ความเดิมต่อที่ 1 : เกริ่นนำ การเตรียมตัวก่อนไป และรถไฟคืนแรก
http://pantip.com/topic/32766654
ตอนที่ 2 : รถไฟคืนที่ 2 และ 3 กับการเที่ยวลาซาวันแรก
http://pantip.com/topic/32767265
ตอนที่ 3 : เที่ยวลาซาวันที่ 2
http://pantip.com/topic/32767576
ตอนที่ 4 : เดินทางสู่ EBC
http://pantip.com/topic/32768080
ขอลองเปลี่ยนประเภทกระทู้ดูค่ะ เดิมเลือกกระทู้สนทนา แต่แอบเห็นท่านอื่นที่ไปเที่ยวมาเขียนลงในกระทู้รีวิว สงสัยจะเลือกประเภทกระทู้ผิดมาตลอด ขอเปลี่ยนอันสุดท้ายละกันนะคะ ขอโทษทีค่ะ
หลังจากเราออกจากอารามทาชิหลุนโป เราก็เดินทางต่อไปจุดหมายปลายทางของทริปนี้คือ Everest Base Camp
วิวระหว่างทางอลังการมากค่ะ มากจนไม่สามารถถ่ายทอดออกมาด้วยภาพถ่ายได้หมด
เรานั่งรถขึ้นเขาแล้วเขาเล่า จนเหมือนลอยอยู่ระดับเดียวกับเมฆ
ธงสีๆที่เห็นคือธงมนต์ หรือ Lung Ta ค่ะ เค้ามักจะแขวนไว้ตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เช่น วัด แม่น้ำ ภูเขา สถูป มี 5 สี แทนธาตุต่างๆ สีน้ำเงินคือน้ำ สีเหลืองคือดิน สีแดงคือไฟ สีขาวคือลม สุดท้ายคือสีเขียวคือชีวิต บนธงจะมีมนตราเขียนอยู่ค่ะ พอธงโดนลมโบกสบัด ก็เหมือนกับมนตรานั้นกระจายออกไปตามลม
ระหว่างทางเราแวะทานข้าวกลางวัน
ทางเข้าร้าน
ภายในร้าน ตกแต่งคล้ายๆกันทุกร้านค่ะ
อาหารจานอร่อย ผักโขมผัดหมู รสชาติดีค่ะ
จากนั้นเราก็เดินทางต่อ
เข้าเขตอุทยานแห่งชาติโชโมลังม่า (Qomolangma National Nature Preserve) มีธงมนต์ ซุ้มประตู จากช่องนี้จะมองเห็นเทือกเขาหิมาลัย
เทือกเขาหิมาลัย
จุดนี้ เป็นจุดที่สูงสุดของเส้นทางนี้ค่ะ สูงจากระดับน้ำทะเล 5248 เมตร เห็นแดดแรงๆอย่างนี้ ลมแรงและหนาวมาก หนาวจนเจ็บหู ต้องเอาที่ปิดหูมาใส่
เราเดินทางต่อ
อันนี้คือทางเข้าสู่ EBC เดิม แต่ปีนี้เค้าปิดทำทาง เราต้องขับต่อไปเมือง Old Tingri เพื่อเข้า EBC อีกทาง ซึ่งเป็นทางที่ไกลและอ้อมกว่า คุณไกด์จอดรถให้เราแวะถ่ายรูปกับซุ้มประตูเล็กน้อย
แล้วเราก็มาถึงเมือง Old Tingri เพื่อเดินทางเข้าสู่ EBC แต่ปรากฏว่า...... เจ้าหน้าที่บอกว่า มีหิมะตกหนักมาก ไม่สามารถเข้าไปได้เลย ปิด 4 วัน
ความฝันล่มสลาย

จ๋อยสนิท วินาทีนั้น สิ่งที่นึกคือ ความฝันที่จะได้เห็น Everest ใกล้ๆนั้น จบลงแล้วหรือนี่ ไม่! สงสัยปีหน้าต้องมาใหม่ 55555
