เป็นเพราะผมดันทุรังมากเกินไป จึงทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ !!

ตอนอายุ 22 ปี :
ผมจบ ป.ตรี คณะบริหาร หลังจากเรียนจบตกงานอยู่ 2 เดือนเพราะคณะที่จบงานหายาก และผม
เป็นคนเลือกงาน ณ ตอนนั้นก่อนตกงานทำงานเป็นพนักงานขาย และรู้สึกว่าไม่ใช่ตัวเอง ซึ่งผมอยากทำเฉพาะงานที่ชอบเท่านั้น
ด้วยความรักในงานออกแบบ และทำสื่อผมเลย ดันทุรัง  ที่จะไปหาหนังสือตามห้างมาอ่าน และทำเป็น Portfolio
เก็บไว้เพื่อสมัครงานและตัดสินใจ "ดันทุรัง" ทำงานข้ามสายงานที่เรียน

ตอนอายุ 22 ปี ปลายๆ:
ด้วยความ ดันทุรัง ผมนำผลงานที่สะสมสร้างไว้ไปสมัครงาน แต่ก็อย่างว่า ไม่มีประสบการณ์ผลงาน
งูๆ ปลาๆ สมัครจนกระทั่งหมดทุกที่ก็ยังไม่มีที่ใดรับ ผมก็ยังคงดันทุรังสมัครต่อไป (ทั้งๆ ที่ยังตกงานอยู่เงินก็น้อยลงไปทุกที)
แต่จนกระทั่งมีโชคชะตาเข้าข้างบ้าง 555 ได้ไปทำงานบริษัทแห่งหนึ่ง ที่ให้เงินเดือนถูก และไกลบ้านมากแต่ "ดันทุรัง"
สมัครไปเพราะอยากได้ประสบการณ์ และไม่มีทางเลือกมาถ้าวัดกับคนที่จบมาโดยตรง เอาก็เอา...

ตอนอายุ 23 ปี :
ดันทุรัง ทำอยู่บริษัทนี้ราว 1 ปี เงินเก็บแทบไม่มีเพราะค่าจ้างถูก และอยู่ไกลบ้านมากทำให้ค่าใช้จ่ายเยอะ แต่ก็เนอะไม่ได้จบ
มาโดยตรง ถ้าอยากได้ผลงานและประสบการณ์ก็คงจะต้อง "ดันทุรัง" ทำงานและ อดทนกันต่อไป เพื่ออนาคต

ตอนอายุ 24 ปี :
ระหว่างทำงาน ผมสะสมและเก็บผลงาน และประสบการณ์จากบริษัทนี้คิดว่ามีประโยชน์ในระดับหนึ่ง
ผมจึงตัดสินใจเปลี่ยนงานไปทำอีกบริษัทหนึ่ง โดยที่บริษัทใหม่ที่จะไปทำเริ่มจาก 0 และมีผมคนแรกที่
เป็นพนักงานสำหรับแผนกใหม่ ผมอยากหาโอกาสให้ตัวเองบ้าง
จึงตัดสินใจ "ดันทุรัง" รับงานนี้แม้จะรู้ว่าอาจต้องทำหลายประเภทงานได้ด้วยตัวคนเดียว

ตอนอายุ 25 ปี :
ในปีนี้ด้วยความ ทะลึ่ง + ดันทุรัง เนื่องจากงานที่ผมทำต้องใช้ Skill ที่หลากหลายส่วน แต่ทำยังไงได้ตอนนั้นในแผนกมีผมตัวคนเดียว
นอกจากงานออกแบบแล้ว ผมจึงต้อง "ดันทุรัง" ศึกษางาน เขียนโปรแกรม และทำงานตัดต่อด้วยตัวเองเพื่อให้จบงานทั้ง project ได้

ตอนอายุ 26 ปี :
ช่วงปีที่ผ่านมา ผมทะลึ่งศึกษางานอื่นๆ นอกเหนือจาก skill ที่มีไปด้วย ทำยังไงได้ก็มันไม่มีคนทำนี่ สุดท้ายด้วยความทะลึ่ง และ
ดันทุรังทำในงานที่ไม่ถนัด ผมได้ skill : เขียนโปรแกรม, ตัดต่อ vdo, ทำเว็บ, เขียนฐานข้อมูล เพิ่มขึ้นมาแบบ งงๆ เบลอๆ ไม่รู้ว่า
อัดแน่นไปขนาดนั้น ได้อย่างไร

