ASTVmanager เชื่อ AIS ถูกบีบด้วยสถานการณ์เรื่องคลื่น 2100 ที่ไม่พอให้บริการ (หวังดึง TOT เป็นพันธมิตรด้วยทหาร อ้างเพื่อความอยู่รอดของ TOT )
ประเด็นหลัก
สถานการณ์บีบ เอไอเอสต้องหาพันธมิตร
“ถ้าเกิดถึงคราวจำเป็น เมื่อต้องมีการเจรจาถึงเรื่องของส่วนแบ่งรายได้เพื่อให้สามารถนำคลื่นมาบริหารได้ไม่ว่าจะเป็น 10%, 12% หรือ 15% เอไอเอสก็จำเป็นที่จะต้องทำ เพราะในการให้บริการถ้าไม่มีทรัพยากรที่เป็นคลื่นความถี่ก็ไม่สามารถพัฒนาอย่างอื่นได้”
เมื่อดูถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ถ้าคลื่นความถี่ 2.1 GHz ที่มีไม่สามารถใช้วิธีการลงสถานีฐานเพิ่ม หรือเติม Small Cell เข้าไปเสริมแล้ว ก็เชื่อว่าจะได้เห็นความร่วมมือระหว่างเอไอเอส และทีโอที อย่างแน่นอน
นาทีนี้การประมูลความถี่ 1800 MHz และ 900 MHz ถือเป็นทางรอดของเอไอเอสในอนาคต ซึ่งวิธีสกัดไม่ใช่เรื่องยาก แค่เตะถ่วงให้เลยเวลา 18 เดือนที่เอไอเอสคิดว่าใช้ประสบการณ์เมื่อตอนแบ่งความถี่ 900 MHz มาให้บริการ 3G เทียม ประคองเอาตัวรอดจนกว่าจะได้ประมูลความถี่ เพราะแค่คู่แข่งในอุตสาหกรรมมือถือที่แทบทุกคนก็รู้ว่าเป็นใคร ที่มีสายสัมพันธ์เลี่ยมทองฝังเพชรกับผู้มีอำนาจ ดึงกระบวนการให้เนิ่นนานออกไป เนื่องจากเจ้าภาพการประมูลความถี่ อย่าง กสทช. ต้องมีการแก้กฎหมายปรับโครงสร้าง รวมทั้งอาจต้องสรรหากรรมการ กสทช.ใหม่ หรือ เรียกได้ว่าเกือบจะนับหนึ่งใหม่ ต้องผ่านการพิจารณาจาก สนช. ครม. เรียกได้ว่าแค่เตะถ่วงทุกขั้นตอนก็เลิกหวังว่าจะได้ประมูลความถี่ไตรมาส 3 ปีหน้า ยกเว้นเจ้าสัวอยากจะให้ประมูลจริงเท่านั้น
ด้านพันธมิตรที่หวังไว้อย่างทีโอที อาจไม่สวยหรูอย่างที่คาดไว้ เพราะการเจรจาเป็นพันธมิตรคุยกันมาหลายปีแล้ว แต่ไม่ได้ข้อสรุป ในอดีตเพราะนอกจากถูกเตะตัดขาระหว่างทางแล้ว การเมืองก็ไม่ได้อยู่ข้างเอไอเอสอย่างที่ชาวบ้านคิดกัน ยิ่งครั้งนี้ประธานบอร์ดเป็นทหาร อาจคาดหวังได้ว่าน่าจะพาทีโอทีไปรอด แต่ภายใต้โอกาสรอดของทีโอที ก็คือ การทำให้เอไอเอสมีต้นทุนสูงกว่าคู่แข่ง จนแข่งขันได้ยาก เพราะโมเดลทั้งหลายที่คุยกัน อาจเป็นโอกาสของทีโอที ที่เอไอเอสต้องยอมก็ได้
http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9570000121843
______________________________
สถานการณ์บีบ เอไอเอสต้องหาพันธมิตร
สถานการณ์บีบ เอไอเอสต้องหาพันธมิตร
หลังเข้ามารับตำแหน่งซีอีโอแห่งค่ายเบอร์ 1 ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย อย่าง บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส มาแล้วกว่า 3 เดือน แต่สถานการณ์ของ “สมชัย เลิศสุทธิวงศ์” ในวันนี้กลับอยู่ในจุดที่บีบคั้นให้ต้องมีการเฟ้นหาพันธมิตรมาช่วยในเรื่องคลื่นความถี่ที่เป็นปัญหามายาวนาน
ด้วยจุดประสงค์ที่ต้องการผลักดันให้เอไอเอส กลายเป็นดิจิตอลไลฟ์ เซอร์วิส โพรวายเดอร์ ส่งผลให้เอไอเอสต้องใส่ใจในการปรับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อนำมาให้บริการเป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันคลื่นความถี่ที่ประมูลได้มาจากการประมูล 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz จำนวน 15 MHz ที่ให้มาเริ่มเกิดปัญหาเช่นเดียวกับช่วงปลายยุคของคลื่นความถี่ 900 MHz ที่เอไอเอส ไม่มีคลื่นความถี่เหลือเพียงพอให้บริการ
