ด้วยเหตุที่เห็นว่า นายคนนี้ พยายามจะพูด "ซ้ำซาก" อยู่ตลอดเวลา (และพยายาม ฝลัดกระทู้อย่างบ้าคลั่ง) ในทำนองว่า ......
การที่นายนั่น แสดงอาการ "เวิ่นเว้อ" อย่างที่เห็น ย่อมเกิดจากความ "ไม่รู้"
และ "ไม่เข้าใจ" ในหลักการของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท อย่างไม่ต้องสงสัย เลยนะครับ !
(๑) ถามว่า เหตุใด วันดีคืนดี ผม(จ้าวนครเมฆขาว) จึงอ้างอรรถกถา ?
ตอบว่า ผมย่อมสามารถอ้าง อรรถกถา ได้ในทุกๆ วันอยู่แล้ว ด้วยเหตุที่ นี่คือการ อ้างอิงหลักฐาน ตามปกติวิสัย อย่างเป็นวิชาการ
(๒) ถามว่า เหตุใด วันดีคืนดี พอมีคนเอาอรรถกถาอภิธรรมมาแย้ง ผม(จ้าวนครเมฆขาว) ก็บอก(ว่าเป็น) คำสาวก ?
ตอบว่า มติของอรรถกถาจารย์ จัดเป็นคำชั้นสาวกอยู่แล้วนี่ครับ การที่ผมระบุว่า นั่นเป็นคำชั้นสาวก ย่อมไม่ถือว่าเป็นการกล่าวที่ผิดไปจากความจริง
(๓) ถามว่า เหตุใด เสร็จแล้ววันดีคืนดี ผม(จ้าวนครเมฆขาว) ก็อ้างอรรถกถาใหม่ ?
ตอบว่า สำหรับผมแล้ว การอ้างอิงคำชั้นสาวก ถือเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ "ผู้อ่าน" โดยไม่ต้องผ่าน "ปาก" ของผม
ซึ่งอาจมีผู้ "แย้ง" ว่านั่นเป็นเพียงแค่ อัตตโนมัติ ของผม ซึ่งให้ในการอ้างอิง ไม่ได้ ......... ก็เท่านั้นเอง นะครับ
(๔) ถามว่า เหตุใด แล้ววันดีคืนดี ผม(จ้าวนครเมฆขาว) ก็บอกอรรถกถาจารย์เฟ้อ เชื่อไม่ได้ ?
ตอบว่า ตามหลักการของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ให้ถือเอาพระบาลีพุทธพจน์เป็นข้อยุติ หมายความว่า
หากข้อความจาก อรรถกถา ฎีกา หรือ อนุฎีกา ขัด หรือ แย้ง กับพนะบาลีพุทธพจน์ ก็ให้ทิ้งเสีย อย่าไปถือเอา
นี่เป็น "ธรรมเนียม" ตามปกติของชาวพุทธเถรวาท นะครับ
แต่เหตุใด นายนั่น จึงแสดงอาการเหมือน "ไม่คุ้นเคย" ผมก็มิอาจทราบได้จริงๆ
ทั้งนี้ก็เพราะ แม้แต่ตัวของอรรถกถาจารย์เอง ก็กล่าวอย่างชัดเจนว่า
"สุตตะ ใครๆ คัดค้านไม่ได้ เมื่อคัดค้านสุตตะนั้น ก็เท่ากับคัดค้านพระพุทธเจ้าด้วย"
แปลว่าอะไรครับ ?
ไม่ว่าจะเป็น มติของ อรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์ หรือ อนุฎีกาจารย์ ตลอดจน เกจิอาจารย์ รวมไปถึง อัตตโนมัติ ทั้งหลาย
ถ้าหากปรากฏว่า ขัด หรือ แย้ง กับพระบาลีพุทธพจน์ เราในฐานะที่เป็นชาวพุทธเถรวาท ก็ย่อมสามารถใช้วิจารณญาณของตน
ในการพิจารณาว่า มติเหล่านั้น ไม่ควรถือเอา ให้ละทิ้งไปเสีย
ซึ่งนี่ ก็คือ ธรรมเนียมเถรวาท นะครับ !
(๕) ถามว่า เอาให้มันนิ่งก่อนดีไหม ?
