สวัสดีครับวันนี้ผมมีเรื่องเล่า มาให้กำลังใจทุกคนที่ฝันอยากจะเป็นนางฟ้ากันครับ
หวังว่าทุกคนคงจะชอบเหมือนผมนะครับ ✈️✈️
มืดมา...สว่างไป
เพราะไม่ได้เกิดมามีพร้อมเหมือนใครๆหลายคนในโลกใบนี้ค่ะ มันจึงทำให้มีภูมิคุ้มกันพิเศษๆหลายตัวเป็นสิ่งทดแทน...
ภูมิคุ้มนี้ไม่ใช่วัคซีที่ไปฉีดตามโรงพยาบาล แต่มันสร้างขึ้นตามธรรมชาติของสัญชาติญาณความเป็นคนที่ต้องดิ้นรนด้วยตัวเอง ดิ้นรนที่ทำความฝันให้กลายเป็นความจริง...
ภูมิคุ้มกันที่ว่ามันคือ ความพยายาม ความอดทน ความไม่ยอมแพ้ ความกล้าที่จะลงมือทำ สิ่งเหล่านี้คือภูมิคุ้มกันพิเศษๆที่ทำให้เรามีเพียบพร้อมตามแบบที่เราได้เคยฝันไว้ แต่ตอนนี้มันคือเรื่องจริงแล้วค่ะ...
ก่อนหน้านี้ เราเองก็มีความคิดหมือนคนอื่นว่า การเป็นแอร์ฯ ไม่น่าจะยาก ไม่น่าจะทำไรมาก แค่แต่งหน้าสวยๆ ยิ้มเก่งๆ เสริฟอาหารเครื่องดื่มบนเครื่องบิน ถ้ามันง่ายขนาดนี้ทำไมการสมัครแอร์ฯนี้มันถึงได้ยาก เป็นที่กล่าวขาน มีขั้นตอนการคัดเลือกแตกต่างกันในแต่ละสายการบิน ใครๆก้อน่าจะเป็นแอร์ฯกันไปหมดแล้วใช่มั้ยคะ? เพราะมันดูไม่เห็นจะมีอะไร ก็แค่การบริการลอยฟ้า ใช่ค่ะ...นั่นมันคือข้างหน้าม่านของอาชีพนี้ สิ่งที่ผู้โดยสารทุกคนได้รับไปก้อคือ ถาดอาหาร แก้วน้ำ จากแอร์ฯเท่านั้น พวกเค้าเหล่านั้นได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกะแอร์ฯนานเท่าไหร่กันคะ?
45นาทีถ้าเป็นเที่ยวบินระยะใกล้ หรืออาจเป็น17ชั่วโมงยาวสุดถ้าเป็นระยะทางไกล(เท่าที่ได้เคยบินมา) ทำให้เค้าคิดว่าการเป็นแอร์ฯมันก้อแค่นั้น...
มีเหตุการ์ณนึงค่ะ ที่ทำให้ตัวเราเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนมุมมอง กับอาชีพนี้ แล้วกลับตั้งอกตั้งใจมากขึ้น และตั้งตารอว่า วันนึงจะมีคนรู้จักเราในฐานะแอร์ฯคนนึง เพราะสำหรับเราการเป็นแอร์ฯคือเรื่องมหัศจรรย์ค่ะ...
ถ้าพูดถึงว่ามาประเทศญี่ปุ่น แล้วจะพาไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ เราคงจะเบ่ะปากนิดๆ คิ้วขมวดหน่อยๆ เพราะว่าการมาประเทศญี่ปุ่นนี้ เรามีความหวังว่าต้องมาดูภูเข้าไฟฟูจิ มาเจอโดราเอม่อน ทานแซลมอลซาชิมิ และชมซากุระแน่ๆ
แต่วันนี้ทางบริษัทจะพาไปชมพิพิธภัณฑ์เครื่องบินค่ะ ขอสารภาพตรงๆว่า ไม่ค่อยจะสนใจเท่าไหร่นักตอนนั้น เพราะว่าเป็นครั้งแรกที่มาญี่ปุ่น ควรได้ไปไหนที่น่าสนใจมากกว่านี้ ทุกคนคิดเหมือนกันมั้ยคะ? เรายังวัยรุ่นอยู่ตอนนั้น ถ้าจะให้เข้าพิพิธภัณฑ์คงถอดใจตั้งแต่ได้ยินแล้วล่ะค่ะ แล้วนี่ก้อยังเป็นสถานที่ ที่เกี่ยวกับเครื่องบินอีก คงจะหนีไม่พ้นให้ไปจดๆข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าเครื่องร่อนต่างๆในสมัยโบราณ เพื่ออะไรก้อไม่รู้...