แม้ว่า สมชัย จะมองว่า ตัวคลื่นความถี่ที่มีอยู่ 15 MHz จะสามารถรองรับการใช้งานของลูกค้าไปได้อีก 12-18 เดือน หรือภายใต้ฐานลูกค้ากว่า 50 ล้านราย พร้อมกับระบุว่า ทีมงานวิศวกรของเอไอเอส มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการบริหารคลื่นความถี่ที่จำกัดมาให้บริการด้วยคุณภาพมาตั้งแต่ยุคก่อนแล้ว
“ถ้าเปรียบการบริหารคลื่นความถี่กับการขายที่ดิน บางบริษัทอาจจะสร้างบ้านเดี่ยว หรือทาวน์เฮาส์มาขายให้แก่ผู้บริโภค แต่ทีมงานเอไอเอสฝึกสร้างคอนโดฯ มานานแล้ว จึงทำให้มีความมั่นใจว่าจะสามารถให้บริการลูกค้าในประสิทธิภาพสูงไปได้อีกถึงกลางปี 2559”
สถานการณ์บีบ เอไอเอสต้องหาพันธมิตร
จุดสำคัญที่บีบคั้นให้เอไอเอสต้องสร้างคอนโดฯ ต่อไปคือ การเลื่อนประมูลคลื่นความถี่ 1800 MHz (4G) ที่แต่เดิมคาดว่าจะได้ประมูลในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาออกไป 1 ปี ตามประกาศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แต่ก็ยังไม่มีสิ่งใดมาการันตีว่า เมื่อครบช่วงเวลา 1 ปีแล้ว จะมีการประมูลเกิดขึ้นหรือไม่
เช่นเดียวกับคลื่นความถี่ 900 MHz ของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ที่ทางเอไอเอส จะหมดสัมปทานในวันที่ 30 กันยายน 2558 ซึ่งแต่เดิมคาดว่าจะนำมาประมูลก่อนในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2557 ก็ถูกเลื่อนออกไปเช่นเดียวกัน
ซ้ำร้ายทีโอทียังเกิดแนวความคิดที่จะนำคลื่นความถี่ 900 MHz กลับไปบริหารจัดการเองแทนที่จะคืนให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) นำไปประมูล โดยอ้างเหตุผลว่า ทีโอที ได้ถือครองคลื่นความถี่ดังกล่าวก่อนมี กทช. จึงมีสิทธิที่จะถือครองจนหมดใบอนุญาตในปี 2568
โดยในมุมของทีโอที เมื่อได้สิทธิถือครองคลื่นความถี่ 900 MHz พร้อมรับมอบสถานีฐานจากการที่เอไอเอสหมดสัมปทาน 15,000 สถานี จะทำให้สามารถนำไปให้บริการคลื่นความถี่ต่อไปได้และถือเป็นหนึ่งในทางรอดสำคัญที่ทางคณะกรรมการของทีโอทีมองไว้
สิ่งที่เอไอเอสสามารถทำได้ในตอนนี้คือ การเตรียมแผนไว้รองรับกรณีที่จะไม่เกิดการประมูล 4G ขึ้นในระยะเวลาอันใกล้ถึง 3 แผนด้วยกัน ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการเข้าไปพูดคุยกับพันธมิตรเดิม และถือเป็นพันธมิตรหลักที่ผูกพันกันมาอย่างยาวนาน โดยแต่ละแผนก็จะมีแนวทางดำเนินงานที่แตกต่างกันออกไป
สถานการณ์บีบ เอไอเอสต้องหาพันธมิตร
“ถ้าเกิดถึงคราวจำเป็น เมื่อต้องมีการเจรจาถึงเรื่องของส่วนแบ่งรายได้เพื่อให้สามารถนำคลื่นมาบริหารได้ไม่ว่าจะเป็น 10%, 12% หรือ 15% เอไอเอสก็จำเป็นที่จะต้องทำ เพราะในการให้บริการถ้าไม่มีทรัพยากรที่เป็นคลื่นความถี่ก็ไม่สามารถพัฒนาอย่างอื่นได้”