ตอบว่า ผมถือตนว่า "ผมนิ่ง" และ "มั่นคง" ที่สุดแล้วนะครับ เมื่อกล่าวถึง ธรรมเนียมเถรวาท ซึ่งให้เถือเอาพระบาลีพุทธพจน์เป็นหลัก
ส่วนการที่ผมจะยอมรับ มติชั้นอรรถกถา หรือไม่ นั่นย่อมเป็นเรื่องของการใช้ "สติปัญญา" ในการพิจารณาโดยเทียบเคียงกับพระสูตรพระวินัย
โดยหากเข้ากันได้ ลงกันได้ จึงค่อยเชื่อ (ตามหลัก มหาปเทส ๔) ซึ่งนี่ย่อมเป็นหลักการสำคัญที่ชาวพุทธทุกคนจะต้อง "นิ่ง" อย่างมั่นคงที่สุด มิใช่หรือ ?
.
.
.
ในฐานะที่เป็นชาวพุทธเถรวาท ผม(จ้าวนครเมฆขาว) ทำสิ่งใดผิดไป เล่าครับ ?
*****************************************************************************************
เรื่องแบบนี้ ท่านทั้งหลายไม่จำเป็นต้องฟังผม ก็ได้ นะครับ แต่จงลองฟังคำอธิบายของท่านปยุตโต กันดีกว่าว่า
เราในฐานะที่เป็นชาวพุทธเถรวาท ผู้มีสติปัญญา ควรมีท่าทีอย่างไร กับข้อมูลในชั้นสาวก
(๑) ข้อมูลเหล่านั้นเป็น "ข้อมูลเพื่อให้รู้ ไม่ใช่ข้อมูลเพื่อให้เชื่อ"
(๒) การอ้างอรรถกถา เป็นเรื่องของ "ข้อมูล" และ "หลักฐาน" ไม่ใช่เรื่องของ "ความเชื่อ"
*****************************************************************************************
ทีนี้ ปัญหา ของไอ้หมอนั่น มันอยู่ตรงไหน ?
มันก็อยู่ตรงที่ว่า ในขณะที่ อัตตโนมัติของมัน ที่อ้างว่า อนาคามี ตายไปเกิดในสุทธาวาส ได้โดยไม่ต้องมีฌานนั้น ไม่มีหลักฐานใดๆ รองรับ
จะมีก็แต่ การแอบอ้างกล่าวตู่ ด้วย อัตตโนมัติของตัวมันเอง เท่านั้น ตัวอย่างเช่น .......
นายคนนี้ กล่าวตู่พระพุทธเจ้า บิดเบือนพระธรรมวินัยว่า .......
"เหตุหลักคือ โอรัมภาคิยสังโยชน์สิ้นไป ตายจึงไปสุทธาวาส ไม่ใช่เพราะได้ ฌาน ฯลฯ"
ทั้งๆ ที่หลักฐานจาก อรรถกถา กลับกล่าวอย่างชัดเจนว่า ฌาน นั่นแหละที่เป็นปัจจัยแก่อุปบัติภพ !
ครั้นจะอ้างว่า รูปราคะ และ อรูปราคะ ต่างหากที่เป็นปัจจัยแก่ภพ ก็ยังนับว่าเป็นการโต้แย้งที่ฟังไม่ขึ้นอยู่ดี ด้วยเหตุที่
รูปราคะ ที่เป็นสังโยชน์ เป็นปัจจัยแก่อุปบัติภพ นี้ก็คือ ความติดใจในอารมณ์แห่งรูปฌาน นั่นเอง (อรูปราคะ ก็อธิบายในแนวเดียวกัน)
.
.
.
สรุปแล้ว ใครกันแน่ครับ ที่ไม่(อยาก)เอาอรรถกถา ?
เพราะเท่าที่สังเกตเห็น ในตอนนี้ ก็เป็นตัวของมันเอง มิใช่หรือ ที่พยายามพูดจา "กีดกัน" ต่างๆ นาๆ
ด้วยไม่อยากให้ผมแสดงหลักฐานชั้นอรรถกถา ที่ขัดแย้งกับ อัตตโนมัติโง่ๆ ของมัน อันจะนำมาสู่ความ "เงิบ" แบบซ้ำซาก
หรือมิใช่ ?
