บทความต่อไปนี้มาจากการค้นคว้าและสรุปจากการพูดคุยผ่าน ChatGPT ผมไม่ยืนยันและตัดสินว่าผิดหรือถูก แต่อยากชวนเพื่อนๆมาร่วมอภิปรายประเด็นนี้กันครับ
บทความ: “สังคายนา–อรรถกถา–และวิธีพิจารณาเมื่อเห็นต่างจากพระสูตร”
⸻
บทนำ
พระพุทธเจ้าตรัสชัดเจนว่า หลังปรินิพพานแล้ว “ธรรมและวินัยที่ทรงแสดงบัญญัติไว้แล้วจักเป็นศาสดาแทนพระองค์” (มหาปรินิพพานสูตร) และทรงให้หลัก มหาปเทส ๔ สำหรับตรวจสอบคำสอนใหม่ ๆ ว่า ตรงกับพระสูตร–พระวินัยหรือไม่
การ “สังคายนาพระไตรปิฎก” จึงมีเป้าหมายเพื่อรักษาคำสอนดั้งเดิมไม่ให้ผิดเพี้ยน แต่เมื่อเวลาผ่านไป มีการแต่ง อรรถกถา (คัมภีร์อธิบาย) โดยพระอาจารย์รุ่นหลัง เพื่อช่วยขยายความพระสูตร พระวินัย และพระอภิธรรม จุดนี้เองที่ทำให้เกิด “ความเฟ้อ” ของเนื้อหา คือการอธิบายที่ยืดยาวเกินไปหรือเติมรายละเอียดที่พระสูตรไม่ได้กล่าวไว้ตรง ๆ
⸻
1) สังคายนาและสถานะของอรรถกถา
• ครั้งที่ 1 (ราชคฤห์): รวบรวมพระสูตร–พระวินัย โดยพระอานนท์และพระอุบาลี ยังไม่มีอรรถกถาเป็นระบบ
• ครั้งที่ 2 (เวสาลี): เน้นพระวินัย ไม่แก้พระสูตร
• ครั้งที่ 3 (ปาฏลีบุตร สมัยอโศก): ยืนยันอภิธรรมเป็นส่วนหนึ่งของไตรปิฎก (เฉพาะสายเถรวาท)
• ครั้งที่ 4 (ศรีลังกา): จารพระไตรปิฎกลงใบลาน และเริ่มบันทึกอรรถกถาอย่างจริงจัง
• ครั้งที่ 5–6 (พม่า): ตรวจสอบและตีพิมพ์ ไม่แตะเนื้อหา
สรุปคือ พระสูตร–พระวินัย คงเดิมมาตลอด ส่วน อรรถกถา เป็นงานของสาวกที่พัฒนาขึ้นในภายหลังเพื่ออธิบาย
⸻
2) อรรถกถาคืออะไร
• เป็น คำอธิบาย ความหมายศัพท์บาลี เหตุการณ์เบื้องหลัง และการตีความเชิงธรรมะ
• มักจบตอนด้วยวลีว่า “อิมัสสะ สุตตัสสะ อัฏฐกถา นิฏฐิตา” = อรรถกถาของพระสูตรนี้จบแล้ว
• ไม่ได้ตั้งใจเป็นพระพุทธวจนะใหม่ แต่เป็น “คู่มือเสริม” สำหรับเข้าใจพระไตรปิฎก
⸻
3) จุดอ่อนไหวของอรรถกถา
3.1 การเล่าเรื่อง–พิธีกรรมเสริม
เช่น รัตนสูตร กล่าวเพียงสดุดีพระรัตนตรัยเพื่อระงับภัย แต่ อรรถกถารัตนสูตร เพิ่มรายละเอียดว่า พระพุทธเจ้ามอบหมายพระอานนท์เดินถือบาตรน้ำ โปรยไปรอบเมืองเวสาลี → กลายมาเป็นรากฐานของพิธี “น้ำมนต์”
3.2 จักรวาลวิทยา
พระสูตรกล่าวถึงสังสารวัฏโดยเน้นเรื่อง “ทุกข์–สมุทัย–นิโรธ–มรรค” แต่ในอรรถกถามักขยายจักรวาลเป็นชั้น ๆ ภูเขาสิเนรุ ทวีปทั้งสี่ สวรรค์–นรก ซึ่งเป็นรายละเอียดทางวัฒนธรรมและคติความเชื่อ ไม่ใช่สาระการปฏิบัติ
3.3 ชาดก