คุณไกด์ปลอบใจโดยการพาขึ้นเนินไปดูพระอาทิตย์ตกท่ามกลางเทือกเขาหิมาลัยที่ล้อมรอบตัวเราขณะนี้แทน
เห็นยอดทางด้านซ้ายมือของภาพไม๊คะ นั่นละค่ะ ยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก....Everest
ความจริง ภาพตรงหน้า มันสวยงามมาก แต่ไม่ฟินเท่าไหร่ มองยอด Everest เศร้าๆ คือ อีกแค่นิดเดียว นิดเดียวจริงๆ
อีกรูป เห็นสีก็ยิ่งทวีคูณความเศร้า
แล้วเราก็กลับลงไปพักที่โรงแรมในเมือง Tingri
ตัวเมือง Tingri สูงจากระดับน้ำทะเล ประมาณ 4300 เมตร สภาพแรงกายเราแข็งแรงดี ไม่มีอาการ Altitude sickness ใดๆ แต่สภาพจิตใจแย่มาก เศร้าหมอง
สภาพห้องนอน เหมือนจะดูดี คุณไกด์บอกมีผ้าห่มเพิ่มนะในตู้ อากาศตอนนั้นประมาณ -4 องศา แต่พอดึกๆหนาวลงไปอีก ประมาณ -6 องศา ผ้าห่ม 3 ชั้นก็ยังหนาวเหน็บ เพราะห้องพักไม่มี Heater จ้า
ห้องน้ำที่ใช้แค่ฉี่เท่านั้น มีอ่างอาบน้ำด้วยนะจ้ะ
เราอยากทำตามเป้าหมายเดิมคือ ถ่ายภาพทางช้างเผือก ตอนแรกตั้งใจจะถ่ายที่ Everest Base Camp แต่ในเมื่อเข้าไม่ได้ ก็ขอถ่ายที่ Tingri ก็ได้ พี่ที่ไปด้วยกันคุยกับคุณไกด์ว่า อยากหาที่โล่งกว้าง มืดสนิท เพื่อถ่ายทางช้างเผือก คุณไกด์ก็ดีเหลือเกิน ทั้งๆที่ตอนนั้น 3 ทุ่มกว่าแล้ว ก็ยังพาไปหาสถานที่แบบนั้นให้ ก็คือทางขึ้นเนินที่ไปดูพระอาทิตย์ตกนั่นหล่ะค่ะ
สภาพอากาศตอนนั้น หนาวและลมแรงมาก แต่เรายืนถ่ายในที่โล่งและมืดแบบนั้นเป็นชั่วโมง ส่วนคุณไกด์ขอไปรอในรถ
ได้ภาพทางช้างเผือกแล้วค่ะ
เข้าใจแล้วว่าดาวเต็มฟ้าเป็นยังไง มันเต็มทุกๆตารางนิ้วของท้องฟ้าจริงๆค่ะ สวยมากกกก ชื่นใจจนลืมหนาวเลยทีเดียว
การถ่ายทางช้างเผือกของเรา ใช้อุปกรณ์ดังนี้
- กล้อง เราใช้ Nikon D600 24-85mm f/3.5-4.5G ED VR
- ปรับ Setting เป็น RAW+JPEG
- ตั้งโหมด M
- manual focus ปรับไป infinity
- ตั้ง f ที่ 3.5
- Shutter speed 25-30 sec (ถ้านาน ดาวจะยืด)
- ISO 2500-3200
- หน่วงเวลา Shutter
- ขาตั้งกล้อง ควรใช้แข็งแรงนิดนึงค่ะ เพราะลมแรง
- App Sky safari เพราะหาตำแหน่งทางช้างเผือก
ตอนปรับองค์ประกอบก่อนถ่าย ไม่หนาวเลยค่ะ แต่ตอนรอ Shutter speed 25-30 sec หนาวมากกก แต่พอรูปออกมาก็หายหนาวละ
เราถ่ายกันอยู่ชั่วโมงนึงก็กลับโรงแรม เนื่องจาก 4 ทุ่มกว่าแล้ว เกรงใจคุณไกด์และลุงคนขับรถ