ใครกันแน่ .................. ที่ไม่เอา อรรถกถา ?
การที่นายนั่น แสดงอาการ "เวิ่นเว้อ" อย่างที่เห็น ย่อมเกิดจากความ "ไม่รู้"
และ "ไม่เข้าใจ" ในหลักการของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท อย่างไม่ต้องสงสัย เลยนะครับ !
(๑) ถามว่า เหตุใด วันดีคืนดี ผม(จ้าวนครเมฆขาว) จึงอ้างอรรถกถา ?
ตอบว่า ผมย่อมสามารถอ้าง อรรถกถา ได้ในทุกๆ วันอยู่แล้ว ด้วยเหตุที่ นี่คือการ อ้างอิงหลักฐาน ตามปกติวิสัย อย่างเป็นวิชาการ
(๒) ถามว่า เหตุใด วันดีคืนดี พอมีคนเอาอรรถกถาอภิธรรมมาแย้ง ผม(จ้าวนครเมฆขาว) ก็บอก(ว่าเป็น) คำสาวก ?
ตอบว่า มติของอรรถกถาจารย์ จัดเป็นคำชั้นสาวกอยู่แล้วนี่ครับ การที่ผมระบุว่า นั่นเป็นคำชั้นสาวก ย่อมไม่ถือว่าเป็นการกล่าวที่ผิดไปจากความจริง
(๓) ถามว่า เหตุใด เสร็จแล้ววันดีคืนดี ผม(จ้าวนครเมฆขาว) ก็อ้างอรรถกถาใหม่ ?
ตอบว่า สำหรับผมแล้ว การอ้างอิงคำชั้นสาวก ถือเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ "ผู้อ่าน" โดยไม่ต้องผ่าน "ปาก" ของผม
ซึ่งอาจมีผู้ "แย้ง" ว่านั่นเป็นเพียงแค่ อัตตโนมัติ ของผม ซึ่งให้ในการอ้างอิง ไม่ได้ ......... ก็เท่านั้นเอง นะครับ
(๔) ถามว่า เหตุใด แล้ววันดีคืนดี ผม(จ้าวนครเมฆขาว) ก็บอกอรรถกถาจารย์เฟ้อ เชื่อไม่ได้ ?
ตอบว่า ตามหลักการของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ให้ถือเอาพระบาลีพุทธพจน์เป็นข้อยุติ หมายความว่า
หากข้อความจาก อรรถกถา ฎีกา หรือ อนุฎีกา ขัด หรือ แย้ง กับพนะบาลีพุทธพจน์ ก็ให้ทิ้งเสีย อย่าไปถือเอา
นี่เป็น "ธรรมเนียม" ตามปกติของชาวพุทธเถรวาท นะครับ
แต่เหตุใด นายนั่น จึงแสดงอาการเหมือน "ไม่คุ้นเคย" ผมก็มิอาจทราบได้จริงๆ
ทั้งนี้ก็เพราะ แม้แต่ตัวของอรรถกถาจารย์เอง ก็กล่าวอย่างชัดเจนว่า
"สุตตะ ใครๆ คัดค้านไม่ได้ เมื่อคัดค้านสุตตะนั้น ก็เท่ากับคัดค้านพระพุทธเจ้าด้วย"
แปลว่าอะไรครับ ?
ไม่ว่าจะเป็น มติของ อรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์ หรือ อนุฎีกาจารย์ ตลอดจน เกจิอาจารย์ รวมไปถึง อัตตโนมัติ ทั้งหลาย
ถ้าหากปรากฏว่า ขัด หรือ แย้ง กับพระบาลีพุทธพจน์ เราในฐานะที่เป็นชาวพุทธเถรวาท ก็ย่อมสามารถใช้วิจารณญาณของตน
ในการพิจารณาว่า มติเหล่านั้น ไม่ควรถือเอา ให้ละทิ้งไปเสีย
ซึ่งนี่ ก็คือ ธรรมเนียมเถรวาท นะครับ !
(๕) ถามว่า เอาให้มันนิ่งก่อนดีไหม ?