พระสูตรบางแห่งกล่าวถึงอดีตชาติของพระพุทธเจ้า แต่ ชาดกอรรถกถา ขยายเป็นกว่า 500 ชาติ เนื้อหามีคุณค่าด้านจริยธรรม แต่เป็นการเล่าที่เพิ่มเติมขึ้นเพื่อสอนใจ ไม่ใช่ถ้อยคำตรงจากพระสูตร
3.4 ความเฟ้อในอภิธรรมและเจตสิก
• พระสูตร: กล่าวถึง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อย่างเรียบง่าย
• อภิธรรม: แจกแจง “เจตสิก” (องค์ประกอบจิต) เป็น 52 ประเภท, “จิต” 89–121 ประเภท
• อรรถกถา: อธิบายเชิงวิชาการยิ่งขึ้น เช่น แยกเวทนาเป็น 3, 5, 108 ประเภท
• ปัญหา: รายละเอียดเหล่านี้ช่วยในเชิงวิเคราะห์ แต่หากยึดติดเกินไปอาจทำให้ “ลืมเป้าหมายปฏิบัติ” ที่พระสูตรย้ำคือ การเจริญสติรู้กาย เวทนา จิต ธรรม เพื่อลดละกิเลส ไม่ใช่เพื่อจดจำตัวเลข
⸻
4) ถือว่าเป็นการแต่งใหม่หรือไม่?
• เถรวาทมองว่า ไม่ใช่การบัญญัติธรรมใหม่ แต่เป็นการ “อธิบายและจำแนก” สิ่งที่มีในพระสูตร
• นักวิชาการพุทธศาสนาบางกลุ่มมองว่า ใช่การแต่งใหม่ เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนรายละเอียดเช่น “เจตสิก 52” หรือ “ชาดก 500 ชาติ” ในพระสูตรดั้งเดิม
• ดังนั้นควรยอมรับตรงไปตรงมาว่า เป็นงานของสาวกภายหลัง ใช้เพื่อความเข้าใจ แต่ไม่เทียบเท่าพระสูตร
⸻
5) วิธีพิจารณาเมื่อพบความขัดแย้ง
1. ลำดับอำนาจ: พระสูตร–พระวินัย > อภิธรรม > อรรถกถา > ฎีกา
2. ตรวจถ้อยคำตรง: ดูว่าพระสูตรพูดว่าอะไร แล้วอรรถกถาเพิ่มอะไร
3. มหาปเทส ๔: สิ่งใดตรงพระสูตร–พระวินัย ยอมรับ, ไม่ตรงให้วาง
4. โคตมีสูตร (AN 8.53): สิ่งใดทำให้คลายกำหนัด–ไม่สะสมกิเลส–เจริญปัญญา ถือว่าเป็นธรรม
5. เน้นเป้าหมาย: พระพุทธเจ้าสอนเพื่อความสิ้นทุกข์ ไม่ใช่เพื่อทฤษฎีเฟ้อ
6. แยกประวัติ–พิธีกรรม–ความเชื่อ ออกจาก หลักธรรมปฏิบัติ
⸻
6) ตัวอย่างสรุป
• พระสูตร: “รู้เวทนาอย่างมีสติ”
• อรรถกถา: แจกแจงเวทนาเป็น 108 ชนิด
• การพิจารณา: ยึดพระสูตรเป็นหลักในการภาวนา ส่วนการแจกแจงถือเป็นเครื่องมือเสริมความเข้าใจ
⸻
บทสรุป
อรรถกถามีคุณค่ามากในฐานะสะพานเชื่อมการเข้าใจพระไตรปิฎก แต่ก็มี “ความเฟ้อ” คือการขยายความจนเกินขอบเขตเดิมของพระสูตร เช่น พิธีน้ำมนต์ จักรวาลวิทยา ชาดกจำนวนมาก และการแจกแจงเจตสิกละเอียด เมื่อเกิดความไม่สอดคล้อง เราควร ยึดพระสูตร–พระวินัยเป็นหลักสูงสุด ใช้อรรถกถาเป็นเครื่องมือประกอบ และประเมินผลด้วยเกณฑ์ว่า “สิ่งนี้ช่วยลดกิเลสและนำไปสู่ความพ้นทุกข์หรือไม่”
การปฏิเสธอรรถกถาเท่ากับปฏิเสธศาสนา?