แล้วก้อเป็นไปตามคาดการณ์ค่ะ ไม่มีคนอื่นในพิพิธภัณฑ์นี้เลยวันนี้ เหมือนว่าตั้งใจว่าให้เราและเพื่อนๆ ซึบซับกับประวัติของเครื่องบินต่างๆได้อย่างเต็มที่ พอได้ก้าวผ่านเข้าประตูทางเข้าพิพิธภัณฑ์ไป ทุกอย่างก้อเงียบงันขึ้นมาฉับพลัน พอมองเห็นบ้างว่ามีเจ้าหน้าที่อยู่ประจำตามจุดต่างๆ บางตา
จุดแรกที่ดึงดูดสายตาของเรานั้นก้อคือ ชิ้นส่วนของเครื่องบินขนาดใหญ่ตั้งโชว์อยู่ในตู้กระจกตรงหน้า...ที่บอกว่าชิ้นส่วน มันคือชิ้นส่วนจริงๆเนื่องจากเป็นชิ้นส่วนของเครื่องบินที่ถุกเก็บกู้ขึ้นมาได้จากใต้ทะเล จากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน... เห็นได้ชัดถึงความเสียหายจากวัสดุ บางส่วนเป็นรอยดำเนื่องจากการระเบิดและไฟเผาไหม้... เรารีบเดินตรงดิ่งเพื่อไปอ่านคำบรรยายตรงด้านหน้าตู้กระจกแสดงชิ้นส่วนนี้...ในใจภาวนาว่า คงไม่ใช่เป็นเศษชิ้นส่วนเครื่องบิน ของสายการบินที่เรากำลังเข้าทำงานนี้...
หลังจากได้อ่านคำบรรยายเกี่ยวกับชิ้นส่วนเครื่องบินนี้แล้ว เราถึงกะก้าวขาไปไหนไม่ออก ใจมันหวิวมากๆ เพราะว่าชิ้นส่วนนี้คือเป็นเครื่องบินในสายการบินเรา โดยเหตุการณ์เลวร้ายนี้ผ่านมานานมากแล้ว แต่เวลาถ้าคุณมาเห็นชิ้นส่วนนี้ มันกลับทำให้คิดว่าเหตุการณ์นี้มันเพิ่งเกิด ในใจไม่ได้มีความกลัวเกิดเลยซักนิด กลับมีคำถามขึ้นมาในใจว่า เกิดอะไรขึ้น มีคนรอดมั้ย ญาติผู้เสียชีวิตจะเป็นอย่างไร แล้วอย่างสุดท้ายคือ...เกิดอะไรขึ้นกับแอร์ฯบนเครื่องลำนั้น...
เสียงคนลากเท้าเดินผ่านไปมาข้างหลัง ทำให้ได้สติขึ้นมาว่ารีบตามไปดูส่วนอื่นอีกดีกว่า รู้สึกว่าเป็นมนุษย์พิพิธภัณฑ์ขึ้นมาในบัดดล เราเดินไปหยุดที่ตู้กระจกตู้หนึ่ง...เป็นการรวบรวมของจิปาถะเล็กๆน้อยๆของแอร์ฯ ที่ปฏิบัติงานอยู่บนไฟล์นั้น...มันอาจดูเล็กน้อย
แต่นั่นมันคือจุดเปลี่ยนทัศนคติของเราไปตลอดชีวิตเกี่ยวกับแอร์ฯ... สิ่งที่เห็นในตู้กระจกนั้นก้อจะเป็น รูปของแอร์ฯและกัปตันบนไฟล์นั้น เท่าที่จำได้ หนึ่งในนั้นเป็นแอร์ฯฝึกหัดที่ทำไฟล์นี้เป็นครั้งแรกก้อมี...
