บทสัมภาษณ์ สาวตรี สุขศรี อาจารย์นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เผยแพร่ครั้งแรก 9 พ.ย. 2552
นับตั้งแต่ประกาศใช้ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มีการตั้งข้อกล่าวหาและจับกุมผู้ต้องสงสัยไปแล้วหลายราย แต่ที่เป็นข่าวใหญ่ที่สุดคงหนีไม่พ้น 3 ผู้ต้องหา กรณีปล่อยข่าวไม่เป็นมงคล กระทบกระเทือนตลาดหุ้น
เป็นชั่วสัปดาห์ที่อึกทึกคึกโครมอย่างยิ่ง แม้สัปดาห์ต่อมาจะถูกกลบเสียมิดด้วยปัญหาใหม่ที่ดูจะใหญ่กว่าของเพื่อนบ้าน ข้อเท็จจริงต่าง ๆ จึงยังไม่ทันคลี่คลาย คำถามมากมายต่อกรณีนี้ยังไม่ได้รับคำตอบ
อย่างไรก็ตาม ในโลกไซเบอร์ มันได้กลายเป็นประเด็น “ความมั่นคงของรัฐ” ที่สั่นสะเทือนความมั่นคงของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตผู้เสพเสรีภาพเป็นภักษาหาร อย่างสำคัญ เพราะมันเต็มไปด้วยความคลุมเครือของตัวบท รวมถึงความเงียบเชียบมืดดำในการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ จนมีการตั้งข้อสังเกตว่า กฎหมายนี้ดูราวกับเป็นส่วนขยายของมาตรา 112 ดังเช่นแถลงการณ์ของชุมชนเว็บบอร์ดฟ้าเดียวกัน
ท่ามกลางบรรยากาศเช่นนี้ ถือเป็นความโชคดีที่ สาวตรี สุขศรี อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ผู้ไปศึกษาเรื่องกฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ที่ประเทศเยอรมนี และเป็นหนึ่งในเจ้าของบล็อก BioLawCom.de กลับมาเมืองไทยพอดี เธอศึกษาและเฝ้ามอง พ.ร.บ.ฉบับนี้มายาวนาน และพร้อมจะไขข้อข้องใจต่อกฎหมายนี้ (ที่อาจทำให้ข้องใจหนักขึ้นไปอีก)
ถาม: กับกรณีล่าสุดที่มีการใช้พ.ร.บ.คอมฯ จับกุมผู้ต้องสงสัยว่าทุบหุ้น 3 คน อาจารย์มีความคิดเห็นยังไง
สาวตรี: ถ้าถามความเห็นส่วนตัว คิดว่าเป็นการตั้งข้อหาที่ดูเหมือนไม่ได้ดูข้อเท็จจริงเบื้องต้นนัก จริง ๆ แล้วสามารถสืบคร่าว ๆ ก่อนได้ อย่างน้อยช่วงระยะเวลาในการโพสต์ อย่างที่เกิดนี่ หุ้นตกไปแล้ว ค่อยมาโพสต์ที่หลัง คำถามคือทำไมจึงไม่ดูตรงนี้สักหน่อย ถ้าจะตั้งข้อหาทุบหุ้นจริง ๆ กฎหมายที่ต้องใช้ก่อนคือกฎหมายตลาดหลักทรัพย์ ไม่ใช่กฎหมายนี้ แสดงได้หรือเปล่าว่า ไม่ได้จริงจังกับฐานความผิดนี้
อันที่สองที่น่าตั้งคำถามคือ กรณีคุณธีรนันท์ ดูเหมือนจะเป็นการแปลข่าวจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ ถ้าเห็นว่าผิด ทำไมจึงไม่จับต้นฉบับ หรือสำนักข่าวอื่นที่เผยแพร่ต้นฉบับนั้นต่อ ทำไมจึงเจาะจงที่คนกลุ่มหนึ่งที่เขาแปลมาจากต้นฉบับอีกที และเจาะจงที่การโพสต์ในบางเว็บไซต์ด้วย แสดงว่ามีเป้าหมายในการขยายผลต่อหรือเปล่า ไม่แน่ว่าในอนาคตเขาอาจเอามาตรา 15 มาใช้ เรื่องการรับผิดชอบของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต แล้วอาจจะเลยไปถึงมาตรา 20 ในเรื่องปิดเว็บไซต์ เราจึงต้องตั้งคำถามว่ามันถูกต้องไหม มีอะไรเบื้องหลังไหม