บทความ: “สังคายนา–อรรถกถา–และวิธีพิจารณาเมื่อเห็นต่างจากพระสูตร”
⸻
บทนำ
พระพุทธเจ้าตรัสชัดเจนว่า หลังปรินิพพานแล้ว “ธรรมและวินัยที่ทรงแสดงบัญญัติไว้แล้วจักเป็นศาสดาแทนพระองค์” (มหาปรินิพพานสูตร) และทรงให้หลัก มหาปเทส ๔ สำหรับตรวจสอบคำสอนใหม่ ๆ ว่า ตรงกับพระสูตร–พระวินัยหรือไม่
การ “สังคายนาพระไตรปิฎก” จึงมีเป้าหมายเพื่อรักษาคำสอนดั้งเดิมไม่ให้ผิดเพี้ยน แต่เมื่อเวลาผ่านไป มีการแต่ง อรรถกถา (คัมภีร์อธิบาย) โดยพระอาจารย์รุ่นหลัง เพื่อช่วยขยายความพระสูตร พระวินัย และพระอภิธรรม จุดนี้เองที่ทำให้เกิด “ความเฟ้อ” ของเนื้อหา คือการอธิบายที่ยืดยาวเกินไปหรือเติมรายละเอียดที่พระสูตรไม่ได้กล่าวไว้ตรง ๆ
⸻
1) สังคายนาและสถานะของอรรถกถา
• ครั้งที่ 1 (ราชคฤห์): รวบรวมพระสูตร–พระวินัย โดยพระอานนท์และพระอุบาลี ยังไม่มีอรรถกถาเป็นระบบ
• ครั้งที่ 2 (เวสาลี): เน้นพระวินัย ไม่แก้พระสูตร
• ครั้งที่ 3 (ปาฏลีบุตร สมัยอโศก): ยืนยันอภิธรรมเป็นส่วนหนึ่งของไตรปิฎก (เฉพาะสายเถรวาท)
• ครั้งที่ 4 (ศรีลังกา): จารพระไตรปิฎกลงใบลาน และเริ่มบันทึกอรรถกถาอย่างจริงจัง
• ครั้งที่ 5–6 (พม่า): ตรวจสอบและตีพิมพ์ ไม่แตะเนื้อหา
สรุปคือ พระสูตร–พระวินัย คงเดิมมาตลอด ส่วน อรรถกถา เป็นงานของสาวกที่พัฒนาขึ้นในภายหลังเพื่ออธิบาย
⸻
2) อรรถกถาคืออะไร
• เป็น คำอธิบาย ความหมายศัพท์บาลี เหตุการณ์เบื้องหลัง และการตีความเชิงธรรมะ
• มักจบตอนด้วยวลีว่า “อิมัสสะ สุตตัสสะ อัฏฐกถา นิฏฐิตา” = อรรถกถาของพระสูตรนี้จบแล้ว
• ไม่ได้ตั้งใจเป็นพระพุทธวจนะใหม่ แต่เป็น “คู่มือเสริม” สำหรับเข้าใจพระไตรปิฎก
⸻
3) จุดอ่อนไหวของอรรถกถา
3.1 การเล่าเรื่อง–พิธีกรรมเสริม
เช่น รัตนสูตร กล่าวเพียงสดุดีพระรัตนตรัยเพื่อระงับภัย แต่ อรรถกถารัตนสูตร เพิ่มรายละเอียดว่า พระพุทธเจ้ามอบหมายพระอานนท์เดินถือบาตรน้ำ โปรยไปรอบเมืองเวสาลี → กลายมาเป็นรากฐานของพิธี “น้ำมนต์”
3.2 จักรวาลวิทยา
พระสูตรกล่าวถึงสังสารวัฏโดยเน้นเรื่อง “ทุกข์–สมุทัย–นิโรธ–มรรค” แต่ในอรรถกถามักขยายจักรวาลเป็นชั้น ๆ ภูเขาสิเนรุ ทวีปทั้งสี่ สวรรค์–นรก ซึ่งเป็นรายละเอียดทางวัฒนธรรมและคติความเชื่อ ไม่ใช่สาระการปฏิบัติ
3.3 ชาดก
