"พลังงาน" ย้ำต้องเปิดสัมปทานปิโตรเลียม หากช้าหวั่นกระทบค่าไฟ "พุทธะอิสระ" อยากให้กำไรเข้ารัฐ 65%

กระทู้ข่าว
เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม นายทวารัฐ สูตะบุตร รองอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน กล่าวในงานเสวนา "ชี้ทิศทางพลังงานของประเทศ" ครั้งที่ 4 ที่วัดอ้อน้อย อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ซึ่งเป็นการสัมมนาเพื่อรวบรวมข้อมูลก่อนนำเสนอฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อการปฏิรูปพลังงานว่า

“กระทรวงพลังงานไม่ได้เร่งรีบเปิดประมูลสัมปทานสำรวจและขุดเจาะปิโตรเลียม รอบที่ 21 เพราะเรื่องนี้มีการพูดคุยมาประมาณ 3 ปี ตั้งแต่ปี 2555 แต่เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมือง มีการเปลี่ยนรัฐบาล ทำให้กระทรวงพลังงานยังไม่ได้มีการนำเสนอเรื่องนี้ต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.)”

นายทวารัฐ กล่าวว่า การเปิดประมูลสัมปทานสำรวจและขุดเจาะปิโตรเลียม รอบที่ 21 มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อความมั่นคงด้านพลังงานของไทย เนื่องจากไทยมีความต้องการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี และมีความเสี่ยงว่า ปี 2561 การผลิตก๊าซธรรมชาติในประเทศจะลดลงในอัตราที่เร็วขึ้น มีความเสี่ยงที่จะต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) เพิ่มขึ้น โดยขณะนี้มีการนำเข้าแอลเอ็นจีราว 10 ล้านตันต่อปี คิดเป็นมูลค่าการนำเข้าสุทธิกว่า 1 ล้านล้านบาท โดยส่วนใหญ่มาจากพม่า

"ถ้ายิ่งรอ ไม่เปิดประมูลจะยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้น และหากนำเข้าเพิ่มขึ้นจะกระทบต่อค่าไฟฟ้าที่จะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เพราะแอลเอ็นจีเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตไฟฟ้า" นายทวารัฐกล่าว และกระทรวงพลังงานไม่ละเลยเรื่องการหาแหล่งพลังงานหมุนเวียนและพลังงานทดแทน ปัจจุบันมีความต้องการใช้เพิ่มขึ้นปีละ 20% หรือคิดเป็น 400 เมกะวัตต์ต่อปี และคิดเป็นสัดส่วน 11-12% จากการใช้พลังงานทั้งหมดของประเทศ

นายทวารัฐกล่าวว่า สำหรับกองทุนน้ำมันฯ ปัจจุบันยังมีภาระจากการที่ฐานะติดลบอยู่ประมาณ 2 พันล้านบาท หากไม่มีภาระนี้แล้ว สามารถที่จะยกเลิกกองทุนน้ำมันฯได้ แต่ยังเห็นว่ามีความจำเป็นที่ควรคงกองทุนน้ำมันฯไว้ เพื่อดูแลเสถียรภาพของราคาน้ำมันในประเทศ และใช้เป็นกลไกการดูแลส่วนต่างราคาพลังงานแต่ละประเภท เพื่อให้ประชาชนมีการใช้พลังงานให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐ และหากยกเลิกกองทุนน้ำมันฯ ไม่ได้ทำให้ราคาพลังงานทุกประเภทลดลง แต่จะทำให้บางประเภทเพิ่มขึ้น เช่น ก๊าซเอ็นจีวี แอลพีจี แต่จะมีบางประเภทลดลง เช่น น้ำมันเบนซิน

ด้านพระพุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย กล่าวว่า บริษัทเอกชนที่มาขุดเจาะรับรายได้จากผลกำไรในระบบการให้สินสำรวจปิโตรเลียมในสัดส่วน 50% ในส่วนภาครัฐได้รับ 50% หากเพิ่มสัดส่วนให้ภาครัฐได้รับเป็น 65% จะสามารถทำได้หรือไม่ เพื่อที่รัฐบาลจะได้นำรายได้จากผลกำไรตรงนี้ไปใช้จ่ายพัฒนาประเทศผู้เป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติที่แท้จริง พร้อมยื่นข้อเสนออีกข้อในเรื่องของการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับพลังงานภาคประชาชนจากทุกอาชีพเพื่อมาบริหารการตรวจสอบควบคู่ไปกับการทำงานภาครัฐในระดับจังหวัดและระดับภาค

อย่างไรก็ตามนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานกรรมการ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) นั้น ไม่เห็นด้วยกับแนวทางของพระพุทธะอิสระ โดยเกรงว่าจะไม่มีเอกชนสนใจมาลงทุน

"การที่กฎหมายกำหนดอัตราสำรวจปิโตรเลียมระหว่างภาครัฐและเอกชนในสัดส่วนครึ่งต่อครึ่งนั้น เพื่อต้องการจูงใจให้เอกชนมาขุดเจาะ เนื่องจากการขุดเจาะน้ำมันดิบต้องใช้งบประมาณสูงกว่าสัมปทานประเภทอื่น หากต้องการที่จะเพิ่มสัดส่วนของภาครัฐให้ได้รับรายได้จากผลกำไรเพิ่มขึ้น ต้องมีการปรับแก้กฎหมายโดยสามารถเพิ่มภาษีเงินได้ปิโตรเคมี และขณะนี้รัฐได้รับภาษีเงินได้ซึ่งรวมผลประโยชน์อื่นในสัดส่วน 70% แล้ว ถือว่าเหมาะสม หากจะเพิ่มสัดส่วนอีก ไทยจะเหมือนอย่างประเทศกัมพูชาที่จะไม่มีใครมาลงทุน"

"ถ้าไม่การเปิดประมูลสัมปทานรอบใหม่และไม่ได้ต่อสัญญาสัมปทานเดิมที่มีอยู่ การนำเข้าแอลเอ็นจีจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยปัจจุบันสัดส่วนการนำเข้าหลักมาจากพม่า 20% จากการนำเข้าทั้งหมด ซึ่งมีแนวโน้มว่าพม่าจะไม่ต่อสัญญาขายก๊าซให้ไทย เนื่องจากจะนำไว้ใช้ในประเทศ เพราะประเทศกำลังขยายตัว ทำให้ปริมาณก๊าซที่ไทยผลิตได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการ" นายปิยสวัสดิ์กล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่