ก็อยากจะตั้งคำถามว่า อนาคตของพลังงานไทยจะติดหล่มอยู่กันที่ หรือไม่ ??? เห็นที นี่คงป็นเกมวัดใจนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าจะเลือกเส้นทางไหน ระหว่าง “ความมั่นคงทางพลังงาน” กับ “พลังมวลชนคนกันเอง”
----------------------------------------
ความมั่นคงทาง"พลังงาน" เกมวัดใจนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี บริหารประเทศมาครบ 3 ปีเต็ม หลากหลายนโยบายอาจจะมีทั้งเข้าตา และไม่เข้าตา บางเรื่องรอได้ ไม่เร่งด่วน คงต้องให้เวลารัฐบาลในการดำเนินการ เพราะการแก้ไขปัญหาประเทศที่สะสมกันมายาวนานไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ
ความยากง่ายในการดำเนินการ นั่นเป็นส่วนหนึ่ง แต่ “พิมพ์เขียว” ที่วางไว้ นั่นเป็นอีกส่วน โดยเฉพาะนโยบายด้านเศรษฐกิจ แม้ว่าบางประเด็นอาจจะล่าช้า แต่สิ่งที่นักลงทุนต้องการเห็น นั่นคือ ทิศทาง นโยบายที่ชัดเจนของภาครัฐ เพื่อจะได้ใช้ในการวางแผนงาน โดยเฉพาะนโยบายด้านพลังงาน ซึ่งที่ผ่านมามีหลายครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงไปมา จนทำให้หลายโครงการต้องชะลอการดำเนินการออกไป
เห็นได้ชัดจากโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน 2 แห่ง ในภาคใต้ ไม่ว่าจะเป็น กระบี่ หรือ เทพา ล้วนถูกกลุ่มต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินปลุกม็อบมากดดันถึงหน้าทำเนียบ จนรัฐบาลยอมถอย ปล่อยให้อนาคตของภาคใต้ต้องเสี่ยงต่อการขาดแคลนไฟฟ้า ในขณะที่คนไทยก็ได้สัมผัสกับค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้นแล้ว หลังราคาน้ำเข้าก๊าซแอลเอ็นจี ที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าปรับตัวสูงขึ้น
หันมามองด้านปิโตรเลียม เริ่มจากข้อมูลของกระทรวงพลังงาน ที่ระบุชัดเจนว่า ณ สิ้นปี 2558 ประเทศไทยมีปริมาณสำรองปิโตรเลียมที่ค้นพบแล้ว หรือ Proven Reserve โดยมีปริมาณก๊าซธรรมชาติประมาณ 7.3 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต คาดว่าจะใช้ได้ประมาณ 5 ปี โดยมีปริมาณคอนเดนเสทและน้ำมันดิบ 378 ล้านบาร์เรล เทียบเท่าน้ำมันดิบ คาดว่าใช้ได้แค่ประมาณ 4 ปี
ในขณะที่ทั้งประเทศไทยมีปริมาณการบริโภคน้ำมันมากถึงวันละประมาณ 1 ล้านบาร์เรล ทำให้ต้องมีการนำเข้าน้ำมันดิบประมาณกว่าวันละ 8.5 แสนบาร์เรล เพื่อให้เพียงพอต่อปริมาณการใช้ในประเทศ
เมื่อย้อนกลับไปดูการจัดหาแหล่งพลังงานเพิ่มเติม เอาเฉพาะด้านปิโตรเลียม เป็นเวลา 10 ปีแล้ว ที่ประเทศไทยไม่สามารถเปิดประมูลสัมปทานรอบใหม่ได้ และปฏิเสธไม่ได้ว่า สาเหตุหลักมาจากการออกมาคัดค้านของกลุ่มเอ็นจีโอ และเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงาน หรือ คปพ. กำลังเดินหน้าประท้วงอย่างหนัก ในขณะที่รัฐบาลเลือกใช้ยุทธศาสตร์ “ถอยเพื่อรักษาฐานมวลชนคนกันเอง”
และในอีก 5 ปีข้างหน้าก็จะมีแหล่งปิโตรเลียมที่จะสิ้นสุดอายุสัมปทานอีก 2 แห่ง คือ แหล่งเอราวัณ ในปี 2565 และแหล่งบงกช ในปี 2566 ซึ่งมีการประเมินกันว่า หากการเปิดประมูลมีความล่าช้าและไม่สามารถหาผู้ชนะการประมูลได้โดยเร็ว อาจทำให้ผู้รับสัมปทานรายเดิมลดกำลังการผลิต ซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณก๊าซธรรมชาติจาก 2 แหล่งนี้ หายไปประมาณ 2,100 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน คิดเป็น 76% ของปริมาณการจัดหาก๊าซในอ่าวไทย และ 44% ของปริมาณการจัดหาก๊าซทั้งประเทศ และที่สำคัญก๊าซธรรมชาติจากทั้ง 2 แหล่งนี้ เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าของประเทศ