พระสูตรบางแห่งกล่าวถึงอดีตชาติของพระพุทธเจ้า แต่ ชาดกอรรถกถา ขยายเป็นกว่า 500 ชาติ เนื้อหามีคุณค่าด้านจริยธรรม แต่เป็นการเล่าที่เพิ่มเติมขึ้นเพื่อสอนใจ ไม่ใช่ถ้อยคำตรงจากพระสูตร
3.4 ความเฟ้อในอภิธรรมและเจตสิก
• พระสูตร: กล่าวถึง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อย่างเรียบง่าย
• อภิธรรม: แจกแจง “เจตสิก” (องค์ประกอบจิต) เป็น 52 ประเภท, “จิต” 89–121 ประเภท
• อรรถกถา: อธิบายเชิงวิชาการยิ่งขึ้น เช่น แยกเวทนาเป็น 3, 5, 108 ประเภท
• ปัญหา: รายละเอียดเหล่านี้ช่วยในเชิงวิเคราะห์ แต่หากยึดติดเกินไปอาจทำให้ “ลืมเป้าหมายปฏิบัติ” ที่พระสูตรย้ำคือ การเจริญสติรู้กาย เวทนา จิต ธรรม เพื่อลดละกิเลส ไม่ใช่เพื่อจดจำตัวเลข
⸻
4) ถือว่าเป็นการแต่งใหม่หรือไม่?
• เถรวาทมองว่า ไม่ใช่การบัญญัติธรรมใหม่ แต่เป็นการ “อธิบายและจำแนก” สิ่งที่มีในพระสูตร
• นักวิชาการพุทธศาสนาบางกลุ่มมองว่า ใช่การแต่งใหม่ เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนรายละเอียดเช่น “เจตสิก 52” หรือ “ชาดก 500 ชาติ” ในพระสูตรดั้งเดิม
• ดังนั้นควรยอมรับตรงไปตรงมาว่า เป็นงานของสาวกภายหลัง ใช้เพื่อความเข้าใจ แต่ไม่เทียบเท่าพระสูตร
⸻
5) วิธีพิจารณาเมื่อพบความขัดแย้ง
1. ลำดับอำนาจ: พระสูตร–พระวินัย > อภิธรรม > อรรถกถา > ฎีกา
2. ตรวจถ้อยคำตรง: ดูว่าพระสูตรพูดว่าอะไร แล้วอรรถกถาเพิ่มอะไร
3. มหาปเทส ๔: สิ่งใดตรงพระสูตร–พระวินัย ยอมรับ, ไม่ตรงให้วาง
4. โคตมีสูตร (AN 8.53): สิ่งใดทำให้คลายกำหนัด–ไม่สะสมกิเลส–เจริญปัญญา ถือว่าเป็นธรรม
5. เน้นเป้าหมาย: พระพุทธเจ้าสอนเพื่อความสิ้นทุกข์ ไม่ใช่เพื่อทฤษฎีเฟ้อ
6. แยกประวัติ–พิธีกรรม–ความเชื่อ ออกจาก หลักธรรมปฏิบัติ
⸻
6) ตัวอย่างสรุป
• พระสูตร: “รู้เวทนาอย่างมีสติ”
• อรรถกถา: แจกแจงเวทนาเป็น 108 ชนิด
• การพิจารณา: ยึดพระสูตรเป็นหลักในการภาวนา ส่วนการแจกแจงถือเป็นเครื่องมือเสริมความเข้าใจ
⸻
บทสรุป
อรรถกถามีคุณค่ามากในฐานะสะพานเชื่อมการเข้าใจพระไตรปิฎก แต่ก็มี “ความเฟ้อ” คือการขยายความจนเกินขอบเขตเดิมของพระสูตร เช่น พิธีน้ำมนต์ จักรวาลวิทยา ชาดกจำนวนมาก และการแจกแจงเจตสิกละเอียด เมื่อเกิดความไม่สอดคล้อง เราควร ยึดพระสูตร–พระวินัยเป็นหลักสูงสุด ใช้อรรถกถาเป็นเครื่องมือประกอบ และประเมินผลด้วยเกณฑ์ว่า “สิ่งนี้ช่วยลดกิเลสและนำไปสู่ความพ้นทุกข์หรือไม่”