“หลอกเรา ให้หลอกเขา แล้วใ”
ในโลกของธุรกิจคงไม่มีบริษัทใดทำธุรกิจโดยไม่หวังผลกำไรจากการขายสินค้าและบริการซึ่งเป็นรายได้หลักของบริษัท ไม่ว่ากิจการนั้นจะเล็กหรือใหญ่แค่ไหน จะขายกล้วยปิ้งข้างถนนหรือเป็นบริษัทใหญ่มีพนักงานหลายหมื่นคนก็ตาม ต่างหวังกำไรทั้งสิ้น และไม่ว่าบริษัทนั้นจะขายสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น สบู่ ผงซักฟอก เครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ รถยนต์ อาหาร บ้าน เสื้อผ้า ยา หรือให้บริการ เช่น โรงแรมที่พัก สายการบิน บริการอินเทอร์เน็ต โทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G, 4G หรือขายอะไรก็ตาม ก็ต้องหาลูกค้ามาซื้อสินค้าหรือบริการของตนให้ได้ เพราะนั่นหมายถึงรายได้ของบริษัท จุดนี้ที่การสื่อสารทางการตลาด (การโฆษณา และการประชาสัมพันธ์) มีบทบาทสำคัญ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้บริโภครู้จักสินค้าและบริการของตนให้มากที่สุดจนกลายเป็นลูกค้าที่จงรักภักดีต่อบริษัทไปตลอดอันนำมาซึ่งรายได้ที่มั่นคงตลอดไป ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของธุรกิจ
แน่นอนว่าบริษัทต่างต้องจูงใจลูกค้าให้มาซื้อสินค้าและบริการของตนผ่านสื่อโฆษณาทางทีวี วิทยุ นิตยสาร หนังสือพิมพ์ ป้ายโฆษณา แผ่นพับ โบรชัวร์ ใบปลิว หรือ สื่ออินเทอร์เน็ต แต่มีบริษัทบางบริษัทนำการตลาดแบบหลายระดับชั้น (multi-level marketing: MLM) หรือ การตลาดแบบเครือข่าย (network marketing) มาใช้ในการขายสินค้าของตน โดยใช้คนเป็นช่องทางโฆษณา แนะนำ จัดจำหน่าย ขาย กระจายและส่งสินค้าให้ลูกค้าแทนการตลาดแบบเดิมที่บริษัทผู้ผลิตหรือเจ้าของสินค้าขายผ่านตัวแทนจัดจำหน่าย พ่อค้าคนกลาง และพ่อค้าปลีก ขอเรียกธุรกิจนี้สั้นๆว่า ธุรกิจเครือข่าย (บริษัทขายสินค้าผ่านเครือข่าย) ซึ่งส่วนใหญ่ขายสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวันประเภทใช้แล้วหมดไปต้องซื้อซ้ำ เช่น สบู่ ผงซักฟอก แชมพู ยาสีฟัน อาหารเสริม เครื่องสำอาง เป็นต้น สินค้าเหล่านี้มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา ทำให้การโฆษณาขาย จัดจำหน่าย ขนส่งกระจายสินค้าจากคนสู่คนทำได้ง่ายกว่าสินค้าชิ้นใหญ่หรือมีน้ำหนักมาก เช่น รถยนต์ ตู้เย็น ปูนซีเมนต์ ตู้ เตียงนอน เป็นต้น ผู้บริหารของบริษัทซึ่งเห็นข้อได้เปรียบนี้ จึงเลือกขายสินค้าของตนผ่านการตลาดแบบเครือข่ายแทนการตลาดแบบเดิมได้