หากเป็นเช่นนี้ อาจจะต้องนำเข้าก๊าซแอลเอ็นจีมาทดแทนเพิ่มขึ้นประมาณ 40 ล้านตัน คิดเป็นเงินกว่า 6 แสนล้านบาท และจะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 14 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะว่าไปแล้วเรื่องที่เกี่ยวกับพลังงานล้วนเกี่ยวข้องกับร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม และร่าง พ.ร.บ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียมทั้งสิ้นไม่มากก็น้อย
แม้ พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จะยืนยันว่า กระบวนการเปิดประมูลสัมปทานทั้ง 2 แหล่ง อาจจะล่าช้าไปบ้าง 1-2 เดือน จากเดิมที่วางไว้ว่าจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จในปี 2560 แต่เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบจนเกิดวิกฤติก๊าซ หากแต่ในอีกด้านต้องยอมรับความจริงว่า หนทางข้างหน้า ยังมีความอึมครึม
ปฏิเสธไม่ได้ว่า เส้นทางด้านพลังงานไม่ว่าจะหันไปทางไหน ล้วนมีอุปสรรคขวากหนามแห่งการประท้วงต่อต้าน และหากนายกรัฐมนตรียังคงเลือกคนกันเอง อนาคตทางพลังงานไทยย่อมติดหล่มอยู่กับที่ ท้ายที่สุดนโยบายเศรษฐกิจ 4.0 อาจก้าวไปไม่ไกลถึงฝั่งฝัน เพราะความไม่ชัดเจนในทิศทางการสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน
งานนี้ถือเป็นเกมวัดใจนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าจะเลือกเส้นทางไหน ระหว่าง “ความมั่นคงทางพลังงาน” กับ “พลังมวลชนคนกันเอง”
------------------------------------------
ที่มา :
http://www.komchadluek.net/news/top-10/278965
ความมั่นคงทาง"พลังงาน" เกมวัดใจนายกรัฐมนตรี อนาคตทางพลังงานไทยจะติดหล่มอยู่กับที่หรือไม่???
----------------------------------------
ความมั่นคงทาง"พลังงาน" เกมวัดใจนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี บริหารประเทศมาครบ 3 ปีเต็ม หลากหลายนโยบายอาจจะมีทั้งเข้าตา และไม่เข้าตา บางเรื่องรอได้ ไม่เร่งด่วน คงต้องให้เวลารัฐบาลในการดำเนินการ เพราะการแก้ไขปัญหาประเทศที่สะสมกันมายาวนานไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ
ความยากง่ายในการดำเนินการ นั่นเป็นส่วนหนึ่ง แต่ “พิมพ์เขียว” ที่วางไว้ นั่นเป็นอีกส่วน โดยเฉพาะนโยบายด้านเศรษฐกิจ แม้ว่าบางประเด็นอาจจะล่าช้า แต่สิ่งที่นักลงทุนต้องการเห็น นั่นคือ ทิศทาง นโยบายที่ชัดเจนของภาครัฐ เพื่อจะได้ใช้ในการวางแผนงาน โดยเฉพาะนโยบายด้านพลังงาน ซึ่งที่ผ่านมามีหลายครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงไปมา จนทำให้หลายโครงการต้องชะลอการดำเนินการออกไป
เห็นได้ชัดจากโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน 2 แห่ง ในภาคใต้ ไม่ว่าจะเป็น กระบี่ หรือ เทพา ล้วนถูกกลุ่มต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินปลุกม็อบมากดดันถึงหน้าทำเนียบ จนรัฐบาลยอมถอย ปล่อยให้อนาคตของภาคใต้ต้องเสี่ยงต่อการขาดแคลนไฟฟ้า ในขณะที่คนไทยก็ได้สัมผัสกับค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้นแล้ว หลังราคาน้ำเข้าก๊าซแอลเอ็นจี ที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าปรับตัวสูงขึ้น
