สัญญาณปลดล็อก” สู่การเปิดประมูลแหล่งผลิตปิโตรเลียม ที่สามารถชี้ชะตาอนาคตความมั่นคงทางพลังงานของประเทศได้ นั่นคือ แหล่งบงกชและแหล่งเอราวัณ
จำได้ว่า ที่ประชุมครม. เมื่อวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้พิจารณาอนุมัติ ร่างกฎกระทรวงและร่างประกาศคณะกรรมการปิโตรเลียม หรือจะเรียกง่าย ๆ ว่า กฎหมายลูกของ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ที่ผ่านการพิจารณาของ สนช.มาก่อนหน้านี้
ครับ...งานนี้ คนในแวดวงพลังงานมองว่า นี่คือ “สัญญาณปลดล็อก” สู่การเปิดประมูลแหล่งผลิตปิโตรเลียม ที่สามารถชี้ชะตาอนาคตความมั่นคงทางพลังงานของประเทศได้ นั่นคือ แหล่งบงกชและแหล่งเอราวัณ ที่จะหมดอายุสัญญาในปี 2565-2566 หลังจากยืดเยื้อและลากยาวมานาน
บางคนอาจสงสัย เพราะอะไรถึงบอกว่า นี่คือการประมูล ที่ชี้ชะตาอนาคตพลังงาน เหตุผลคือ “บงกช” และ “เอราวัณ” ทั้ง 2 แหล่งนี้รวมกัน สามารถผลิตก๊าซธรรมชาติ ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าในประเทศสูงถึง 40%
ส่วนทิศทางการเดินหน้าหลังจากนี้ “นายวีระศักดิ์ พึ่งรัศมี” อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ให้ความเห็นว่า แม้จะมีการขยับเวลาในการดำเนินการมาบ้าง แต่เชื่อว่าทุกอย่างจะดำเนินการได้ทันเวลาที่กำหนด เมื่อ ครม.เห็นชอบหลักเกณฑ์การประกาศประมูล โดยให้แหล่งในอ่าวไทยใช้ระบบแบ่งปันผลผลิต (พีเอสซี) ตามที่ภาคประชาชนเสนอ
ต่อจากนี้ “กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ” จะเร่งเสนอเงื่อนไขการประมูล (ทีโออาร์) ให้ ครม. พิจารณาภายในเดือนตุลาคม ขณะที่กระบวนการประมูลจะใช้เวลา 6-7 เดือน และภายในเดือนเมษายน 2561 จะได้ผู้ชนะการประมูล
ขณะที่ทิศทางของเอกชน ยิ่งน่าสนใจ เพราะมีกระแสข่าวชัดเจนว่า ผู้รับสัมปทานรายเดิม ทั้ง บริษัท เชฟรอน ประเทศไทยสำรวจและผลิตปิโตรเลียม เจ้าของแหล่งเอราวัณ และ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท.สผ.) เจ้าของแหล่งบงกช ต่างพร้อมเดินหน้าแข่งขันอย่างเต็มที่ ไม่รวมถึงบริษัทหน้าใหม่ ทั้งของไทยและต่างชาติ
นั่นหมายความว่า ยิ่งมีการแข่งขันเสรีมากเท่าไร ผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดนั่นคือ คนไทยทั้งประเทศ งานนี้ “นายวีระศักดิ์” ยืนยันว่า กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ได้กำหนดเงื่อนไขการประมูลอย่างรัดกุม อาทิ จะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญมีประสบการณ์ในการผลิต หรือสำรวจขุดเจาะปิโตรเลียมขนาดไม่น้อยกว่าพื้นที่ปิโตรเลียมในอ่าวไทย
มีความพร้อมในเรื่องของเงินทุน และเทคโนโลยีการผลิต เพื่อรักษาระดับการผลิตก๊าซธรรมชาติ ให้เกิดความต่อเนื่อง ป้องกันวิกฤติพลังงาน เป็นต้น ที่สำคัญหากไม่สามารถดำเนินการได้ จะมีการกำหนดโทษไว้ ไม่ว่าจะเป็นการปรับเงิน ไปจนถึงบทลงโทษที่รุนแรงที่สุดนั่นคือ “ยกเลิกสัญญา”