กวาดสายตาไปเรื่อยๆ ก้อจะพบนาฬิกาข้อมือหลายเรือนที่เก็บกู้ได้ในเหตุการณ์นั้น ที่ต่างก้อพาก้นหยุดเดินในเวลาเดียวกัน นั่นก้อคือเวลาที่เครื่องบินเกิดเหตุ... นาฬิกาตายแต่เหตูการณ์นี้ไม่ตายไปจากใจ...
แอบเหลือบไปเห็นสมุดโน้ตเล็กขนาดพกพาคุ้นตา เพราะก่อนหน้านี้เราเองก้อต้องไปหาซื้อมาใช้เหมือนกัน เป็นสิ่งที่บริษัทกำหนด เพื่อจด(PA) ประกาศต่างๆบนเครื่องบ้าง ข้อมูลสำคัญๆที่เป็นภาษาญี่ปุ่นบ้าง แล้วต้องพกไว้ในกระเป๋าเสื้อตลอด
เราได้อ่านคำบรรยายเกี่ยวกับข้อมูล ก้อถึงกับน้ำตาไหลตรงนั้นเลย...จากหลักฐานที่เก็บได้ และสิ่งที่เค้าแปลมาจากสมุดโน้ตเล่มเล็กๆนี้ที่มีคราบเลือดปนเปื้อนอยู่ด้วย คือ... แอร์ฯเค้าได้จดขั้นตอนต่างๆ หลังจากรู้ว่าเครื่องบินมีปันหา หวังว่าถ้าเครื่องได้มีโอกาสแลนด์แล้ว เค้าจะต้องทำยังไงบ้าง จดขั้นตอนการช่วยชีวิตผู้โดยสารของเค้า ประโยคที่จะต้องตะโกนให้ผู้โดยสารยิน...
โดยเราเห็นว่าลายมือที่จดลงในสมุดนั้น ทำให้เรารู้สึกได้ว่าเครื่องบินนั้นกระแทกและสั่นคลอนแค่ไหน มันเป็นลายมือที่ไม่ได้เขียนในที่นิ่งๆปกติธรรมดา แต่พยายามี่จะบังคับมือให้เที่ยงตรง ให้เขียนให้ได้เป็นคำๆ...ลายมือนั้นมันไม่ได้ดูสวยงามนัก แต่ข้อความที่แปลออกมา มันยากนักที่จะหาความสวยงามใดใดในโลกนี้มาเปรียบ...
นี่รึเปล่า...คือความหมายที่แท้จริงของคำว่า “นางฟ้า” ที่คนเค้าเรียกกัน... ขอยกย่อง”นางฟ้าเหล่านั้น” ที่นึกถึงคนอื่น...ที่ไม่ใช่แม้แต่ญาติของตัวเอง คนที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกในไฟลท์วันนั้น “นางฟ้าเหล่านั้น”ก้อยังคงหวังว่าจะได้ช่วยผู้โดยสารของเค้าให้รอด... วินาทีของความตายไม่ได้ทำให้”นางฟ้าเหล่านั้น”กลัวแม้แต่นิด แต่กลับแสดงจรรยาบรรณของอาชีพที่ทำด้วยหัวใจ จดวิธีการ ขั้นตอนต่างๆในเหตุการณ์ฉุกเฉินนั้น ในช่วงเวลาคับขัน ไว้ในสมุดเล่มเล็กๆของเธอ ซึ่งกลายเป็นจารึกที่ยิ่งใหญ่สู่คนรุ่นหลังต่อมา อย่างเช่นเราเป็นต้น...