เมื่อดูถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ถ้าคลื่นความถี่ 2.1 GHz ที่มีไม่สามารถใช้วิธีการลงสถานีฐานเพิ่ม หรือเติม Small Cell เข้าไปเสริมแล้ว ก็เชื่อว่าจะได้เห็นความร่วมมือระหว่างเอไอเอส และทีโอที อย่างแน่นอน
***มองภาพรวมอุตฯ โทรคม
ขณะที่ในมุมของภาพรวมอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในประเทศไทย “สมชัย” มองว่าตอนนี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วนหลักๆ คือ การให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ การจำหน่ายอุปกรณ์พกพา และการให้บริการฟิกซ์ไลน์ (ทั้งโทรศัพท์บ้าน และอินเทอร์เน็ตแบบมีสาย)
การเติบโตของตลาดผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือจากปีที่ผ่านมามีมูลค่าราว 2.2 แสนล้านบาท ในปีนี้คาดว่าจะเติบโตราว 1-2% ด้วยจำนวนผู้ใช้งาน 95 ล้านราย คิดเป็นอัตราการใช้งานต่อจำนวนประชากรราว 145% คิดเป็นมูลค่า 2.24 แสนล้านบาท ปริมาณการใช้งานดาต้าเติบโตราว 38% จากผู้ใช้งานสมาร์ทดีไวซ์กว่า 33 ล้านเครื่อง แต่ทั้งนี้ ก็ยังมีผู้บริโภคกว่า 50% ที่ยังใช้งานเครือข่าย 2G
สถานการณ์บีบ เอไอเอสต้องหาพันธมิตร
ขณะที่ในส่วนของสมาร์ทดีไวซ์จะมีการเติบโตจาก 9.9 หมื่นล้านบาท เป็น 1.15 แสนล้านบาท เติบโตราว 10% คิดเป็น 26 ล้านเครื่อง แต่ที่น่าสนใจคือ ในส่วนของฟิกซ์ไลน์ปีที่ผ่านมามีมูลค่าราว 4.9 หมื่นล้าน และคาดว่าในสิ้นปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 5.4 หมื่นล้าน เติบโตราว 9% จากปริมาณการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ของประชากรราว 27% แต่สามารถสร้างรายได้เป็นสัดส่วนกว่า 80% ของรายได้ในกลุ่มนี้
“ตลาดดีไวซ์ยังเป็นตลาดที่มีการเติบโตอีกมาก เพราะยังมีลูกค้าที่ใช้งานเครือข่าย 2G ในประเทศอีกกว่า 50% ที่รอเวลาเปลี่ยนมาใช้งานดีไวซ์ที่รองรับการใช้งาน 3G ในอนาคตอันใกล้”
โดยในช่วงเกือบ 2 ปี ที่ผ่านมา เอไอเอส สามารถให้บริการเครือข่าย 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz ครอบคลุมแล้ว 97% จากเกือบ 2 หมื่นสถานีฐาน ด้วยงบประมาณกว่า 8 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าครอบคลุมมากกว่าเครือข่าย 2G บนคลื่นความถี่ 900 MHz แล้ว พร้อมกับการจำหน่าย สมาร์ทโฟนในราคาถูก ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา สามารถจำหน่าย AIS Super Combo โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนอย่าง AIS Lava ไปได้มากกว่า 1 ล้านเครื่อง ถือเป็นสัญญาณที่ดีในกลุ่มของสมาร์ทดีไวซ์ที่กำลังเติบโต
สุดท้ายเชื่อว่าการแข่งขันในตลาดโทรคมนาคมจะเริ่มหันมาให้ความสำคัญต่อคอนเทนต์ที่พิเศษมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากการเปิดให้บริการทั้ง AIS BPL หรือการให้รับชมซีรีส์อย่าง Hormones ผ่านแอปพลิเคชัน AIS Movie Store รวมๆ แล้วมีลูกค้ากว่า 2 ล้านรายเข้ามาใช้บริการ
“สิ่งที่อยากเห็นคือ การที่โอเปอเรเตอร์อื่นๆ หันมาให้บริการคอนเทนต์ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และช่วยผลักดันให้อุตสาหกรรมเจริญเติบโตต่อไป”
สถานการณ์บีบ เอไอเอสต้องหาพันธมิตร