จะว่าไปแล้ว ในความเป็นจริง การเปิดประมูล 2 แหล่งปิโตรเลียมที่กล่าวมา คงไม่เพียงพอต่อปริมาณการบริโภคน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในประเทศ และไม่ต้องพูดถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในอีกด้านของการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน สิ่งที่รัฐบาลจะต้องรีบดำเนินการนั่นคือ การเร่งเปิดสัมปทานรอบที่ 21 ที่ถูกแช่แข็งมานานถึง 10 ปี จากการประท้วงที่ต่อเนื่องยาวนานมาหลายรัฐบาล
หลังจากยืดเยื้อมานาน เพราะการประท้วงของเอ็นจีโอ และกลุ่ม คปพ. มติ ครม. ที่ให้นำระบบพีเอสซี และ ระบบจ้างผลิต (เอสซี) มาใช้ในการประมูลครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าหน่วยงานรัฐไม่ได้ละเลยต่อข้อเรียกร้องของภาคประชาชน ตามที่ถูกบางกลุ่มกล่าวหาไม่รวมถึงข้อเสนอแนะการจัดตั้ง “บรรษัทน้ำมันแห่งชาติ (เอ็นโอซี)” ที่แนบมาใน พ.ร.บ.ปิโตรเลียม จาก สนช. ก็ถูกมอบหมายให้ “สภาพัฒน์” ไปดำเนินการศึกษาแล้วก่อนหน้านี้
คงต้องถามว่า ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่ “เอ็นจีโอ” และ “นักประท้วงหน้าเดิม ๆ” ทั้งหลาย จะเลิกเอาเป้าหมายส่วนตัวเป็นที่ตั้ง ใช้วิธีการเปลี่ยนข้อเรียกร้องไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ยากต่อการตอบสนองของหน่วยงานราชการ หรือแม้แต่กลยุทธ์ทางกฎหมายและองค์กรอิสระบางหน่วยเป็นเครื่องมือ กับการชะลอการเดินหน้าภารกิจทางพลังงานของรัฐบาล
วันนี้ ต้องหันมามอง ผลประโยชน์ส่วนรวมของชาติ กันดีกว่าหรือไม่ หยุดเป็นตัวถ่วงการเดินหน้าประเทศไทยเสียทีเถอะ.
..................
เขื่อนขันธ์ ...
Cr.
https://www.dailynews.co.th/article/600366
สัญญาณปลดล็อก... ถึงเวลาที่นักประท้วงเหล่านี้ ควรหันหน้ามาพูดกันอย่างมีเหตุมีผลได้หรือยัง
จำได้ว่า ที่ประชุมครม. เมื่อวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้พิจารณาอนุมัติ ร่างกฎกระทรวงและร่างประกาศคณะกรรมการปิโตรเลียม หรือจะเรียกง่าย ๆ ว่า กฎหมายลูกของ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ที่ผ่านการพิจารณาของ สนช.มาก่อนหน้านี้
ครับ...งานนี้ คนในแวดวงพลังงานมองว่า นี่คือ “สัญญาณปลดล็อก” สู่การเปิดประมูลแหล่งผลิตปิโตรเลียม ที่สามารถชี้ชะตาอนาคตความมั่นคงทางพลังงานของประเทศได้ นั่นคือ แหล่งบงกชและแหล่งเอราวัณ ที่จะหมดอายุสัญญาในปี 2565-2566 หลังจากยืดเยื้อและลากยาวมานาน
บางคนอาจสงสัย เพราะอะไรถึงบอกว่า นี่คือการประมูล ที่ชี้ชะตาอนาคตพลังงาน เหตุผลคือ “บงกช” และ “เอราวัณ” ทั้ง 2 แหล่งนี้รวมกัน สามารถผลิตก๊าซธรรมชาติ ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าในประเทศสูงถึง 40%
ส่วนทิศทางการเดินหน้าหลังจากนี้ “นายวีระศักดิ์ พึ่งรัศมี” อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ให้ความเห็นว่า แม้จะมีการขยับเวลาในการดำเนินการมาบ้าง แต่เชื่อว่าทุกอย่างจะดำเนินการได้ทันเวลาที่กำหนด เมื่อ ครม.เห็นชอบหลักเกณฑ์การประกาศประมูล โดยให้แหล่งในอ่าวไทยใช้ระบบแบ่งปันผลผลิต (พีเอสซี) ตามที่ภาคประชาชนเสนอ