ภาพในวันนั้นยังอยู่ในใจเราทุกเมื่อ...แม้มีบางบางคราวเหนื่อย ท้อ และสับสน ว่าสิ่งที่เราทำอยู่คืออะไร ก้อจะมีภาพนี้เกิดขึ้นในใจ แล้วเป็นคำตอบให้กับเราได้ดีที่สุด... เพราะฉะนั้น คำว่า “นางฟ้า” มันไม่ใช่สิ่งที่คนเรียกกัน แต่มันเป็นสิ่งที่เราทำจากใจต่างหากล่ะ
เครดิต
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1492284407704410&id=100007685955194&substory_index=0
อ่านจบแล้วได้ข้อคิดดีๆ กับอาชีพในฝันของใครหลายๆคนอีกเยอะ
ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน ที่มีความฝันนะครับ
สู้ๆ ขอให้ทำความฝันให้เป็นความจริงนะครับ✈️
เรื่องเล่า "จากฟากฟ้า"
หวังว่าทุกคนคงจะชอบเหมือนผมนะครับ ✈️✈️
มืดมา...สว่างไป
เพราะไม่ได้เกิดมามีพร้อมเหมือนใครๆหลายคนในโลกใบนี้ค่ะ มันจึงทำให้มีภูมิคุ้มกันพิเศษๆหลายตัวเป็นสิ่งทดแทน...
ภูมิคุ้มนี้ไม่ใช่วัคซีที่ไปฉีดตามโรงพยาบาล แต่มันสร้างขึ้นตามธรรมชาติของสัญชาติญาณความเป็นคนที่ต้องดิ้นรนด้วยตัวเอง ดิ้นรนที่ทำความฝันให้กลายเป็นความจริง...
ภูมิคุ้มกันที่ว่ามันคือ ความพยายาม ความอดทน ความไม่ยอมแพ้ ความกล้าที่จะลงมือทำ สิ่งเหล่านี้คือภูมิคุ้มกันพิเศษๆที่ทำให้เรามีเพียบพร้อมตามแบบที่เราได้เคยฝันไว้ แต่ตอนนี้มันคือเรื่องจริงแล้วค่ะ...
ก่อนหน้านี้ เราเองก็มีความคิดหมือนคนอื่นว่า การเป็นแอร์ฯ ไม่น่าจะยาก ไม่น่าจะทำไรมาก แค่แต่งหน้าสวยๆ ยิ้มเก่งๆ เสริฟอาหารเครื่องดื่มบนเครื่องบิน ถ้ามันง่ายขนาดนี้ทำไมการสมัครแอร์ฯนี้มันถึงได้ยาก เป็นที่กล่าวขาน มีขั้นตอนการคัดเลือกแตกต่างกันในแต่ละสายการบิน ใครๆก้อน่าจะเป็นแอร์ฯกันไปหมดแล้วใช่มั้ยคะ? เพราะมันดูไม่เห็นจะมีอะไร ก็แค่การบริการลอยฟ้า ใช่ค่ะ...นั่นมันคือข้างหน้าม่านของอาชีพนี้ สิ่งที่ผู้โดยสารทุกคนได้รับไปก้อคือ ถาดอาหาร แก้วน้ำ จากแอร์ฯเท่านั้น พวกเค้าเหล่านั้นได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกะแอร์ฯนานเท่าไหร่กันคะ?
45นาทีถ้าเป็นเที่ยวบินระยะใกล้ หรืออาจเป็น17ชั่วโมงยาวสุดถ้าเป็นระยะทางไกล(เท่าที่ได้เคยบินมา) ทำให้เค้าคิดว่าการเป็นแอร์ฯมันก้อแค่นั้น...
มีเหตุการ์ณนึงค่ะ ที่ทำให้ตัวเราเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนมุมมอง กับอาชีพนี้ แล้วกลับตั้งอกตั้งใจมากขึ้น และตั้งตารอว่า วันนึงจะมีคนรู้จักเราในฐานะแอร์ฯคนนึง เพราะสำหรับเราการเป็นแอร์ฯคือเรื่องมหัศจรรย์ค่ะ...