แต่เราก็มาถ่ายกันต่อ ตรงลานหน้าโรงแรม จนถึงเกือบตีหนึ่งค่ะ ณ จุดนั้น ฟินกับท้องฟ้ามากกก สวยมากจริงๆค่ะ สวยจนลืมไปเลยว่าอุณหภูมิตอนนั้น -6 องศา
ทางช้างเผือกที่โรงแรมค่ะ ดาวเต็มฟ้า และฟ้าต่ำจนดาวดูใกล้มากๆเลยค่ะ
เรากลับไปนอนที่โรงแรมด้วยความหนาวเหน็บ เข้าไปในห้องคิดว่าจะอุ่น เปล่าเลยค่ะ หนาวเหมือนเดิม แค่ไม่มีลม อยากแนะนำโรงแรมว่าเอาเงินที่ซื้ออ่างอาบน้ำ ไปซื้อ Heater แทน
วิวตอนเช้าหน้าโรงแรม พระอาทิตย์ขึ้นบนเทือกเขาหิมาลัย
โรงแรมที่เราพักค่ะ
เมือง Tingri ตอนเช้า สงบเงียบ
เรากำลังจะกลับเมืองชิกัตเซ่กันตอนเช้า คุณไกด์เช็คที่ด่านให้อีกที ปรากฏว่าด่านเปิดให้เข้าไปที่ Everest Base Camp ค่ะ
วินาทีนั้น ดีใจที่สุด
วิวจากหน้าด่านทางเข้าค่ะ รู้สึกสวยกว่าเมื่อวานมาก
เข้ามาแล้วค่ะ
ปีนไปตามภูเขาเรื่อยๆ
หิมะเริ่มเยอะขึ้น
เห็น Everest แล้วค่ะ น้ำตาจะไหล
ถึงบริเวณจุด EBC tent ที่เดิมเราจะมานอนที่นี่ ความสูง 5200 เมตร ค่ะ ยังสบายดีทุกคน
ปรากฏเค้ากำลังเก็บเต้นท์เพราะอากาศหนาวมาก และจะมีพายุหิมะ
อีกรูปนะคะ
ความจริงแล้วเราต้องเข้าไปอีกประมาณ 3 กิโล แต่เนื่องจากหิมะตกหนักมาก เข้าไปต่อไม่ได้ เราเลยต้องหยุดอยู่แค่นี้ แต่ก็ฟินมากๆแล้วค่ะ
เราเดินทางกลับมาทางเดิม ผ่าน
วัดรงบุก (Rongbuk monastery)
เป็นวัดที่อยู่สูงที่สุดในโลก 4,980 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ห่างจาก EBC 8 กิโล เป็นจุดถ่ายรูป Everest ฝั่งเหนือที่สวยที่สุดค่ะ
เหมือนที่เราชอบเห็นในโปสการ์ดที่มีเจดีย์สีขาวเป็นฉากหน้า
ตรงข้ามวัดรงบุก มี Rongbuk Monastery Guesthouse สามารถพักได้ สำหรับคนที่พักที่เต้นท์ไม่ไหว
ระหว่างทางกลับ
แวะค้างคืนที่ชิกัตเซ่ 1 คืน ก่อนกลับทาง Southern Friendship highway
ระหว่างทาง Southern Friendship highway เราแวะเที่ยวตามจุดต่างที่เราไม่ได้เที่ยวช่วงขามาเพราะเรามาคนละทาง เริ่มจากแวะที่เมืองเจียนเซ่ (Gyantse)
อารามเพลกอร์โชเด (Pelkor Chode Monastery)
อารามนี้มีวัดของสามนิกายปนกันอยู่ถึง 15 วัด มีจุดสำคัญสองจุดคือ ซุกละคัง (Tsuklakhang) และเจดีย์คุมบุม (Gyantse Kumbum)
ทางเข้า
ซุกละคัง
เป็นวัดหลักในอารามเพลกอร์ ตั้งตรงกลางทางเข้าพอดี