ต่อจากนี้ “กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ” จะเร่งเสนอเงื่อนไขการประมูล (ทีโออาร์) ให้ ครม. พิจารณาภายในเดือนตุลาคม ขณะที่กระบวนการประมูลจะใช้เวลา 6-7 เดือน และภายในเดือนเมษายน 2561 จะได้ผู้ชนะการประมูล
ขณะที่ทิศทางของเอกชน ยิ่งน่าสนใจ เพราะมีกระแสข่าวชัดเจนว่า ผู้รับสัมปทานรายเดิม ทั้ง บริษัท เชฟรอน ประเทศไทยสำรวจและผลิตปิโตรเลียม เจ้าของแหล่งเอราวัณ และ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท.สผ.) เจ้าของแหล่งบงกช ต่างพร้อมเดินหน้าแข่งขันอย่างเต็มที่ ไม่รวมถึงบริษัทหน้าใหม่ ทั้งของไทยและต่างชาติ
นั่นหมายความว่า ยิ่งมีการแข่งขันเสรีมากเท่าไร ผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดนั่นคือ คนไทยทั้งประเทศ งานนี้ “นายวีระศักดิ์” ยืนยันว่า กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ได้กำหนดเงื่อนไขการประมูลอย่างรัดกุม อาทิ จะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญมีประสบการณ์ในการผลิต หรือสำรวจขุดเจาะปิโตรเลียมขนาดไม่น้อยกว่าพื้นที่ปิโตรเลียมในอ่าวไทย
มีความพร้อมในเรื่องของเงินทุน และเทคโนโลยีการผลิต เพื่อรักษาระดับการผลิตก๊าซธรรมชาติ ให้เกิดความต่อเนื่อง ป้องกันวิกฤติพลังงาน เป็นต้น ที่สำคัญหากไม่สามารถดำเนินการได้ จะมีการกำหนดโทษไว้ ไม่ว่าจะเป็นการปรับเงิน ไปจนถึงบทลงโทษที่รุนแรงที่สุดนั่นคือ “ยกเลิกสัญญา”
จะว่าไปแล้ว ในความเป็นจริง การเปิดประมูล 2 แหล่งปิโตรเลียมที่กล่าวมา คงไม่เพียงพอต่อปริมาณการบริโภคน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในประเทศ และไม่ต้องพูดถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในอีกด้านของการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน สิ่งที่รัฐบาลจะต้องรีบดำเนินการนั่นคือ การเร่งเปิดสัมปทานรอบที่ 21 ที่ถูกแช่แข็งมานานถึง 10 ปี จากการประท้วงที่ต่อเนื่องยาวนานมาหลายรัฐบาล
หลังจากยืดเยื้อมานาน เพราะการประท้วงของเอ็นจีโอ และกลุ่ม คปพ. มติ ครม. ที่ให้นำระบบพีเอสซี และ ระบบจ้างผลิต (เอสซี) มาใช้ในการประมูลครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าหน่วยงานรัฐไม่ได้ละเลยต่อข้อเรียกร้องของภาคประชาชน ตามที่ถูกบางกลุ่มกล่าวหาไม่รวมถึงข้อเสนอแนะการจัดตั้ง “บรรษัทน้ำมันแห่งชาติ (เอ็นโอซี)” ที่แนบมาใน พ.ร.บ.ปิโตรเลียม จาก สนช. ก็ถูกมอบหมายให้ “สภาพัฒน์” ไปดำเนินการศึกษาแล้วก่อนหน้านี้
คงต้องถามว่า ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่ “เอ็นจีโอ” และ “นักประท้วงหน้าเดิม ๆ” ทั้งหลาย จะเลิกเอาเป้าหมายส่วนตัวเป็นที่ตั้ง ใช้วิธีการเปลี่ยนข้อเรียกร้องไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ยากต่อการตอบสนองของหน่วยงานราชการ หรือแม้แต่กลยุทธ์ทางกฎหมายและองค์กรอิสระบางหน่วยเป็นเครื่องมือ กับการชะลอการเดินหน้าภารกิจทางพลังงานของรัฐบาล
วันนี้ ต้องหันมามอง ผลประโยชน์ส่วนรวมของชาติ กันดีกว่าหรือไม่ หยุดเป็นตัวถ่วงการเดินหน้าประเทศไทยเสียทีเถอะ.
..................
เขื่อนขันธ์ ...
Cr. https://www.dailynews.co.th/article/600366