อีกอันคือ เขาใช้มาตรา 14 (2) ซึ่งมันคลุมเครือ “ความมั่นคงของประเทศ” และ “ประชาชนตื่นตระหนก” มันคืออะไร ความคลุมเครือทำให้ตั้งข้อหาได้ง่าย กฎหมายตัวนี้มีปัญหาเรื่องถ้อยคำของกฎหมายที่คลุมเครืออย่างมาก
มาตรา 14 ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(1) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
(2) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
(3) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา
(4) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้
(5) เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (1) (2) (3) หรือ (4)
ลองดูในมาตรา 14 (3) ใช้ถ้อยคำเรื่อง “ความมั่นคง” เหมือนกันเลย แต่เราไม่บอกว่า (3) มีปัญหา ก็เพราะมันอ้างเข้าไปในประมวลกฎหมายอาญาได้ หมวดความมั่นคงของประมวลกฎหมายอาญามีตั้งแต่มาตรา 107–135 มีองค์ประกอบความผิดอะไรที่ชัดเจนอยู่แล้ว ประชาชนอ่านแล้วประชาชนรู้ว่า ถ้าฉันทำอย่างนี้ ฉันผิด แต่ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ไม่เป็นไร แต่คำถามคือ ทำไมต้องเอาคำว่าความมั่นคงมาใส่ใน (2) ด้วยอีกอันหนึ่ง เจตนาคือต้องการให้อำนาจเจ้าพนักงานในการตีความอย่างกว้างขวางใช่ไหม เพราะมันลอยมาก
อีกคำหนึ่งคือ “ประชาชนตื่นตระหนก” ตื่นตระหนกยังไง ความรุนแรงของการตื่นตระหนกต้องขนาดไหน เรื่องที่ตื่นตระหนกอันไหนผิดหรือไม่ผิด มันบอกอะไรไม่ได้ชัดเจน
ชำแหละพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 2550 - ผิดหลักบัญญัติกฎหมายหรือไม่?
บทสัมภาษณ์ สาวตรี สุขศรี อาจารย์นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เผยแพร่ครั้งแรก 9 พ.ย. 2552
นับตั้งแต่ประกาศใช้ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มีการตั้งข้อกล่าวหาและจับกุมผู้ต้องสงสัยไปแล้วหลายราย แต่ที่เป็นข่าวใหญ่ที่สุดคงหนีไม่พ้น 3 ผู้ต้องหา กรณีปล่อยข่าวไม่เป็นมงคล กระทบกระเทือนตลาดหุ้น
เป็นชั่วสัปดาห์ที่อึกทึกคึกโครมอย่างยิ่ง แม้สัปดาห์ต่อมาจะถูกกลบเสียมิดด้วยปัญหาใหม่ที่ดูจะใหญ่กว่าของเพื่อนบ้าน ข้อเท็จจริงต่าง ๆ จึงยังไม่ทันคลี่คลาย คำถามมากมายต่อกรณีนี้ยังไม่ได้รับคำตอบ
อย่างไรก็ตาม ในโลกไซเบอร์ มันได้กลายเป็นประเด็น “ความมั่นคงของรัฐ” ที่สั่นสะเทือนความมั่นคงของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตผู้เสพเสรีภาพเป็นภักษาหาร อย่างสำคัญ เพราะมันเต็มไปด้วยความคลุมเครือของตัวบท รวมถึงความเงียบเชียบมืดดำในการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ จนมีการตั้งข้อสังเกตว่า กฎหมายนี้ดูราวกับเป็นส่วนขยายของมาตรา 112 ดังเช่นแถลงการณ์ของชุมชนเว็บบอร์ดฟ้าเดียวกัน
ท่ามกลางบรรยากาศเช่นนี้ ถือเป็นความโชคดีที่ สาวตรี สุขศรี อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ผู้ไปศึกษาเรื่องกฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ที่ประเทศเยอรมนี และเป็นหนึ่งในเจ้าของบล็อก BioLawCom.de กลับมาเมืองไทยพอดี เธอศึกษาและเฝ้ามอง พ.ร.บ.ฉบับนี้มายาวนาน และพร้อมจะไขข้อข้องใจต่อกฎหมายนี้ (ที่อาจทำให้ข้องใจหนักขึ้นไปอีก)