ตอบว่า ผมถือตนว่า "ผมนิ่ง" และ "มั่นคง" ที่สุดแล้วนะครับ เมื่อกล่าวถึง ธรรมเนียมเถรวาท ซึ่งให้เถือเอาพระบาลีพุทธพจน์เป็นหลัก
ส่วนการที่ผมจะยอมรับ มติชั้นอรรถกถา หรือไม่ นั่นย่อมเป็นเรื่องของการใช้ "สติปัญญา" ในการพิจารณาโดยเทียบเคียงกับพระสูตรพระวินัย
โดยหากเข้ากันได้ ลงกันได้ จึงค่อยเชื่อ (ตามหลัก มหาปเทส ๔) ซึ่งนี่ย่อมเป็นหลักการสำคัญที่ชาวพุทธทุกคนจะต้อง "นิ่ง" อย่างมั่นคงที่สุด มิใช่หรือ ?
.
.
.
ในฐานะที่เป็นชาวพุทธเถรวาท ผม(จ้าวนครเมฆขาว) ทำสิ่งใดผิดไป เล่าครับ ?
*****************************************************************************************
เรื่องแบบนี้ ท่านทั้งหลายไม่จำเป็นต้องฟังผม ก็ได้ นะครับ แต่จงลองฟังคำอธิบายของท่านปยุตโต กันดีกว่าว่า
เราในฐานะที่เป็นชาวพุทธเถรวาท ผู้มีสติปัญญา ควรมีท่าทีอย่างไร กับข้อมูลในชั้นสาวก
(๑) ข้อมูลเหล่านั้นเป็น "ข้อมูลเพื่อให้รู้ ไม่ใช่ข้อมูลเพื่อให้เชื่อ"
(๒) การอ้างอรรถกถา เป็นเรื่องของ "ข้อมูล" และ "หลักฐาน" ไม่ใช่เรื่องของ "ความเชื่อ"
*****************************************************************************************
ทีนี้ ปัญหา ของไอ้หมอนั่น มันอยู่ตรงไหน ?
มันก็อยู่ตรงที่ว่า ในขณะที่ อัตตโนมัติของมัน ที่อ้างว่า อนาคามี ตายไปเกิดในสุทธาวาส ได้โดยไม่ต้องมีฌานนั้น ไม่มีหลักฐานใดๆ รองรับ
จะมีก็แต่ การแอบอ้างกล่าวตู่ ด้วย อัตตโนมัติของตัวมันเอง เท่านั้น ตัวอย่างเช่น .......
นายคนนี้ กล่าวตู่พระพุทธเจ้า บิดเบือนพระธรรมวินัยว่า .......
"เหตุหลักคือ โอรัมภาคิยสังโยชน์สิ้นไป ตายจึงไปสุทธาวาส ไม่ใช่เพราะได้ ฌาน ฯลฯ"
ทั้งๆ ที่หลักฐานจาก อรรถกถา กลับกล่าวอย่างชัดเจนว่า ฌาน นั่นแหละที่เป็นปัจจัยแก่อุปบัติภพ !
ครั้นจะอ้างว่า รูปราคะ และ อรูปราคะ ต่างหากที่เป็นปัจจัยแก่ภพ ก็ยังนับว่าเป็นการโต้แย้งที่ฟังไม่ขึ้นอยู่ดี ด้วยเหตุที่
รูปราคะ ที่เป็นสังโยชน์ เป็นปัจจัยแก่อุปบัติภพ นี้ก็คือ ความติดใจในอารมณ์แห่งรูปฌาน นั่นเอง (อรูปราคะ ก็อธิบายในแนวเดียวกัน)
.
.
.
สรุปแล้ว ใครกันแน่ครับ ที่ไม่(อยาก)เอาอรรถกถา ?
เพราะเท่าที่สังเกตเห็น ในตอนนี้ ก็เป็นตัวของมันเอง มิใช่หรือ ที่พยายามพูดจา "กีดกัน" ต่างๆ นาๆ
ด้วยไม่อยากให้ผมแสดงหลักฐานชั้นอรรถกถา ที่ขัดแย้งกับ อัตตโนมัติโง่ๆ ของมัน อันจะนำมาสู่ความ "เงิบ" แบบซ้ำซาก
หรือมิใช่ ?