อรบ้าคลั่งทำธุรกิจเครือข่ายหนึ่งตั้งแต่ก่อนเรียนจบปริญญาตรี แต่ทำไประยะหนึ่งแล้วไม่ประสบความสำเร็จทั้งที่อรเป็นคนหัวดีมีความสามารถ ลงทุน ลงแรง และเวลาไปในธุรกิจตั้งหลายปี แต่เมื่อความทุ่มเทนั้นไม่พาอรให้สำเร็จ ทั้งไม่ได้เผื่อหนทางอื่นของชีวิตเพราะลืมความจริงของธุรกิจที่ว่า “มีผู้สำเร็จ ก็ต้องมีผู้ล้มเหลว” จากจิตวิทยาหมู่ผสมกลวิธีล้างสมองอันแยบยลของเหล่าอัพไลน์ในเซ็นเตอร์ ผลตอบแทนบนความพยายามที่อรได้รับนอกจากเงินและพลังชีวิตที่เสียไปนั้น นั่นคือเวลาที่หมดไป ซึ่งเป็นสิ่งมีค่าที่สุดของทุกชีวิตเพราะไม่มีใครที่จะย้อนเวลาคืนกลับมาเพื่อจะแก้ไขเรื่องราวที่หลงผิดไปให้กลับมาเป็นสิ่งตรงข้ามได้ อรเล่าเป็นอุทาหรณ์ข้อคิดไว้ในบทความก่อนแล้ว ในบทความนี้อรจะพูดถึงวิธีการจูงใจให้หลงเชื่อด้วยจิตวิทยาอันแยบยลของเหล่าผู้ประสบความสำเร็จที่บิดเบือนให้เข้าใจผิดไปจากความจริงของธุรกิจ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจและผลักดันให้คุณ“ทำงาน”อย่างบ้าคลั่งสร้างความร่ำรวยยิ่งขึ้นให้กับเขา
คนทำธุรกิจเครือข่ายมักพูดว่า “เรามาแนะนำธุรกิจ มันไม่ใช่งานขายสินค้า มันเป็นธุรกิจที่คุณเป็นเจ้าของได้ เป็นธุรกิจของคุณเอง คุณต้องการมีธุรกิจเป็นของคุณเองไหมล่ะ และถ้าธุรกิจนี้ช่วยเปลี่ยนชีวิตคุณให้มีรายได้หลักแสนภายในเวลาที่กำหนดได้ 2 - 5 ปีจะดีไหม สินค้าดีมีคุณภาพสูง แผนการตลาดดีเยี่ยมสามารถทำสำเร็จได้จริงมีรายได้ไปตลอด มีรางวัลได้ท่องเที่ยวเมืองนอกอีกด้วย ดูเราซิ ประสบความสำเร็จแล้วชีวิตเราเปลี่ยน มีความมั่นคงให้กับครอบครัว มีบ้าน มีรถ มีเงิน (พร้อมหยิบสลิปเงินเดือน) มีความสุข ได้เที่ยวเมืองนอกทุกปี (พร้อมเปิดอัลบั้มรูป) มีชีวิตอย่างสุขสบาย ไม่ต้องทำงานประจำ ไม่มีเจ้านาย มีเวลาให้ตัวเอง กำหนดวิถีชีวิตเราเองได้ และธุรกิจนี้มีแผนการตลาดที่ให้เราช่วยคุณให้ประสบความสำเร็จก่อน แล้วเราค่อยประสบความสำเร็จตาม.....น่าทำไหม”
คำพูดฟังดูดีแต่ซ่อนความลวงหลอกล่อลวงให้เชื่ออย่างแยบยลหากคุณไม่เคยทำธุรกิจ ไม่เคยมีบริษัทเป็นของตัวเอง ไม่ได้เกิดในตระกูลนักธุรกิจ ไม่เข้าใจโลกธุรกิจทุนนิยม ไม่เคยทำงานด้านการตลาด เป็นข้าราชการ ทำนา ทำไร่ ขายของเล็กๆน้อยๆ อรจึงเขียนเรื่องนี้เพื่อให้คุณเข้าใจธุรกิจเครือข่าย เป็นข้อมูลให้คุณรู้ทันและคิดอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงมือทำว่า “มีด้านสวยงาม ก็ต้องมีด้านมืด” แต่คุณไม่อาจเห็นด้านมืดของธุรกิจนี้ เพราะคงไม่มีผู้ประสบความสำเร็จคนใดออกมาพูดหน้าเวทีให้เสียลูกค้าไปแน่ ซึ่งคือตัวคุณเอง