ถาม: กับกรณีล่าสุดที่มีการใช้พ.ร.บ.คอมฯ จับกุมผู้ต้องสงสัยว่าทุบหุ้น 3 คน อาจารย์มีความคิดเห็นยังไง
สาวตรี: ถ้าถามความเห็นส่วนตัว คิดว่าเป็นการตั้งข้อหาที่ดูเหมือนไม่ได้ดูข้อเท็จจริงเบื้องต้นนัก จริง ๆ แล้วสามารถสืบคร่าว ๆ ก่อนได้ อย่างน้อยช่วงระยะเวลาในการโพสต์ อย่างที่เกิดนี่ หุ้นตกไปแล้ว ค่อยมาโพสต์ที่หลัง คำถามคือทำไมจึงไม่ดูตรงนี้สักหน่อย ถ้าจะตั้งข้อหาทุบหุ้นจริง ๆ กฎหมายที่ต้องใช้ก่อนคือกฎหมายตลาดหลักทรัพย์ ไม่ใช่กฎหมายนี้ แสดงได้หรือเปล่าว่า ไม่ได้จริงจังกับฐานความผิดนี้
อันที่สองที่น่าตั้งคำถามคือ กรณีคุณธีรนันท์ ดูเหมือนจะเป็นการแปลข่าวจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ ถ้าเห็นว่าผิด ทำไมจึงไม่จับต้นฉบับ หรือสำนักข่าวอื่นที่เผยแพร่ต้นฉบับนั้นต่อ ทำไมจึงเจาะจงที่คนกลุ่มหนึ่งที่เขาแปลมาจากต้นฉบับอีกที และเจาะจงที่การโพสต์ในบางเว็บไซต์ด้วย แสดงว่ามีเป้าหมายในการขยายผลต่อหรือเปล่า ไม่แน่ว่าในอนาคตเขาอาจเอามาตรา 15 มาใช้ เรื่องการรับผิดชอบของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต แล้วอาจจะเลยไปถึงมาตรา 20 ในเรื่องปิดเว็บไซต์ เราจึงต้องตั้งคำถามว่ามันถูกต้องไหม มีอะไรเบื้องหลังไหม
อีกอันคือ เขาใช้มาตรา 14 (2) ซึ่งมันคลุมเครือ “ความมั่นคงของประเทศ” และ “ประชาชนตื่นตระหนก” มันคืออะไร ความคลุมเครือทำให้ตั้งข้อหาได้ง่าย กฎหมายตัวนี้มีปัญหาเรื่องถ้อยคำของกฎหมายที่คลุมเครืออย่างมาก
มาตรา 14 ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(1) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
(2) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
(3) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา
(4) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้
(5) เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (1) (2) (3) หรือ (4)
ลองดูในมาตรา 14 (3) ใช้ถ้อยคำเรื่อง “ความมั่นคง” เหมือนกันเลย แต่เราไม่บอกว่า (3) มีปัญหา ก็เพราะมันอ้างเข้าไปในประมวลกฎหมายอาญาได้ หมวดความมั่นคงของประมวลกฎหมายอาญามีตั้งแต่มาตรา 107–135 มีองค์ประกอบความผิดอะไรที่ชัดเจนอยู่แล้ว ประชาชนอ่านแล้วประชาชนรู้ว่า ถ้าฉันทำอย่างนี้ ฉันผิด แต่ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ไม่เป็นไร แต่คำถามคือ ทำไมต้องเอาคำว่าความมั่นคงมาใส่ใน (2) ด้วยอีกอันหนึ่ง เจตนาคือต้องการให้อำนาจเจ้าพนักงานในการตีความอย่างกว้างขวางใช่ไหม เพราะมันลอยมาก
อีกคำหนึ่งคือ “ประชาชนตื่นตระหนก” ตื่นตระหนกยังไง ความรุนแรงของการตื่นตระหนกต้องขนาดไหน เรื่องที่ตื่นตระหนกอันไหนผิดหรือไม่ผิด มันบอกอะไรไม่ได้ชัดเจน