คุมบุมแห่งเจียนเซ่
สถูปแปดเหลี่ยม
กงล้อมนต์มีให้เห็นทั่วไปตามวัด
แล้วเราก็มุ่งหน้าสู่ทะเลสาบยัมดร๊อก
ชาวทิเบตเชื่อว่าทะเลสาบยัมดร๊อกเป็นทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ ตัวทะเลสาบคดเคี้ยวเป็นรูปแมงป่อง มีน้ำเป็นสีเทอร์ควอยซ์ มีเทือกเขาหิมะโนจินคางซังเป็นฉากหลัง
ควรไปช่วงเช้ามากกว่าช่วงบ่ายนะคะ เพราะช่วงบ่ายเวลาถ่ายรูปจะย้อนแสง
ตรงนี้จะมีหมาทิเบตมาให้ถ่ายรูปด้วย เสียเงินค่าถ่ายค่ะ
เส้นทางไปดูทะเลสาบยัมดร๊อก ต้องขึ้นไปถึงยอดเขาแล้วดูวิวจากยอด ขากลับลงเขา เราเลยได้วิวสวยๆแบบนี้ค่ะ
กลับมาถึงลาซา นอนที่เดิมค่ะ Yak hotel แต่ได้นอนห้องหรูกว่าเดิม
เราออกเดินทางไปสนามบินลาซาแต่เช้า
เครื่องบินจากลาซาไปเฉิงตูค่ะ
ลำใหญ่ ดูปลอดภัยกว่าที่คิด
ถึงเฉิงตูแล้วค่ะ
หลังจากนี้รอต่อเครื่องกลับกรุงเทพ มีห้องให้นอนเล่นด้วยนะคะ ที่ Transit room
จบทริป 10 วันในทิเบตและ Everest Base Camp แล้วค่ะ
ลองไปเที่ยวกันดูนะคะ ทิเบตและ Everest Base Camp ไปไม่ยากเลย แถมไปแล้วได้ความทรงจำและประสบการณ์ที่ดีๆมาเพียบเลยค่ะ
[CR] 10 วันในทิเบต : ความศรัทธาบนดินแดนหลังคาโลก ตามหาทางช้างเผือก Everest Base Camp ที่เกือบไม่ได้ไป (5 จบทริป)
ความเดิมต่อที่ 1 : เกริ่นนำ การเตรียมตัวก่อนไป และรถไฟคืนแรก
http://pantip.com/topic/32766654
ตอนที่ 2 : รถไฟคืนที่ 2 และ 3 กับการเที่ยวลาซาวันแรก
http://pantip.com/topic/32767265
ตอนที่ 3 : เที่ยวลาซาวันที่ 2
http://pantip.com/topic/32767576
ตอนที่ 4 : เดินทางสู่ EBC
http://pantip.com/topic/32768080
ขอลองเปลี่ยนประเภทกระทู้ดูค่ะ เดิมเลือกกระทู้สนทนา แต่แอบเห็นท่านอื่นที่ไปเที่ยวมาเขียนลงในกระทู้รีวิว สงสัยจะเลือกประเภทกระทู้ผิดมาตลอด ขอเปลี่ยนอันสุดท้ายละกันนะคะ ขอโทษทีค่ะ
หลังจากเราออกจากอารามทาชิหลุนโป เราก็เดินทางต่อไปจุดหมายปลายทางของทริปนี้คือ Everest Base Camp
วิวระหว่างทางอลังการมากค่ะ มากจนไม่สามารถถ่ายทอดออกมาด้วยภาพถ่ายได้หมด
เรานั่งรถขึ้นเขาแล้วเขาเล่า จนเหมือนลอยอยู่ระดับเดียวกับเมฆ