การตลาดแบบเครือข่าย คือ อะไร, คุณจะเข้าใจมากขึ้น
ในโลกของธุรกิจคงไม่มีบริษัทใดทำธุรกิจโดยไม่หวังผลกำไรจากการขายสินค้าและบริการซึ่งเป็นรายได้หลักของบริษัท ไม่ว่ากิจการนั้นจะเล็กหรือใหญ่แค่ไหน จะขายกล้วยปิ้งข้างถนนหรือเป็นบริษัทใหญ่มีพนักงานหลายหมื่นคนก็ตาม ต่างหวังกำไรทั้งสิ้น และไม่ว่าบริษัทนั้นจะขายสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น สบู่ ผงซักฟอก เครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ รถยนต์ อาหาร บ้าน เสื้อผ้า ยา หรือให้บริการ เช่น โรงแรมที่พัก สายการบิน บริการอินเทอร์เน็ต โทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G, 4G หรือขายอะไรก็ตาม ก็ต้องหาลูกค้ามาซื้อสินค้าหรือบริการของตนให้ได้ เพราะนั่นหมายถึงรายได้ของบริษัท จุดนี้ที่การสื่อสารทางการตลาด (การโฆษณา และการประชาสัมพันธ์) มีบทบาทสำคัญ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้บริโภครู้จักสินค้าและบริการของตนให้มากที่สุดจนกลายเป็นลูกค้าที่จงรักภักดีต่อบริษัทไปตลอดอันนำมาซึ่งรายได้ที่มั่นคงตลอดไป ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของธุรกิจ
แน่นอนว่าบริษัทต่างต้องจูงใจลูกค้าให้มาซื้อสินค้าและบริการของตนผ่านสื่อโฆษณาทางทีวี วิทยุ นิตยสาร หนังสือพิมพ์ ป้ายโฆษณา แผ่นพับ โบรชัวร์ ใบปลิว หรือ สื่ออินเทอร์เน็ต แต่มีบริษัทบางบริษัทนำการตลาดแบบหลายระดับชั้น (multi-level marketing: MLM) หรือ การตลาดแบบเครือข่าย (network marketing) มาใช้ในการขายสินค้าของตน โดยใช้คนเป็นช่องทางโฆษณา แนะนำ จัดจำหน่าย ขาย กระจายและส่งสินค้าให้ลูกค้าแทนการตลาดแบบเดิมที่บริษัทผู้ผลิตหรือเจ้าของสินค้าขายผ่านตัวแทนจัดจำหน่าย พ่อค้าคนกลาง และพ่อค้าปลีก ขอเรียกธุรกิจนี้สั้นๆว่า ธุรกิจเครือข่าย (บริษัทขายสินค้าผ่านเครือข่าย) ซึ่งส่วนใหญ่ขายสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวันประเภทใช้แล้วหมดไปต้องซื้อซ้ำ เช่น สบู่ ผงซักฟอก แชมพู ยาสีฟัน อาหารเสริม เครื่องสำอาง เป็นต้น สินค้าเหล่านี้มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา ทำให้การโฆษณาขาย จัดจำหน่าย ขนส่งกระจายสินค้าจากคนสู่คนทำได้ง่ายกว่าสินค้าชิ้นใหญ่หรือมีน้ำหนักมาก เช่น รถยนต์ ตู้เย็น ปูนซีเมนต์ ตู้ เตียงนอน เป็นต้น ผู้บริหารของบริษัทซึ่งเห็นข้อได้เปรียบนี้ จึงเลือกขายสินค้าของตนผ่านการตลาดแบบเครือข่ายแทนการตลาดแบบเดิมได้
