอยู่ ซึ่งหัวเรื่องที่สำคัญคือ 'แรงโน้มถ่วง' หนังเองพยายามใช้สิ่งนี้เป็นหัวใจหลักในการสร้างคอนฟลิคให้กับเรื่องราวได้น่าสนใจทีเดียว
หลังจากที่หนังเองพยายามผลักดันตัวเองออกไปเรื่อยๆ และพาคนดูไปสู่การเผชิญกับสิ่งที่เราไม่รู้ การเข้าไปสำรวจมิติที่สูงขึ้นตามความเชื่อมของทฤษฎีสตริงที่หนังเอาเข้ามาใช้ เมื่อการสั่นของเส้นเชือกมีค่าความถี่ที่ต่างกันออกไป การนำมาซึ่งแรง หรือมวลสารที่ต่างชนิดกันออกไปจึงเกิดขึ้น ตามความเข้าใจของพื้นฐานทฤษฎีนี้เราจะเห็นว่าสิ่งที่เล็กที่สุดไม่ใช่อะตอม ไม่ใช่อิเล็กตรอน ไม่ใช่เฟอร์เมียน และไม่ใช่ควาร์กเองเช่นกัน
แต่สิ่งที่เล็กที่สุดตามทฤษฎีนี้คือเส้นเชือก ซึ่งจะสั่นด้วยค่าความถี่ที่ต่างกัน และแสดงคุณสมบัติเป็นสิ่งที่ต่างกันออกไปตามแต่ล่ะค่าความถี่นั้น ดังนั้นจึงมีความน่าสนใจบางประการในฉากมิติที่ห้าที่ตัวละครเล่นกับการสั่นความถี่ของเชือก ถึงแม้มันจะไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรลึกล้ำนักก็ตาม
ซึ่งแน่นอนรวมไปถึงความรักที่เป็นการเชื่อมโยงที่เราเองก็ยังยากที่จะเข้าใจ เอาเข้าจริงๆแล้ว หนังเองก็ยังเผชิญกับขอบเขตที่หนังเองไม่กล้าอธิบาย หรืออธิบายไม่ได้อยู่ ซึ่งไม่น่าแปลกใจอะไรที่มิติที่ตัวละครเผชิญอยู่จะอยู่หลังตู้หนังสือนี้ เพราะตามหลักแล้ว การหดตัวของมิติที่ซ่อนตัวอยู่มีจริงตามทฤษฎีนี้ ถึงแม้ในท้ายที่สุดมันจะไม่กล้าถลำลึกไปถึงการเล่นกับ M-Theory ที่มีถึง 11 มิติก็ตามที
ความน่าเสียดายอย่างร้ายแรงคือ
หนังเองดูมัวกังวลกับความเป็นฟิสิกส์มากเกินไป จนลืมโครงเรื่องหลักที่หนังเองใช้ในการเล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ดังนั้นกลายเป็นว่าคนที่จะสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลง และพัฒนาการความเป็นไปของความรู้สึกตรงส่วนนี้จะต้องเป็นคนที่เข้าใจ และรู้สึกได้ถึงเรื่องราวของ ไทม์ และสเปซจริงๆเท่านั้น เมื่อมวลหนาแน่นมากขึ้น แรงโน้มถ่วงมีค่ามากยิ่งขึ้น และเป็นลบ มันยิ่งทำให้เวลาเดินช้าลง เพราะฉะนั้นด้วยความหนาแน่นที่ต่างกันออกไป มันก็ส่งผลต่อเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปต่างกัน