***4G ทำเมื่อพร้อม และต้องเป็นเบอร์ 1
ส่วนทางด้านการให้บริการ 4G ปัจจุบันเอไอเอสมองว่ายังอยู่ในมุมของการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รับรู้มากกว่า เพราะปัจจุบันดีไวซ์ที่รองรับการใช้งาน 4G ในตลาดยังมีปริมาณน้อยอยู่มาก และในความเป็นจริงผู้บริโภคไม่สนใจว่าจะใช้งานบนเทคโนโลยีใด แต่ให้ความสำคัญในเรื่องของความเสถียรในการใช้งานมากกว่า
“ในอุตสาหกรรมนี้เมื่อเอไอเอสเริ่มให้บริการ 3G ก็สามารถให้บริการเป็นที่ 1 ได้ภายในระยะเวลาอันสั้น และในอนาคตถ้าเอไอเอสจะให้บริการ 4G เอไอเอสก็ต้องเป็นที่ 1 อย่างแน่นอน”
แต่ทั้งนี้ก็ยอมรับว่า ถ้ายังไม่สามารถหาคลื่นมาให้บริการ 4G ได้ภายในช่วงกลางปี 2559 การให้บริการจะมีปัญหาอย่างแน่นอน เพราะจากปริมาณการใช้งานดาต้าที่เติบโตขึ้น สุดท้ายผู้ให้บริการที่ไม่มีทรัพยากรก็จะเสียเปรียบในการแข่งขัน
***ปั้นฟิกซ์บรอดแบนด์ เสริมโอกาสธุรกิจ
ก่อนหน้านี้ เอไอเอสได้มีการแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แล้วว่า จะนำเงินลงทุน 4.6 พันล้านบาท มาให้บริการธุรกิจฟิกซ์บรอดแบนด์ ซึ่งเบื้องต้นไม่ได้จำกัดว่าจะให้บริการในเทคโนโลยีใด เพียงแต่มองไว้ 4 เทคโนโลยีด้วยกันคือ การให้บริการผ่านไฟเบอร์ออปติก, ดาวเทียม, vDSL และผ่านสายเคเบิล ที่ให้ความเร็วสูงกว่า ADSL ทั่วไปที่มีให้บริการในปัจจุบัน
“การลงทุนในส่วนของฟิกซ์บรอดแบนด์จุดประสงค์สำคัญคือ การนำไปให้บริการเสริมในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต เนื่องจากปัจจุบันผู้ใช้งานดาต้าบนอุปกรณ์พกพาจะมีด้วยกัน 2 รูปแบบ คือ ขณะที่กำลังเดินทางก็จะใช้งานโมบายโอเปอเรเตอร์ และอีกส่วนหนึ่งคือการใช้งานในบ้าน หรือที่ทำงานที่สามารถไปจับไวไฟได้”
ที่สำคัญคือ ธุรกิจดังกล่าวจะช่วยให้เอไอเอสมีอินฟราสตรักเจอร์เพิ่มขึ้น และเป็นการนำทรัพยากรที่มีมาใช้ให้เกิดประโยช์สูงสุด เพื่อนำมาให้บริการในภาพใหญ่อย่างดิจิตอลไลฟ์ เซอร์วิส โพรวายเดอร์ ที่วางไว้ และกลายเป็นการนำธุรกิจที่ให้บริการในเครือมาผูกกันเพื่อให้บริการโดยองค์รวมกับลูกค้า
โดยภาพรวมตลาดฟิกซ์ บรอดแบนด์ในสิ้นปีนี้จะมีลูกค้าในตลาดทั้งหมด 5 ล้านราย ที่ปัจจุบันกว่า 94-95% ใช้งานบนเทคโนโลยี ADSL และภายใน 5 ปีข้างหน้าจะมีลูกค้าเพิ่มขึ้นมาอีก 2 ล้านราย เป็นรวมทั้งหมด 7 ล้านราย ให้เอไอเอสได้เข้ามาทำตลาด
“การเข้ามาทำตลาดในช่วงเวลานี้ไม่ได้ช้าไป แต่ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด เพราะลูกค้าที่ใช้ ADSL ในปัจจุบัน จะเริ่มหาเทคโนโลยีใหม่มาทดแทนเนื่องจากความเร็วที่ได้ไม่เพียงพอต่อการใช้งาน โดยจะเริ่มทดลองทำตลาดในกรุงเทพฯ ก่อนที่จะทยอยขยายไปยังหัวเมืองใหญ่ และทั่วประเทศในปี 2015”
สมชัย ระบุว่า การให้บริการฟิกซ์บรอดแบนด์ในสมัยก่อนผู้ที่ให้บริการได้คือ ผู้ที่ให้บริการ โทรศัพท์บ้านเดิม มีการเดินสายเข้าถึงแต่ละบ้านอยู่แล้ว แต่ปัจจุบันไม่จำเป็นแล้ว เพราะไม่มีหมายเลขโทรศัพท์บ้านก็สามารถใช้บริการอินเทอร์เน็ตมีสายความเร็วสูงได้ และที่สำคัญเอไอเอสจะยึดมั่นในเรื่องของ