ธงสีๆที่เห็นคือธงมนต์ หรือ Lung Ta ค่ะ เค้ามักจะแขวนไว้ตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เช่น วัด แม่น้ำ ภูเขา สถูป มี 5 สี แทนธาตุต่างๆ สีน้ำเงินคือน้ำ สีเหลืองคือดิน สีแดงคือไฟ สีขาวคือลม สุดท้ายคือสีเขียวคือชีวิต บนธงจะมีมนตราเขียนอยู่ค่ะ พอธงโดนลมโบกสบัด ก็เหมือนกับมนตรานั้นกระจายออกไปตามลม
ระหว่างทางเราแวะทานข้าวกลางวัน
ทางเข้าร้าน
ภายในร้าน ตกแต่งคล้ายๆกันทุกร้านค่ะ
อาหารจานอร่อย ผักโขมผัดหมู รสชาติดีค่ะ
จากนั้นเราก็เดินทางต่อ
เข้าเขตอุทยานแห่งชาติโชโมลังม่า (Qomolangma National Nature Preserve) มีธงมนต์ ซุ้มประตู จากช่องนี้จะมองเห็นเทือกเขาหิมาลัย
เทือกเขาหิมาลัย
จุดนี้ เป็นจุดที่สูงสุดของเส้นทางนี้ค่ะ สูงจากระดับน้ำทะเล 5248 เมตร เห็นแดดแรงๆอย่างนี้ ลมแรงและหนาวมาก หนาวจนเจ็บหู ต้องเอาที่ปิดหูมาใส่
เราเดินทางต่อ
อันนี้คือทางเข้าสู่ EBC เดิม แต่ปีนี้เค้าปิดทำทาง เราต้องขับต่อไปเมือง Old Tingri เพื่อเข้า EBC อีกทาง ซึ่งเป็นทางที่ไกลและอ้อมกว่า คุณไกด์จอดรถให้เราแวะถ่ายรูปกับซุ้มประตูเล็กน้อย
แล้วเราก็มาถึงเมือง Old Tingri เพื่อเดินทางเข้าสู่ EBC แต่ปรากฏว่า...... เจ้าหน้าที่บอกว่า มีหิมะตกหนักมาก ไม่สามารถเข้าไปได้เลย ปิด 4 วัน
ความฝันล่มสลาย
คุณไกด์ปลอบใจโดยการพาขึ้นเนินไปดูพระอาทิตย์ตกท่ามกลางเทือกเขาหิมาลัยที่ล้อมรอบตัวเราขณะนี้แทน
เห็นยอดทางด้านซ้ายมือของภาพไม๊คะ นั่นละค่ะ ยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก....Everest
ความจริง ภาพตรงหน้า มันสวยงามมาก แต่ไม่ฟินเท่าไหร่ มองยอด Everest เศร้าๆ คือ อีกแค่นิดเดียว นิดเดียวจริงๆ
อีกรูป เห็นสีก็ยิ่งทวีคูณความเศร้า
แล้วเราก็กลับลงไปพักที่โรงแรมในเมือง Tingri
ตัวเมือง Tingri สูงจากระดับน้ำทะเล ประมาณ 4300 เมตร สภาพแรงกายเราแข็งแรงดี ไม่มีอาการ Altitude sickness ใดๆ แต่สภาพจิตใจแย่มาก เศร้าหมอง
สภาพห้องนอน เหมือนจะดูดี คุณไกด์บอกมีผ้าห่มเพิ่มนะในตู้ อากาศตอนนั้นประมาณ -4 องศา แต่พอดึกๆหนาวลงไปอีก ประมาณ -6 องศา ผ้าห่ม 3 ชั้นก็ยังหนาวเหน็บ เพราะห้องพักไม่มี Heater จ้า
ห้องน้ำที่ใช้แค่ฉี่เท่านั้น มีอ่างอาบน้ำด้วยนะจ้ะ
เราอยากทำตามเป้าหมายเดิมคือ ถ่ายภาพทางช้างเผือก ตอนแรกตั้งใจจะถ่ายที่ Everest Base Camp แต่ในเมื่อเข้าไม่ได้ ก็ขอถ่ายที่ Tingri ก็ได้ พี่ที่ไปด้วยกันคุยกับคุณไกด์ว่า อยากหาที่โล่งกว้าง มืดสนิท เพื่อถ่ายทางช้างเผือก คุณไกด์ก็ดีเหลือเกิน ทั้งๆที่ตอนนั้น 3 ทุ่มกว่าแล้ว ก็ยังพาไปหาสถานที่แบบนั้นให้ ก็คือทางขึ้นเนินที่ไปดูพระอาทิตย์ตกนั่นหล่ะค่ะ