ตอนอายุ 26 ปี ตอนปลาย :
ด้วยความทะลึ่ง ดันทุรัง ในแนวคิดที่ว่าไหนๆ ก็ทำอะไรได้หลายอย่างแล้วลองสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตัวเองคิดค้นขึ้นมานำไปเสนอ
กับบริษัทดีกว่า โดยที่ skill ที่ได้มาก้มีหลากหลายแต่ไม่ถึงกับเชี่ยวชาญ เลยลอง "ดันทุรัง" เสนอไป present ดู ผลงานก็ไม่ค่อย
ได้ใช้ทั้งหมดหรอก แต่โชคดีที่เจ้านายเห็นในความพยายามเลื่อนขั้นให้เป็นหัวหน้างาน

ตอนอายุ 27 ปี :
พอเริ่มเป็นหัวหน้าคน เลยเจองานใหญ่ที่ต้องใช้ skill หัวหน้างานในการแก้ปัญหา แต่ก็อย่างที่บอกผมไม่ได้เรียนจบมาโดยตรง
จึงค่อนข้างเป็นปัญหาเมื่อเจอชิ้นงานที่ต้องใช้ skill เฉพาะทาง เจ้านายจะส่งผมไปเรียนโดยต้นทุนในการเรียนอยู่ที่ 3-4 หมื่นบาท
ผมเกรงใจบริษัทเพราะบริษัทไม่ได้ใหญ่มาก และต้นทุนสูงเลยตัดสินใจ "ดันทุรัง" ศึกษาเรื่องดังกล่าวเอง โดยบอกเจ้าหน้าว่า
ถ้าทำไม่ได้ภายใน 1 อาทิตย์จะยอมไปเรียน
      แต่ด้วยความ ดันทุรัง+พยายาม ทำให้ผมแก้ปัญหาดังกล่าวให้กับลูกค้าได้และบริษัทไม่ต้องเสียต้นทุนจ่ายให้ผมเรียน และภาย
หลังลูกค้าเจ้านี้เนี่ยแหละ แอบเรียกผมไปสัมภาษณ์งานกับบริษัทเค้า...

ตอนอายุ 27 ปี ปลายๆ :
ด้วยผลงานที่ผ่านมา ผมเลยได้เลื่อนขั้นจาก "ห้วหน้างาน" ไปเป็นผู้นำทีมผลิต (Leader)

ตอนอายุ 28 ปี  :
ผมรู้สึกอิ่มตัวกับงาน และบริษัทที่ทำ ผมอยากไปเจอโลกกว้างเลย... ขอ "ดันทุรัง" ทั้งๆ ที่ได้ตำแหน่งที่สูงอยู่แล้วแต่ตัดสินใจ "ออกจากงาน"
ออกเพื่อมาทำธุรกิจของตัวเอง และเป็นนายตัวเอง

ปัจจุบัน :
รอบ 1 ปีแห่งการเริ่มต้น ตั้งเป้าไว้ประมาณ 5 แสน โดย 10 เดือนผ่านไป ยอดแตะประมาณ 4 แสน ผม "ดันทุรัง" ที่จะตั้งเป้าไว้สูงๆ และจะต้องทำมันให้ได้ ซึ่งไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้คือ การออกจากงานทำให้ผมมาเจอโลกใหม่ ปีหน้าคิดไว้ว่าจะจดทะเบียนบริษัท วัดดวงเอา..

เชื่อเถอะครับคนที่คิดฝันไว้ แล้วยังทำไม่สำเร็จนั่นไม่ใช่เพราะว่า สิ่งนั้นเกินเอื้อม หรือยากจนเกินไป แต่สาเหตุมันเกิดมาจาก
คุณเองนั่นแหละที่กำหนด "ข้อจำกัด และความสามารถให้กับตัวเอง" โดยที่ไม่พยายาม และดันทุรังทำในสิ่งที่ไกลตัวเลย และ
สำหรับท่านที่ชอบคิดว่า บริษัทชอบให้ทำอะไรมากเกินกว่าที่ตัวเองถนัด คุณลองเปลี่ยนแนวคิดดีไหม เปลี่ยนเป็น
"ลองทำ และจำไปประยุกต์" เชื่อเถอะครับการที่ได้ทำอะไรมากมาย เมื่อคุณเปิดธุรกิจของตัวเองสิ่งที่คุณเคยมองว่าเป็นเรื่องถูกเอาเปรียบ
อาจส่งผลดีกับตัวคุณในอนาคต ผมบอกได้แค่ว่า แนวคิดและทัศนคติที่ดีสำคัญกว่าความเก่งนั่นเพราะว่า
"คนมีแนวคิดและทัศนคติ ก็จะไปจ้างคนที่เก่งๆ อีกที"

นี่แหละครับ เพราะความ "ดันทุรัง" ของผมจึงเกิดเรื่องแบบนี้กับผมในทุกวันนี้ เพื่อนๆ หละครับลองใช้ความดันทุรังทำประโยชน์บ้างหรือยัง ??
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่