ASTVmanager เชื่อ AIS ถูกบีบด้วยสถานการณ์คลื่น 2100 ที่ไม่พอให้บริการ (หวังดึง TOT เป็นพันธมิตรด้วยทหาร อ้างTOTอยู่รอด)
ประเด็นหลัก
สถานการณ์บีบ เอไอเอสต้องหาพันธมิตร
“ถ้าเกิดถึงคราวจำเป็น เมื่อต้องมีการเจรจาถึงเรื่องของส่วนแบ่งรายได้เพื่อให้สามารถนำคลื่นมาบริหารได้ไม่ว่าจะเป็น 10%, 12% หรือ 15% เอไอเอสก็จำเป็นที่จะต้องทำ เพราะในการให้บริการถ้าไม่มีทรัพยากรที่เป็นคลื่นความถี่ก็ไม่สามารถพัฒนาอย่างอื่นได้”
เมื่อดูถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ถ้าคลื่นความถี่ 2.1 GHz ที่มีไม่สามารถใช้วิธีการลงสถานีฐานเพิ่ม หรือเติม Small Cell เข้าไปเสริมแล้ว ก็เชื่อว่าจะได้เห็นความร่วมมือระหว่างเอไอเอส และทีโอที อย่างแน่นอน
นาทีนี้การประมูลความถี่ 1800 MHz และ 900 MHz ถือเป็นทางรอดของเอไอเอสในอนาคต ซึ่งวิธีสกัดไม่ใช่เรื่องยาก แค่เตะถ่วงให้เลยเวลา 18 เดือนที่เอไอเอสคิดว่าใช้ประสบการณ์เมื่อตอนแบ่งความถี่ 900 MHz มาให้บริการ 3G เทียม ประคองเอาตัวรอดจนกว่าจะได้ประมูลความถี่ เพราะแค่คู่แข่งในอุตสาหกรรมมือถือที่แทบทุกคนก็รู้ว่าเป็นใคร ที่มีสายสัมพันธ์เลี่ยมทองฝังเพชรกับผู้มีอำนาจ ดึงกระบวนการให้เนิ่นนานออกไป เนื่องจากเจ้าภาพการประมูลความถี่ อย่าง กสทช. ต้องมีการแก้กฎหมายปรับโครงสร้าง รวมทั้งอาจต้องสรรหากรรมการ กสทช.ใหม่ หรือ เรียกได้ว่าเกือบจะนับหนึ่งใหม่ ต้องผ่านการพิจารณาจาก สนช. ครม. เรียกได้ว่าแค่เตะถ่วงทุกขั้นตอนก็เลิกหวังว่าจะได้ประมูลความถี่ไตรมาส 3 ปีหน้า ยกเว้นเจ้าสัวอยากจะให้ประมูลจริงเท่านั้น
ด้านพันธมิตรที่หวังไว้อย่างทีโอที อาจไม่สวยหรูอย่างที่คาดไว้ เพราะการเจรจาเป็นพันธมิตรคุยกันมาหลายปีแล้ว แต่ไม่ได้ข้อสรุป ในอดีตเพราะนอกจากถูกเตะตัดขาระหว่างทางแล้ว การเมืองก็ไม่ได้อยู่ข้างเอไอเอสอย่างที่ชาวบ้านคิดกัน ยิ่งครั้งนี้ประธานบอร์ดเป็นทหาร อาจคาดหวังได้ว่าน่าจะพาทีโอทีไปรอด แต่ภายใต้โอกาสรอดของทีโอที ก็คือ การทำให้เอไอเอสมีต้นทุนสูงกว่าคู่แข่ง จนแข่งขันได้ยาก เพราะโมเดลทั้งหลายที่คุยกัน อาจเป็นโอกาสของทีโอที ที่เอไอเอสต้องยอมก็ได้
http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9570000121843
______________________________
สถานการณ์บีบ เอไอเอสต้องหาพันธมิตร
สถานการณ์บีบ เอไอเอสต้องหาพันธมิตร
หลังเข้ามารับตำแหน่งซีอีโอแห่งค่ายเบอร์ 1 ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย อย่าง บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส มาแล้วกว่า 3 เดือน แต่สถานการณ์ของ “สมชัย เลิศสุทธิวงศ์” ในวันนี้กลับอยู่ในจุดที่บีบคั้นให้ต้องมีการเฟ้นหาพันธมิตรมาช่วยในเรื่องคลื่นความถี่ที่เป็นปัญหามายาวนาน
ด้วยจุดประสงค์ที่ต้องการผลักดันให้เอไอเอส กลายเป็นดิจิตอลไลฟ์ เซอร์วิส โพรวายเดอร์ ส่งผลให้เอไอเอสต้องใส่ใจในการปรับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อนำมาให้บริการเป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันคลื่นความถี่ที่ประมูลได้มาจากการประมูล 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz จำนวน 15 MHz ที่ให้มาเริ่มเกิดปัญหาเช่นเดียวกับช่วงปลายยุคของคลื่นความถี่ 900 MHz ที่เอไอเอส ไม่มีคลื่นความถี่เหลือเพียงพอให้บริการ