สภาพอากาศตอนนั้น หนาวและลมแรงมาก แต่เรายืนถ่ายในที่โล่งและมืดแบบนั้นเป็นชั่วโมง ส่วนคุณไกด์ขอไปรอในรถ
ได้ภาพทางช้างเผือกแล้วค่ะ
เข้าใจแล้วว่าดาวเต็มฟ้าเป็นยังไง มันเต็มทุกๆตารางนิ้วของท้องฟ้าจริงๆค่ะ สวยมากกกก ชื่นใจจนลืมหนาวเลยทีเดียว
การถ่ายทางช้างเผือกของเรา ใช้อุปกรณ์ดังนี้
- กล้อง เราใช้ Nikon D600 24-85mm f/3.5-4.5G ED VR
- ปรับ Setting เป็น RAW+JPEG
- ตั้งโหมด M
- manual focus ปรับไป infinity
- ตั้ง f ที่ 3.5
- Shutter speed 25-30 sec (ถ้านาน ดาวจะยืด)
- ISO 2500-3200
- หน่วงเวลา Shutter
- ขาตั้งกล้อง ควรใช้แข็งแรงนิดนึงค่ะ เพราะลมแรง
- App Sky safari เพราะหาตำแหน่งทางช้างเผือก
ตอนปรับองค์ประกอบก่อนถ่าย ไม่หนาวเลยค่ะ แต่ตอนรอ Shutter speed 25-30 sec หนาวมากกก แต่พอรูปออกมาก็หายหนาวละ
เราถ่ายกันอยู่ชั่วโมงนึงก็กลับโรงแรม เนื่องจาก 4 ทุ่มกว่าแล้ว เกรงใจคุณไกด์และลุงคนขับรถ
แต่เราก็มาถ่ายกันต่อ ตรงลานหน้าโรงแรม จนถึงเกือบตีหนึ่งค่ะ ณ จุดนั้น ฟินกับท้องฟ้ามากกก สวยมากจริงๆค่ะ สวยจนลืมไปเลยว่าอุณหภูมิตอนนั้น -6 องศา
ทางช้างเผือกที่โรงแรมค่ะ ดาวเต็มฟ้า และฟ้าต่ำจนดาวดูใกล้มากๆเลยค่ะ
เรากลับไปนอนที่โรงแรมด้วยความหนาวเหน็บ เข้าไปในห้องคิดว่าจะอุ่น เปล่าเลยค่ะ หนาวเหมือนเดิม แค่ไม่มีลม อยากแนะนำโรงแรมว่าเอาเงินที่ซื้ออ่างอาบน้ำ ไปซื้อ Heater แทน
วิวตอนเช้าหน้าโรงแรม พระอาทิตย์ขึ้นบนเทือกเขาหิมาลัย
โรงแรมที่เราพักค่ะ
เมือง Tingri ตอนเช้า สงบเงียบ
เรากำลังจะกลับเมืองชิกัตเซ่กันตอนเช้า คุณไกด์เช็คที่ด่านให้อีกที ปรากฏว่าด่านเปิดให้เข้าไปที่ Everest Base Camp ค่ะ
วินาทีนั้น ดีใจที่สุด
วิวจากหน้าด่านทางเข้าค่ะ รู้สึกสวยกว่าเมื่อวานมาก
เข้ามาแล้วค่ะ
ปีนไปตามภูเขาเรื่อยๆ
หิมะเริ่มเยอะขึ้น
เห็น Everest แล้วค่ะ น้ำตาจะไหล
ถึงบริเวณจุด EBC tent ที่เดิมเราจะมานอนที่นี่ ความสูง 5200 เมตร ค่ะ ยังสบายดีทุกคน
ปรากฏเค้ากำลังเก็บเต้นท์เพราะอากาศหนาวมาก และจะมีพายุหิมะ
อีกรูปนะคะ