อรบ้าคลั่งทำธุรกิจเครือข่ายหนึ่งตั้งแต่ก่อนเรียนจบปริญญาตรี แต่ทำไประยะหนึ่งแล้วไม่ประสบความสำเร็จทั้งที่อรเป็นคนหัวดีมีความสามารถ ลงทุน ลงแรง และเวลาไปในธุรกิจตั้งหลายปี แต่เมื่อความทุ่มเทนั้นไม่พาอรให้สำเร็จ ทั้งไม่ได้เผื่อหนทางอื่นของชีวิตเพราะลืมความจริงของธุรกิจที่ว่า “มีผู้สำเร็จ ก็ต้องมีผู้ล้มเหลว” จากจิตวิทยาหมู่ผสมกลวิธีล้างสมองอันแยบยลของเหล่าอัพไลน์ในเซ็นเตอร์ ผลตอบแทนบนความพยายามที่อรได้รับนอกจากเงินและพลังชีวิตที่เสียไปนั้น นั่นคือเวลาที่หมดไป ซึ่งเป็นสิ่งมีค่าที่สุดของทุกชีวิตเพราะไม่มีใครที่จะย้อนเวลาคืนกลับมาเพื่อจะแก้ไขเรื่องราวที่หลงผิดไปให้กลับมาเป็นสิ่งตรงข้ามได้ อรเล่าเป็นอุทาหรณ์ข้อคิดไว้ในบทความก่อนแล้ว ในบทความนี้อรจะพูดถึงวิธีการจูงใจให้หลงเชื่อด้วยจิตวิทยาอันแยบยลของเหล่าผู้ประสบความสำเร็จที่บิดเบือนให้เข้าใจผิดไปจากความจริงของธุรกิจ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจและผลักดันให้คุณ“ทำงาน”อย่างบ้าคลั่งสร้างความร่ำรวยยิ่งขึ้นให้กับเขา
คนทำธุรกิจเครือข่ายมักพูดว่า “เรามาแนะนำธุรกิจ มันไม่ใช่งานขายสินค้า มันเป็นธุรกิจที่คุณเป็นเจ้าของได้ เป็นธุรกิจของคุณเอง คุณต้องการมีธุรกิจเป็นของคุณเองไหมล่ะ และถ้าธุรกิจนี้ช่วยเปลี่ยนชีวิตคุณให้มีรายได้หลักแสนภายในเวลาที่กำหนดได้ 2 - 5 ปีจะดีไหม สินค้าดีมีคุณภาพสูง แผนการตลาดดีเยี่ยมสามารถทำสำเร็จได้จริงมีรายได้ไปตลอด มีรางวัลได้ท่องเที่ยวเมืองนอกอีกด้วย ดูเราซิ ประสบความสำเร็จแล้วชีวิตเราเปลี่ยน มีความมั่นคงให้กับครอบครัว มีบ้าน มีรถ มีเงิน (พร้อมหยิบสลิปเงินเดือน) มีความสุข ได้เที่ยวเมืองนอกทุกปี (พร้อมเปิดอัลบั้มรูป) มีชีวิตอย่างสุขสบาย ไม่ต้องทำงานประจำ ไม่มีเจ้านาย มีเวลาให้ตัวเอง กำหนดวิถีชีวิตเราเองได้ และธุรกิจนี้มีแผนการตลาดที่ให้เราช่วยคุณให้ประสบความสำเร็จก่อน แล้วเราค่อยประสบความสำเร็จตาม.....น่าทำไหม”
คำพูดฟังดูดีแต่ซ่อนความลวงหลอกล่อลวงให้เชื่ออย่างแยบยลหากคุณไม่เคยทำธุรกิจ ไม่เคยมีบริษัทเป็นของตัวเอง ไม่ได้เกิดในตระกูลนักธุรกิจ ไม่เข้าใจโลกธุรกิจทุนนิยม ไม่เคยทำงานด้านการตลาด เป็นข้าราชการ ทำนา ทำไร่ ขายของเล็กๆน้อยๆ อรจึงเขียนเรื่องนี้เพื่อให้คุณเข้าใจธุรกิจเครือข่าย เป็นข้อมูลให้คุณรู้ทันและคิดอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงมือทำว่า “มีด้านสวยงาม ก็ต้องมีด้านมืด” แต่คุณไม่อาจเห็นด้านมืดของธุรกิจนี้ เพราะคงไม่มีผู้ประสบความสำเร็จคนใดออกมาพูดหน้าเวทีให้เสียลูกค้าไปแน่ ซึ่งคือตัวคุณเอง