แม้ว่า สมชัย จะมองว่า ตัวคลื่นความถี่ที่มีอยู่ 15 MHz จะสามารถรองรับการใช้งานของลูกค้าไปได้อีก 12-18 เดือน หรือภายใต้ฐานลูกค้ากว่า 50 ล้านราย พร้อมกับระบุว่า ทีมงานวิศวกรของเอไอเอส มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการบริหารคลื่นความถี่ที่จำกัดมาให้บริการด้วยคุณภาพมาตั้งแต่ยุคก่อนแล้ว
“ถ้าเปรียบการบริหารคลื่นความถี่กับการขายที่ดิน บางบริษัทอาจจะสร้างบ้านเดี่ยว หรือทาวน์เฮาส์มาขายให้แก่ผู้บริโภค แต่ทีมงานเอไอเอสฝึกสร้างคอนโดฯ มานานแล้ว จึงทำให้มีความมั่นใจว่าจะสามารถให้บริการลูกค้าในประสิทธิภาพสูงไปได้อีกถึงกลางปี 2559”
สถานการณ์บีบ เอไอเอสต้องหาพันธมิตร
จุดสำคัญที่บีบคั้นให้เอไอเอสต้องสร้างคอนโดฯ ต่อไปคือ การเลื่อนประมูลคลื่นความถี่ 1800 MHz (4G) ที่แต่เดิมคาดว่าจะได้ประมูลในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาออกไป 1 ปี ตามประกาศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แต่ก็ยังไม่มีสิ่งใดมาการันตีว่า เมื่อครบช่วงเวลา 1 ปีแล้ว จะมีการประมูลเกิดขึ้นหรือไม่
เช่นเดียวกับคลื่นความถี่ 900 MHz ของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ที่ทางเอไอเอส จะหมดสัมปทานในวันที่ 30 กันยายน 2558 ซึ่งแต่เดิมคาดว่าจะนำมาประมูลก่อนในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2557 ก็ถูกเลื่อนออกไปเช่นเดียวกัน
ซ้ำร้ายทีโอทียังเกิดแนวความคิดที่จะนำคลื่นความถี่ 900 MHz กลับไปบริหารจัดการเองแทนที่จะคืนให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) นำไปประมูล โดยอ้างเหตุผลว่า ทีโอที ได้ถือครองคลื่นความถี่ดังกล่าวก่อนมี กทช. จึงมีสิทธิที่จะถือครองจนหมดใบอนุญาตในปี 2568
โดยในมุมของทีโอที เมื่อได้สิทธิถือครองคลื่นความถี่ 900 MHz พร้อมรับมอบสถานีฐานจากการที่เอไอเอสหมดสัมปทาน 15,000 สถานี จะทำให้สามารถนำไปให้บริการคลื่นความถี่ต่อไปได้และถือเป็นหนึ่งในทางรอดสำคัญที่ทางคณะกรรมการของทีโอทีมองไว้
สิ่งที่เอไอเอสสามารถทำได้ในตอนนี้คือ การเตรียมแผนไว้รองรับกรณีที่จะไม่เกิดการประมูล 4G ขึ้นในระยะเวลาอันใกล้ถึง 3 แผนด้วยกัน ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการเข้าไปพูดคุยกับพันธมิตรเดิม และถือเป็นพันธมิตรหลักที่ผูกพันกันมาอย่างยาวนาน โดยแต่ละแผนก็จะมีแนวทางดำเนินงานที่แตกต่างกันออกไป
สถานการณ์บีบ เอไอเอสต้องหาพันธมิตร
“ถ้าเกิดถึงคราวจำเป็น เมื่อต้องมีการเจรจาถึงเรื่องของส่วนแบ่งรายได้เพื่อให้สามารถนำคลื่นมาบริหารได้ไม่ว่าจะเป็น 10%, 12% หรือ 15% เอไอเอสก็จำเป็นที่จะต้องทำ เพราะในการให้บริการถ้าไม่มีทรัพยากรที่เป็นคลื่นความถี่ก็ไม่สามารถพัฒนาอย่างอื่นได้”