ถ้าพูดถึงว่ามาประเทศญี่ปุ่น แล้วจะพาไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ เราคงจะเบ่ะปากนิดๆ คิ้วขมวดหน่อยๆ เพราะว่าการมาประเทศญี่ปุ่นนี้ เรามีความหวังว่าต้องมาดูภูเข้าไฟฟูจิ มาเจอโดราเอม่อน ทานแซลมอลซาชิมิ และชมซากุระแน่ๆ
แต่วันนี้ทางบริษัทจะพาไปชมพิพิธภัณฑ์เครื่องบินค่ะ ขอสารภาพตรงๆว่า ไม่ค่อยจะสนใจเท่าไหร่นักตอนนั้น เพราะว่าเป็นครั้งแรกที่มาญี่ปุ่น ควรได้ไปไหนที่น่าสนใจมากกว่านี้ ทุกคนคิดเหมือนกันมั้ยคะ? เรายังวัยรุ่นอยู่ตอนนั้น ถ้าจะให้เข้าพิพิธภัณฑ์คงถอดใจตั้งแต่ได้ยินแล้วล่ะค่ะ แล้วนี่ก้อยังเป็นสถานที่ ที่เกี่ยวกับเครื่องบินอีก คงจะหนีไม่พ้นให้ไปจดๆข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าเครื่องร่อนต่างๆในสมัยโบราณ เพื่ออะไรก้อไม่รู้...
แล้วก้อเป็นไปตามคาดการณ์ค่ะ ไม่มีคนอื่นในพิพิธภัณฑ์นี้เลยวันนี้ เหมือนว่าตั้งใจว่าให้เราและเพื่อนๆ ซึบซับกับประวัติของเครื่องบินต่างๆได้อย่างเต็มที่ พอได้ก้าวผ่านเข้าประตูทางเข้าพิพิธภัณฑ์ไป ทุกอย่างก้อเงียบงันขึ้นมาฉับพลัน พอมองเห็นบ้างว่ามีเจ้าหน้าที่อยู่ประจำตามจุดต่างๆ บางตา
จุดแรกที่ดึงดูดสายตาของเรานั้นก้อคือ ชิ้นส่วนของเครื่องบินขนาดใหญ่ตั้งโชว์อยู่ในตู้กระจกตรงหน้า...ที่บอกว่าชิ้นส่วน มันคือชิ้นส่วนจริงๆเนื่องจากเป็นชิ้นส่วนของเครื่องบินที่ถุกเก็บกู้ขึ้นมาได้จากใต้ทะเล จากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน... เห็นได้ชัดถึงความเสียหายจากวัสดุ บางส่วนเป็นรอยดำเนื่องจากการระเบิดและไฟเผาไหม้... เรารีบเดินตรงดิ่งเพื่อไปอ่านคำบรรยายตรงด้านหน้าตู้กระจกแสดงชิ้นส่วนนี้...ในใจภาวนาว่า คงไม่ใช่เป็นเศษชิ้นส่วนเครื่องบิน ของสายการบินที่เรากำลังเข้าทำงานนี้...
หลังจากได้อ่านคำบรรยายเกี่ยวกับชิ้นส่วนเครื่องบินนี้แล้ว เราถึงกะก้าวขาไปไหนไม่ออก ใจมันหวิวมากๆ เพราะว่าชิ้นส่วนนี้คือเป็นเครื่องบินในสายการบินเรา โดยเหตุการณ์เลวร้ายนี้ผ่านมานานมากแล้ว แต่เวลาถ้าคุณมาเห็นชิ้นส่วนนี้ มันกลับทำให้คิดว่าเหตุการณ์นี้มันเพิ่งเกิด ในใจไม่ได้มีความกลัวเกิดเลยซักนิด กลับมีคำถามขึ้นมาในใจว่า เกิดอะไรขึ้น มีคนรอดมั้ย ญาติผู้เสียชีวิตจะเป็นอย่างไร แล้วอย่างสุดท้ายคือ...เกิดอะไรขึ้นกับแอร์ฯบนเครื่องลำนั้น...
เสียงคนลากเท้าเดินผ่านไปมาข้างหลัง ทำให้ได้สติขึ้นมาว่ารีบตามไปดูส่วนอื่นอีกดีกว่า รู้สึกว่าเป็นมนุษย์พิพิธภัณฑ์ขึ้นมาในบัดดล เราเดินไปหยุดที่ตู้กระจกตู้หนึ่ง...เป็นการรวบรวมของจิปาถะเล็กๆน้อยๆของแอร์ฯ ที่ปฏิบัติงานอยู่บนไฟล์นั้น...มันอาจดูเล็กน้อย
แต่นั่นมันคือจุดเปลี่ยนทัศนคติของเราไปตลอดชีวิตเกี่ยวกับแอร์ฯ... สิ่งที่เห็นในตู้กระจกนั้นก้อจะเป็น รูปของแอร์ฯและกัปตันบนไฟล์นั้น เท่าที่จำได้ หนึ่งในนั้นเป็นแอร์ฯฝึกหัดที่ทำไฟล์นี้เป็นครั้งแรกก้อมี...