ซึ่งโนแลนเองก็มัวกังวลกับหลักทางฟิสิกส์มากเกินไป จนในท้ายที่สุดถึงแม้ว่าเขาเองพยายามที่จะสร้างเรื่องราวความสัมพันธ์ให้สมบูรณ์มากแค่ไหน มันก็ไม่สามารถทำได้ ดังนั้นเราจะเห็นว่าการปูเส้นเรื่อง การหยิบยืมตัวละครมาใช้ดูไม่คุ้มค่าในหลายๆครั้ง และไม่มีความหนักแน่นมากเพียงพอเสียด้วยซ้ำ บทหนังจึงแน่นในประเด็นที่ผลักเราไปไกลกว่าหนังไซไฟหลายๆเรื่องที่เคยทำออกมาได้นัก
แต่กลายเป็นว่าส่วนที่เป็นพื้นฐานในการสร้างอารมณ์กลับทำออกมาได้ค่อนข้างแบน ไร้มิติ และน่าเสียดายทีเดียว
ในส่วนยิบย่อยที่เราได้เห็นๆกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องของลำดับภาพที่ทำได้ไม่ดีนัก ความต่อเนื่อง และการเชื่อมโยงยังไม่เกิดนัก อีกทั้งหนังเองเห็นได้ชัดเจนว่าพึ่งพาดนตรีประกอบของ 'Hans Zimmer' มากจนเกินไป จนเอาเข้าจริงๆแล้วถ้าเราดึงดนตรีประกอบออกไป เชื่อได้เลยว่าพลังในการเชื่อมคนดูจะหายไปกว่าครึ่งแน่นอน
การกำกับภาพเองก็ไม่เชิงว่าแย่ แต่มันก็แสนจะธรรมดาเกินไปด้วยซ้ำ การเคลื่อนกล้องที่ยังไม่มีความแม่นยำมากเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเรานำมันไปเปรียบเทียบกับหนังอย่าง 'Gravity' จากฝีมือของ 'Emmanuel Lubezki' เราจะเห็นความแตกต่างอย่างมาก
ท้ายที่สุดเชื่อว่าถ้าหนังเรื่องนี้ฉายก่อน 'Gravity' หนังเรื่องนี้ก็ดูมีแนวโน้มที่จะใช้ชื่อนี้มากกว่า เพราะเอาเข้าจริงแล้ว หัวใจในการผลักดันเรื่องนี้ทั้งทางตรง ทางอ้อม และทฤษฎีทางฟิสิกส์นั้นก็คือ แรงโน้มถ่วง รูปแบบของแรงค่าลบนี้ ไม่ว่าจะเป็นหลุ่มดำเอง หรือแม้แต่แรงระหว่างดวงดาว นี่ก็ดูจะเป็นหัวใจที่หนังเอามาชูโรง
และเช่นเดียวกันมนุษย์ไม่เข้าใจแรงโน้มถ่วงมากเท่าไหร่
ก็ไม่ต่างกัน กับการที่เราไม่เข้าใจโนแลนว่า ทำไมงานของเขาถึงมาตรฐานลดลงไปเรื่อยๆมากเท่านั้น
ติดตามรีวิวอื่นๆแบบโหดสัสรัสเซียได้ที่เพจ
https://www.facebook.com/MovieStyleThailand
ย้ำอีกครั้ง
เนื่องจากเราไม่ใช่คนเขียนบทวิจารณ์ชิ้นนี้ เพราะฉะนั้นอาจตอบคำถามอะไรไม่ได้หากมีข้อสงสัย
ขออภัยมา ณ ทีนี้ค่ะ จริงๆเราก็เป็นแอดมินในเพจนั่นแหละค่ะ
แต่เราไม่ได้ไปดูและไม่มีปัญญารีวิวได้แบบนี้ เลยนำมาฝากกันเผื่อใครสนใจค่ะ																																	
  
							 
						
[MOVIE STYLE] Interstellar (A-)
พอดีว่า มีคนรู้จักเราได้ไปชมมา และรีวิวไว้ในเพจวิจารณ์เพจหนึ่ง แต่เนื่องจากเขาไม่มีล็อกอินพันทิป