เมื่อดูถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ถ้าคลื่นความถี่ 2.1 GHz ที่มีไม่สามารถใช้วิธีการลงสถานีฐานเพิ่ม หรือเติม Small Cell เข้าไปเสริมแล้ว ก็เชื่อว่าจะได้เห็นความร่วมมือระหว่างเอไอเอส และทีโอที อย่างแน่นอน
***มองภาพรวมอุตฯ โทรคม
ขณะที่ในมุมของภาพรวมอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในประเทศไทย “สมชัย” มองว่าตอนนี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วนหลักๆ คือ การให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ การจำหน่ายอุปกรณ์พกพา และการให้บริการฟิกซ์ไลน์ (ทั้งโทรศัพท์บ้าน และอินเทอร์เน็ตแบบมีสาย)
การเติบโตของตลาดผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือจากปีที่ผ่านมามีมูลค่าราว 2.2 แสนล้านบาท ในปีนี้คาดว่าจะเติบโตราว 1-2% ด้วยจำนวนผู้ใช้งาน 95 ล้านราย คิดเป็นอัตราการใช้งานต่อจำนวนประชากรราว 145% คิดเป็นมูลค่า 2.24 แสนล้านบาท ปริมาณการใช้งานดาต้าเติบโตราว 38% จากผู้ใช้งานสมาร์ทดีไวซ์กว่า 33 ล้านเครื่อง แต่ทั้งนี้ ก็ยังมีผู้บริโภคกว่า 50% ที่ยังใช้งานเครือข่าย 2G
สถานการณ์บีบ เอไอเอสต้องหาพันธมิตร
ขณะที่ในส่วนของสมาร์ทดีไวซ์จะมีการเติบโตจาก 9.9 หมื่นล้านบาท เป็น 1.15 แสนล้านบาท เติบโตราว 10% คิดเป็น 26 ล้านเครื่อง แต่ที่น่าสนใจคือ ในส่วนของฟิกซ์ไลน์ปีที่ผ่านมามีมูลค่าราว 4.9 หมื่นล้าน และคาดว่าในสิ้นปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 5.4 หมื่นล้าน เติบโตราว 9% จากปริมาณการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ของประชากรราว 27% แต่สามารถสร้างรายได้เป็นสัดส่วนกว่า 80% ของรายได้ในกลุ่มนี้
“ตลาดดีไวซ์ยังเป็นตลาดที่มีการเติบโตอีกมาก เพราะยังมีลูกค้าที่ใช้งานเครือข่าย 2G ในประเทศอีกกว่า 50% ที่รอเวลาเปลี่ยนมาใช้งานดีไวซ์ที่รองรับการใช้งาน 3G ในอนาคตอันใกล้”
โดยในช่วงเกือบ 2 ปี ที่ผ่านมา เอไอเอส สามารถให้บริการเครือข่าย 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz ครอบคลุมแล้ว 97% จากเกือบ 2 หมื่นสถานีฐาน ด้วยงบประมาณกว่า 8 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าครอบคลุมมากกว่าเครือข่าย 2G บนคลื่นความถี่ 900 MHz แล้ว พร้อมกับการจำหน่าย สมาร์ทโฟนในราคาถูก ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา สามารถจำหน่าย AIS Super Combo โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนอย่าง AIS Lava ไปได้มากกว่า 1 ล้านเครื่อง ถือเป็นสัญญาณที่ดีในกลุ่มของสมาร์ทดีไวซ์ที่กำลังเติบโต
สุดท้ายเชื่อว่าการแข่งขันในตลาดโทรคมนาคมจะเริ่มหันมาให้ความสำคัญต่อคอนเทนต์ที่พิเศษมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากการเปิดให้บริการทั้ง AIS BPL หรือการให้รับชมซีรีส์อย่าง Hormones ผ่านแอปพลิเคชัน AIS Movie Store รวมๆ แล้วมีลูกค้ากว่า 2 ล้านรายเข้ามาใช้บริการ
“สิ่งที่อยากเห็นคือ การที่โอเปอเรเตอร์อื่นๆ หันมาให้บริการคอนเทนต์ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และช่วยผลักดันให้อุตสาหกรรมเจริญเติบโตต่อไป”
สถานการณ์บีบ เอไอเอสต้องหาพันธมิตร