หันมามองด้านปิโตรเลียม เริ่มจากข้อมูลของกระทรวงพลังงาน ที่ระบุชัดเจนว่า ณ สิ้นปี 2558 ประเทศไทยมีปริมาณสำรองปิโตรเลียมที่ค้นพบแล้ว หรือ Proven Reserve โดยมีปริมาณก๊าซธรรมชาติประมาณ 7.3 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต คาดว่าจะใช้ได้ประมาณ 5 ปี โดยมีปริมาณคอนเดนเสทและน้ำมันดิบ 378 ล้านบาร์เรล เทียบเท่าน้ำมันดิบ คาดว่าใช้ได้แค่ประมาณ 4 ปี
ในขณะที่ทั้งประเทศไทยมีปริมาณการบริโภคน้ำมันมากถึงวันละประมาณ 1 ล้านบาร์เรล ทำให้ต้องมีการนำเข้าน้ำมันดิบประมาณกว่าวันละ 8.5 แสนบาร์เรล เพื่อให้เพียงพอต่อปริมาณการใช้ในประเทศ
เมื่อย้อนกลับไปดูการจัดหาแหล่งพลังงานเพิ่มเติม เอาเฉพาะด้านปิโตรเลียม เป็นเวลา 10 ปีแล้ว ที่ประเทศไทยไม่สามารถเปิดประมูลสัมปทานรอบใหม่ได้ และปฏิเสธไม่ได้ว่า สาเหตุหลักมาจากการออกมาคัดค้านของกลุ่มเอ็นจีโอ และเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงาน หรือ คปพ. กำลังเดินหน้าประท้วงอย่างหนัก ในขณะที่รัฐบาลเลือกใช้ยุทธศาสตร์ “ถอยเพื่อรักษาฐานมวลชนคนกันเอง”
และในอีก 5 ปีข้างหน้าก็จะมีแหล่งปิโตรเลียมที่จะสิ้นสุดอายุสัมปทานอีก 2 แห่ง คือ แหล่งเอราวัณ ในปี 2565 และแหล่งบงกช ในปี 2566 ซึ่งมีการประเมินกันว่า หากการเปิดประมูลมีความล่าช้าและไม่สามารถหาผู้ชนะการประมูลได้โดยเร็ว อาจทำให้ผู้รับสัมปทานรายเดิมลดกำลังการผลิต ซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณก๊าซธรรมชาติจาก 2 แหล่งนี้ หายไปประมาณ 2,100 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน คิดเป็น 76% ของปริมาณการจัดหาก๊าซในอ่าวไทย และ 44% ของปริมาณการจัดหาก๊าซทั้งประเทศ และที่สำคัญก๊าซธรรมชาติจากทั้ง 2 แหล่งนี้ เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าของประเทศ
หากเป็นเช่นนี้ อาจจะต้องนำเข้าก๊าซแอลเอ็นจีมาทดแทนเพิ่มขึ้นประมาณ 40 ล้านตัน คิดเป็นเงินกว่า 6 แสนล้านบาท และจะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 14 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะว่าไปแล้วเรื่องที่เกี่ยวกับพลังงานล้วนเกี่ยวข้องกับร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม และร่าง พ.ร.บ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียมทั้งสิ้นไม่มากก็น้อย
แม้ พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จะยืนยันว่า กระบวนการเปิดประมูลสัมปทานทั้ง 2 แหล่ง อาจจะล่าช้าไปบ้าง 1-2 เดือน จากเดิมที่วางไว้ว่าจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จในปี 2560 แต่เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบจนเกิดวิกฤติก๊าซ หากแต่ในอีกด้านต้องยอมรับความจริงว่า หนทางข้างหน้า ยังมีความอึมครึม
ปฏิเสธไม่ได้ว่า เส้นทางด้านพลังงานไม่ว่าจะหันไปทางไหน ล้วนมีอุปสรรคขวากหนามแห่งการประท้วงต่อต้าน และหากนายกรัฐมนตรียังคงเลือกคนกันเอง อนาคตทางพลังงานไทยย่อมติดหล่มอยู่กับที่ ท้ายที่สุดนโยบายเศรษฐกิจ 4.0 อาจก้าวไปไม่ไกลถึงฝั่งฝัน เพราะความไม่ชัดเจนในทิศทางการสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน
งานนี้ถือเป็นเกมวัดใจนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าจะเลือกเส้นทางไหน ระหว่าง “ความมั่นคงทางพลังงาน” กับ “พลังมวลชนคนกันเอง”
------------------------------------------
ที่มา : http://www.komchadluek.net/news/top-10/278965