เราเลยขออณุญาตเขานำมาลงค่ะ เพราะเห็นว่าอาจจะน่าสนใจสำหรับใครที่กำลังตัดสินใจอยากไปดู
ถามคนรีวิวมาแล้วเขาบอกว่า ในรีวิวไม่ได้เล่าในส่วนเนื้อเรื่องเลยค่ะ
แต่พูดถึงการนำเสนอและประเด็นและหลักการของหนังมากกว่า
เพราะงั้นหากใครกลัวสปอล์ยจัดๆ ก็ข้ามไปเลยก็ได้ค่ะ
แต่เราเองอ่านหมดแล้ว ก็ยังไม่รู้เรื่องราวในหนังเลยค่ะ แต่พอเข้าใจวิธีนำเสนอของโนแลนในหนังเรื่องใหม่นี้เฉยๆ
ใครสนใจอยากรู้จริงๆ ลองเสี่ยงอ่านดูก็ได้ค่ะ 555555
Interstellar
2014, USA
Directed by Christopher Nolan
SCORE: A- (80/100)
By STW
ถ้าเราจะพูดกันตามตรงเลยว่านี่เป็นหนังที่มีความทะเยอทะยานมากที่สุดในแง่ของประเด็นการนำเสนอของโนแลนก็ว่าได้ การพูดถึงหลักการทางฟิสิกส์ดาราศาสตร์สมัยใหม่ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม และก้าวไปไกลในการอธิบายอวกาศ และเวลา รวมไปถึงการตั้งข้อสังเกตุของเรื่องต่างๆออกมาได้อย่างน่าชื่นชม
แต่เข้าใจในความที่ทฤษฎีเองก็สร้างมาจากจินตนาการของบรรดานักฟิสิกส์ที่ในปัจจุบันเองก็ยังพยายามที่จะทดสอบสมมติฐานเหล่านั้นอยู่ มันจึงอาจมีข้อขัด หรือข้อโต้แย้งทางทฤษฎีอยู่บ้าง แต่การที่หนังเองเลือกที่จะลำดับการเล่นมิติเชิงลึกของความเป็นไปได้ทางกลศาสตร์ควอนตัม ซึ่งถือว่าทำออกมาได้ดี การไล่เรียงตั้งแต่ความเข้าใจที่แจ่มชัดมากที่สุดของมนุษย์อย่างทฤษฎีสัมพันธภาพของไอส์ไตน์ จนตั้งคำถามถึงแรงที่เรารู้จักกันดีที่สุด แต่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับมันน้อยที่สุดอย่างแรงโน้มถ่วง ไล่เรียงขยายขอบเขตไปถึงความเข้าใจในทฤษฎีที่ได้รับความน่าสนใจมากที่สุดอย่าง ..
ทฤษฎีสตริง
หนังเองมีแก๊ปมากมายที่ยังหาคำตอบไม่ได้ชัดเจน ซึ่งส่วนตรงนี้มันก็เป็นเหตุมาจากการคาดการณ์ความเป็นไปได้ในหลายรูปแบบของทฤษฎีเหล่านั้น ซึ่งก็ดูออกจะน่ารำคาญไปหน่อย เมื่อหนังเองพยายามที่จะอธิบายรายละเอียดของคำจำกัดความหลายๆอย่าง ที่เอาเข้าจริงแล้วคนที่เคยทำงานให้นาซ่ามาก่อนจะไม่รู้คำจำกัดความ หรือความหมายของสิ่งเหล่านั้น มันก็ดูเป็นไปได้ยากทีเดียว