***4G ทำเมื่อพร้อม และต้องเป็นเบอร์ 1
ส่วนทางด้านการให้บริการ 4G ปัจจุบันเอไอเอสมองว่ายังอยู่ในมุมของการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รับรู้มากกว่า เพราะปัจจุบันดีไวซ์ที่รองรับการใช้งาน 4G ในตลาดยังมีปริมาณน้อยอยู่มาก และในความเป็นจริงผู้บริโภคไม่สนใจว่าจะใช้งานบนเทคโนโลยีใด แต่ให้ความสำคัญในเรื่องของความเสถียรในการใช้งานมากกว่า
“ในอุตสาหกรรมนี้เมื่อเอไอเอสเริ่มให้บริการ 3G ก็สามารถให้บริการเป็นที่ 1 ได้ภายในระยะเวลาอันสั้น และในอนาคตถ้าเอไอเอสจะให้บริการ 4G เอไอเอสก็ต้องเป็นที่ 1 อย่างแน่นอน”
แต่ทั้งนี้ก็ยอมรับว่า ถ้ายังไม่สามารถหาคลื่นมาให้บริการ 4G ได้ภายในช่วงกลางปี 2559 การให้บริการจะมีปัญหาอย่างแน่นอน เพราะจากปริมาณการใช้งานดาต้าที่เติบโตขึ้น สุดท้ายผู้ให้บริการที่ไม่มีทรัพยากรก็จะเสียเปรียบในการแข่งขัน
***ปั้นฟิกซ์บรอดแบนด์ เสริมโอกาสธุรกิจ
ก่อนหน้านี้ เอไอเอสได้มีการแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แล้วว่า จะนำเงินลงทุน 4.6 พันล้านบาท มาให้บริการธุรกิจฟิกซ์บรอดแบนด์ ซึ่งเบื้องต้นไม่ได้จำกัดว่าจะให้บริการในเทคโนโลยีใด เพียงแต่มองไว้ 4 เทคโนโลยีด้วยกันคือ การให้บริการผ่านไฟเบอร์ออปติก, ดาวเทียม, vDSL และผ่านสายเคเบิล ที่ให้ความเร็วสูงกว่า ADSL ทั่วไปที่มีให้บริการในปัจจุบัน
“การลงทุนในส่วนของฟิกซ์บรอดแบนด์จุดประสงค์สำคัญคือ การนำไปให้บริการเสริมในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต เนื่องจากปัจจุบันผู้ใช้งานดาต้าบนอุปกรณ์พกพาจะมีด้วยกัน 2 รูปแบบ คือ ขณะที่กำลังเดินทางก็จะใช้งานโมบายโอเปอเรเตอร์ และอีกส่วนหนึ่งคือการใช้งานในบ้าน หรือที่ทำงานที่สามารถไปจับไวไฟได้”
ที่สำคัญคือ ธุรกิจดังกล่าวจะช่วยให้เอไอเอสมีอินฟราสตรักเจอร์เพิ่มขึ้น และเป็นการนำทรัพยากรที่มีมาใช้ให้เกิดประโยช์สูงสุด เพื่อนำมาให้บริการในภาพใหญ่อย่างดิจิตอลไลฟ์ เซอร์วิส โพรวายเดอร์ ที่วางไว้ และกลายเป็นการนำธุรกิจที่ให้บริการในเครือมาผูกกันเพื่อให้บริการโดยองค์รวมกับลูกค้า
โดยภาพรวมตลาดฟิกซ์ บรอดแบนด์ในสิ้นปีนี้จะมีลูกค้าในตลาดทั้งหมด 5 ล้านราย ที่ปัจจุบันกว่า 94-95% ใช้งานบนเทคโนโลยี ADSL และภายใน 5 ปีข้างหน้าจะมีลูกค้าเพิ่มขึ้นมาอีก 2 ล้านราย เป็นรวมทั้งหมด 7 ล้านราย ให้เอไอเอสได้เข้ามาทำตลาด
“การเข้ามาทำตลาดในช่วงเวลานี้ไม่ได้ช้าไป แต่ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด เพราะลูกค้าที่ใช้ ADSL ในปัจจุบัน จะเริ่มหาเทคโนโลยีใหม่มาทดแทนเนื่องจากความเร็วที่ได้ไม่เพียงพอต่อการใช้งาน โดยจะเริ่มทดลองทำตลาดในกรุงเทพฯ ก่อนที่จะทยอยขยายไปยังหัวเมืองใหญ่ และทั่วประเทศในปี 2015”
สมชัย ระบุว่า การให้บริการฟิกซ์บรอดแบนด์ในสมัยก่อนผู้ที่ให้บริการได้คือ ผู้ที่ให้บริการ โทรศัพท์บ้านเดิม มีการเดินสายเข้าถึงแต่ละบ้านอยู่แล้ว แต่ปัจจุบันไม่จำเป็นแล้ว เพราะไม่มีหมายเลขโทรศัพท์บ้านก็สามารถใช้บริการอินเทอร์เน็ตมีสายความเร็วสูงได้ และที่สำคัญเอไอเอสจะยึดมั่นในเรื่องของ