ความจริงแล้วเราต้องเข้าไปอีกประมาณ 3 กิโล แต่เนื่องจากหิมะตกหนักมาก เข้าไปต่อไม่ได้ เราเลยต้องหยุดอยู่แค่นี้ แต่ก็ฟินมากๆแล้วค่ะ
เราเดินทางกลับมาทางเดิม ผ่าน
วัดรงบุก (Rongbuk monastery)
เป็นวัดที่อยู่สูงที่สุดในโลก 4,980 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ห่างจาก EBC 8 กิโล เป็นจุดถ่ายรูป Everest ฝั่งเหนือที่สวยที่สุดค่ะ
เหมือนที่เราชอบเห็นในโปสการ์ดที่มีเจดีย์สีขาวเป็นฉากหน้า
ตรงข้ามวัดรงบุก มี Rongbuk Monastery Guesthouse สามารถพักได้ สำหรับคนที่พักที่เต้นท์ไม่ไหว
ระหว่างทางกลับ
แวะค้างคืนที่ชิกัตเซ่ 1 คืน ก่อนกลับทาง Southern Friendship highway
ระหว่างทาง Southern Friendship highway เราแวะเที่ยวตามจุดต่างที่เราไม่ได้เที่ยวช่วงขามาเพราะเรามาคนละทาง เริ่มจากแวะที่เมืองเจียนเซ่ (Gyantse)
อารามเพลกอร์โชเด (Pelkor Chode Monastery)
อารามนี้มีวัดของสามนิกายปนกันอยู่ถึง 15 วัด มีจุดสำคัญสองจุดคือ ซุกละคัง (Tsuklakhang) และเจดีย์คุมบุม (Gyantse Kumbum)
ทางเข้า
ซุกละคัง
เป็นวัดหลักในอารามเพลกอร์ ตั้งตรงกลางทางเข้าพอดี
คุมบุมแห่งเจียนเซ่
สถูปแปดเหลี่ยม
กงล้อมนต์มีให้เห็นทั่วไปตามวัด
แล้วเราก็มุ่งหน้าสู่ทะเลสาบยัมดร๊อก
ชาวทิเบตเชื่อว่าทะเลสาบยัมดร๊อกเป็นทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ ตัวทะเลสาบคดเคี้ยวเป็นรูปแมงป่อง มีน้ำเป็นสีเทอร์ควอยซ์ มีเทือกเขาหิมะโนจินคางซังเป็นฉากหลัง
ควรไปช่วงเช้ามากกว่าช่วงบ่ายนะคะ เพราะช่วงบ่ายเวลาถ่ายรูปจะย้อนแสง
ตรงนี้จะมีหมาทิเบตมาให้ถ่ายรูปด้วย เสียเงินค่าถ่ายค่ะ
เส้นทางไปดูทะเลสาบยัมดร๊อก ต้องขึ้นไปถึงยอดเขาแล้วดูวิวจากยอด ขากลับลงเขา เราเลยได้วิวสวยๆแบบนี้ค่ะ
กลับมาถึงลาซา นอนที่เดิมค่ะ Yak hotel แต่ได้นอนห้องหรูกว่าเดิม
เราออกเดินทางไปสนามบินลาซาแต่เช้า
เครื่องบินจากลาซาไปเฉิงตูค่ะ
ลำใหญ่ ดูปลอดภัยกว่าที่คิด
ถึงเฉิงตูแล้วค่ะ
หลังจากนี้รอต่อเครื่องกลับกรุงเทพ มีห้องให้นอนเล่นด้วยนะคะ ที่ Transit room
จบทริป 10 วันในทิเบตและ Everest Base Camp แล้วค่ะ
ลองไปเที่ยวกันดูนะคะ ทิเบตและ Everest Base Camp ไปไม่ยากเลย แถมไปแล้วได้ความทรงจำและประสบการณ์ที่ดีๆมาเพียบเลยค่ะ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น