ในช่วงต้นเราจะเห็นว่าหนังเองก็แตะความเป็นพื้นผิวของฟิสิกส์อย่าง อวกาศ และเวลา ที่เป็นหัวใจสำคัญในทฤษฎีสัมพันธภาพ ที่ใช้อธิบายการบิดโค้งของห้วงเวลา ซึ่งแน่นอนในปัจจุบันเองมันก็ติดปัญหาหลายๆประการจนต้องพัฒนาทฤษฎีอื่นๆต่อยอดออกไป หัวใจหลักประการหนึ่งในช่วงต้นเรื่อง ที่หนังจับระดับผิวๆเหมือนงานของไอสไตน์ยุคนั้นที่ยังไม่ลงลึก และยังอธิบายในเรื่องของความต่อเนื่องอยู่ ซึ่งหัวเรื่องที่สำคัญคือ 'แรงโน้มถ่วง' หนังเองพยายามใช้สิ่งนี้เป็นหัวใจหลักในการสร้างคอนฟลิคให้กับเรื่องราวได้น่าสนใจทีเดียว
หลังจากที่หนังเองพยายามผลักดันตัวเองออกไปเรื่อยๆ และพาคนดูไปสู่การเผชิญกับสิ่งที่เราไม่รู้ การเข้าไปสำรวจมิติที่สูงขึ้นตามความเชื่อมของทฤษฎีสตริงที่หนังเอาเข้ามาใช้ เมื่อการสั่นของเส้นเชือกมีค่าความถี่ที่ต่างกันออกไป การนำมาซึ่งแรง หรือมวลสารที่ต่างชนิดกันออกไปจึงเกิดขึ้น ตามความเข้าใจของพื้นฐานทฤษฎีนี้เราจะเห็นว่าสิ่งที่เล็กที่สุดไม่ใช่อะตอม ไม่ใช่อิเล็กตรอน ไม่ใช่เฟอร์เมียน และไม่ใช่ควาร์กเองเช่นกัน
แต่สิ่งที่เล็กที่สุดตามทฤษฎีนี้คือเส้นเชือก ซึ่งจะสั่นด้วยค่าความถี่ที่ต่างกัน และแสดงคุณสมบัติเป็นสิ่งที่ต่างกันออกไปตามแต่ล่ะค่าความถี่นั้น ดังนั้นจึงมีความน่าสนใจบางประการในฉากมิติที่ห้าที่ตัวละครเล่นกับการสั่นความถี่ของเชือก ถึงแม้มันจะไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรลึกล้ำนักก็ตาม
ซึ่งแน่นอนรวมไปถึงความรักที่เป็นการเชื่อมโยงที่เราเองก็ยังยากที่จะเข้าใจ เอาเข้าจริงๆแล้ว หนังเองก็ยังเผชิญกับขอบเขตที่หนังเองไม่กล้าอธิบาย หรืออธิบายไม่ได้อยู่ ซึ่งไม่น่าแปลกใจอะไรที่มิติที่ตัวละครเผชิญอยู่จะอยู่หลังตู้หนังสือนี้ เพราะตามหลักแล้ว การหดตัวของมิติที่ซ่อนตัวอยู่มีจริงตามทฤษฎีนี้ ถึงแม้ในท้ายที่สุดมันจะไม่กล้าถลำลึกไปถึงการเล่นกับ M-Theory ที่มีถึง 11 มิติก็ตามที
ความน่าเสียดายอย่างร้ายแรงคือ
หนังเองดูมัวกังวลกับความเป็นฟิสิกส์มากเกินไป จนลืมโครงเรื่องหลักที่หนังเองใช้ในการเล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ดังนั้นกลายเป็นว่าคนที่จะสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลง และพัฒนาการความเป็นไปของความรู้สึกตรงส่วนนี้จะต้องเป็นคนที่เข้าใจ และรู้สึกได้ถึงเรื่องราวของ ไทม์ และสเปซจริงๆเท่านั้น เมื่อมวลหนาแน่นมากขึ้น แรงโน้มถ่วงมีค่ามากยิ่งขึ้น และเป็นลบ มันยิ่งทำให้เวลาเดินช้าลง เพราะฉะนั้นด้วยความหนาแน่นที่ต่างกันออกไป มันก็ส่งผลต่อเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปต่างกัน
