เรื่อง จิตพยายามเข้าสู่องศ์ฌานเอง หรือ จิตส่งใน ดีหรือไม่ดีกันแน่ครับ

บางท่านก็ว่า  ติดสุข   ไม่ดี  อันตรายมาก  จะป่วยสารพัด
อ้างอิง   http://www.nkgen.com/16.htm

บางที่ก็แนะนำให้ทำเป็นวสี  ทรงทั้งวันได้ยิ่งดี  ทรงขณะนอนยิ่งดี  
เช่น  หลวงพ่อฤาษีลิงดำ   หรือ ท้ายๆของบทความนี้
http://www.oknation.net/blog/buddhabath/2008/03/05/entry-4
ภาวะจิตพักเข้าสู่ฌานในขณะทำงานก็ดี จิตน้อมดิ่งเข้าสู่ฌานขณะจิตว่างก็ดี และจิตที่มีสติตื่นขึ้นขณะหลับจนมีภาวะเทียบเท่ากับฌานก็ดี เหล่านี้ เรียกว่า “ภาวะฌานโดยธรรมชาติ” เป็นภาวะฌานในแบบที่ผู้ศึกษาเซนควรได้ทำความเข้าใจให้มาก เพราะเป็นฌานที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิด และมีเกิดขึ้นเองได้ทุกขณะ ทุกสถานที่ และยังผลให้ผู้เข้าใจภาวะเหล่านี้บรรลุธรรมได้ง่ายและฉับพลัน

ปัญหาที่ผมเกิดคือ  อ่าน link   http://www.nkgen.com/16.htm ---> จิตส่งใน
ก็กังวล  บางคืนทั้งคืนก็จะเข้าสู้ฌาน  กลายเป็นว่าหลับลำบากครับ  จะหลับในฌานก็กลัวเรื่องสารความสุขหลั่ง จน ติดสุขจนแก้ไม่หายครับ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
เวบไซท์ชื่อ http://www.nkgen.com ผมเคยอ่านเมื่อเริ่มศึกษาพระพุทธศาสนาใหม่ๆ
แต่โชคดีที่ตอนนั้นมีเวบ 84000.org แล้ว ทำให้ผมเทียบเคียงคำสอนกับพระไตรปิฎก
พบว่ามีทิฏฐิที่ขัดแย้งกับพุทธพจน์อยู่มากในเวบไซท์นั้น
จึงไม่ขอแนะนำให้ผู้ที่ยังใหม่เริ่มต้นที่เวบไซท์นั้นเลย แม้ผู้เก่าก็ไม่แนะนำ

ลองอ่านพระสูตรนี้ดูสิครับ

[๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า เราพึงเป็นผู้ข่มความไม่ยินดีและความยินดีได้
อนึ่ง ความไม่ยินดีอย่าพึงครอบงำเราได้เลย เราพึงครอบงำย่ำยี ความไม่ยินดีอันเกิดขึ้นแล้วได้อยู่เถิด
ดังนี้ ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน ไม่ทำฌานให้เหินห่าง
ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
             [๗๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุพึงหวังว่า เราพึงเป็นผู้ข่มความกลัวและความขลาดได้
อนึ่ง ความกลัวและความขลาด อย่าพึงครอบงำเราได้เลย เราพึงครอบงำ ย่ำยี ความกลัวและความขลาดที่เกิดขึ้นแล้วได้อยู่เถิด
ดังนี้ ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน ไม่ทำฌานให้เหินห่าง
ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
             [๘๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า เราพึงเป็นผู้ได้ฌานทั้ง ๔ อันเกิดขึ้นเพราะจิตยิ่ง
เป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม ตามความปรารถนาพึงได้ไม่ยาก ไม่ลำบากเถิด
ดังนี้ ภิกษุนั้น พึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน ไม่ทำฌานให้เหินห่าง
ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
             [๘๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า เราพึงถูกต้องด้วยกายซึ่งวิโมกข์อันก้าวล่วงรูปาวจรฌานแล้ว
เป็นธรรมไม่มีรูปสงบระงับอยู่เถิด ดังนี้ ภิกษุนั้น พึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนาพอกพูนสุญญาคาร.
             [๘๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า เราพึงเป็นโสดาบันเพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ ๓
พึงเป็นผู้มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงมีอันตรัสรู้เป็นเบื้องหน้าเถิด ดังนี้ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
             [๘๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า เราพึงเป็นพระสกทาคามี เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ ๓ [และ]
เพราะราคะ โทสะ โมหะ เป็นสภาพเบาบาง พึงมาสู่โลกนี้เพียงครั้งเดียว แล้วพึงทำที่สุดทุกข์ได้เถิด
ดังนี้ ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในศีล หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน ไม่ทำฌานให้เหินห่าง
ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
             [๘๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า เราพึงเป็นอุปปาติกสัตว์ เพราะความสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕
พึงปรินิพพานในพรหมโลกนั้น มีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดาเถิด ดังนี้ ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.

ฯลฯ

จาก http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=12&A=1024&Z=1135

อ่านพระไตรปิฎกไปเรื่อยๆ ก็จะพบว่าพระพุทธเจ้าสอนให้เจริญในฌาน ทรงสรรเสริญฌาน แม้สุขในฌานพระพุทธองค์ก็สรรเสริญ
อย่ากลัวติดสุขในฌานเลย... แต่เจริญฌานให้ได้เถิด ยังศีล สมาธิ ปัญญา ให้สมบูรณ์ สุขในฌานไม่น่ากลัวเลย
ซ้ำกลับเป็นเครื่องมือระงับกิเลสตัณหาต่างๆอีกมาก
ใครห้ามเจริญฌาน... พึงระลึกไว้ว่าไม่ใช่สาวกพระพุทธเจ้า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่