ซึ่งโนแลนเองก็มัวกังวลกับหลักทางฟิสิกส์มากเกินไป จนในท้ายที่สุดถึงแม้ว่าเขาเองพยายามที่จะสร้างเรื่องราวความสัมพันธ์ให้สมบูรณ์มากแค่ไหน มันก็ไม่สามารถทำได้ ดังนั้นเราจะเห็นว่าการปูเส้นเรื่อง การหยิบยืมตัวละครมาใช้ดูไม่คุ้มค่าในหลายๆครั้ง และไม่มีความหนักแน่นมากเพียงพอเสียด้วยซ้ำ บทหนังจึงแน่นในประเด็นที่ผลักเราไปไกลกว่าหนังไซไฟหลายๆเรื่องที่เคยทำออกมาได้นัก
แต่กลายเป็นว่าส่วนที่เป็นพื้นฐานในการสร้างอารมณ์กลับทำออกมาได้ค่อนข้างแบน ไร้มิติ และน่าเสียดายทีเดียว
ในส่วนยิบย่อยที่เราได้เห็นๆกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องของลำดับภาพที่ทำได้ไม่ดีนัก ความต่อเนื่อง และการเชื่อมโยงยังไม่เกิดนัก อีกทั้งหนังเองเห็นได้ชัดเจนว่าพึ่งพาดนตรีประกอบของ 'Hans Zimmer' มากจนเกินไป จนเอาเข้าจริงๆแล้วถ้าเราดึงดนตรีประกอบออกไป เชื่อได้เลยว่าพลังในการเชื่อมคนดูจะหายไปกว่าครึ่งแน่นอน
การกำกับภาพเองก็ไม่เชิงว่าแย่ แต่มันก็แสนจะธรรมดาเกินไปด้วยซ้ำ การเคลื่อนกล้องที่ยังไม่มีความแม่นยำมากเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเรานำมันไปเปรียบเทียบกับหนังอย่าง 'Gravity' จากฝีมือของ 'Emmanuel Lubezki' เราจะเห็นความแตกต่างอย่างมาก
ท้ายที่สุดเชื่อว่าถ้าหนังเรื่องนี้ฉายก่อน 'Gravity' หนังเรื่องนี้ก็ดูมีแนวโน้มที่จะใช้ชื่อนี้มากกว่า เพราะเอาเข้าจริงแล้ว หัวใจในการผลักดันเรื่องนี้ทั้งทางตรง ทางอ้อม และทฤษฎีทางฟิสิกส์นั้นก็คือ แรงโน้มถ่วง รูปแบบของแรงค่าลบนี้ ไม่ว่าจะเป็นหลุ่มดำเอง หรือแม้แต่แรงระหว่างดวงดาว นี่ก็ดูจะเป็นหัวใจที่หนังเอามาชูโรง
และเช่นเดียวกันมนุษย์ไม่เข้าใจแรงโน้มถ่วงมากเท่าไหร่
ก็ไม่ต่างกัน กับการที่เราไม่เข้าใจโนแลนว่า ทำไมงานของเขาถึงมาตรฐานลดลงไปเรื่อยๆมากเท่านั้น
ติดตามรีวิวอื่นๆแบบโหดสัสรัสเซียได้ที่เพจ
https://www.facebook.com/MovieStyleThailand
ย้ำอีกครั้ง
เนื่องจากเราไม่ใช่คนเขียนบทวิจารณ์ชิ้นนี้ เพราะฉะนั้นอาจตอบคำถามอะไรไม่ได้หากมีข้อสงสัย
ขออภัยมา ณ ทีนี้ค่ะ จริงๆเราก็เป็นแอดมินในเพจนั่นแหละค่ะ
แต่เราไม่ได้ไปดูและไม่มีปัญญารีวิวได้แบบนี้ เลยนำมาฝากกันเผื่อใครสนใจค่ะ