กวาดสายตาไปเรื่อยๆ ก้อจะพบนาฬิกาข้อมือหลายเรือนที่เก็บกู้ได้ในเหตุการณ์นั้น ที่ต่างก้อพาก้นหยุดเดินในเวลาเดียวกัน นั่นก้อคือเวลาที่เครื่องบินเกิดเหตุ... นาฬิกาตายแต่เหตูการณ์นี้ไม่ตายไปจากใจ...
แอบเหลือบไปเห็นสมุดโน้ตเล็กขนาดพกพาคุ้นตา เพราะก่อนหน้านี้เราเองก้อต้องไปหาซื้อมาใช้เหมือนกัน เป็นสิ่งที่บริษัทกำหนด เพื่อจด(PA) ประกาศต่างๆบนเครื่องบ้าง ข้อมูลสำคัญๆที่เป็นภาษาญี่ปุ่นบ้าง แล้วต้องพกไว้ในกระเป๋าเสื้อตลอด
เราได้อ่านคำบรรยายเกี่ยวกับข้อมูล ก้อถึงกับน้ำตาไหลตรงนั้นเลย...จากหลักฐานที่เก็บได้ และสิ่งที่เค้าแปลมาจากสมุดโน้ตเล่มเล็กๆนี้ที่มีคราบเลือดปนเปื้อนอยู่ด้วย คือ... แอร์ฯเค้าได้จดขั้นตอนต่างๆ หลังจากรู้ว่าเครื่องบินมีปันหา หวังว่าถ้าเครื่องได้มีโอกาสแลนด์แล้ว เค้าจะต้องทำยังไงบ้าง จดขั้นตอนการช่วยชีวิตผู้โดยสารของเค้า ประโยคที่จะต้องตะโกนให้ผู้โดยสารยิน...
โดยเราเห็นว่าลายมือที่จดลงในสมุดนั้น ทำให้เรารู้สึกได้ว่าเครื่องบินนั้นกระแทกและสั่นคลอนแค่ไหน มันเป็นลายมือที่ไม่ได้เขียนในที่นิ่งๆปกติธรรมดา แต่พยายามี่จะบังคับมือให้เที่ยงตรง ให้เขียนให้ได้เป็นคำๆ...ลายมือนั้นมันไม่ได้ดูสวยงามนัก แต่ข้อความที่แปลออกมา มันยากนักที่จะหาความสวยงามใดใดในโลกนี้มาเปรียบ...
นี่รึเปล่า...คือความหมายที่แท้จริงของคำว่า “นางฟ้า” ที่คนเค้าเรียกกัน... ขอยกย่อง”นางฟ้าเหล่านั้น” ที่นึกถึงคนอื่น...ที่ไม่ใช่แม้แต่ญาติของตัวเอง คนที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกในไฟลท์วันนั้น “นางฟ้าเหล่านั้น”ก้อยังคงหวังว่าจะได้ช่วยผู้โดยสารของเค้าให้รอด... วินาทีของความตายไม่ได้ทำให้”นางฟ้าเหล่านั้น”กลัวแม้แต่นิด แต่กลับแสดงจรรยาบรรณของอาชีพที่ทำด้วยหัวใจ จดวิธีการ ขั้นตอนต่างๆในเหตุการณ์ฉุกเฉินนั้น ในช่วงเวลาคับขัน ไว้ในสมุดเล่มเล็กๆของเธอ ซึ่งกลายเป็นจารึกที่ยิ่งใหญ่สู่คนรุ่นหลังต่อมา อย่างเช่นเราเป็นต้น...
ภาพในวันนั้นยังอยู่ในใจเราทุกเมื่อ...แม้มีบางบางคราวเหนื่อย ท้อ และสับสน ว่าสิ่งที่เราทำอยู่คืออะไร ก้อจะมีภาพนี้เกิดขึ้นในใจ แล้วเป็นคำตอบให้กับเราได้ดีที่สุด... เพราะฉะนั้น คำว่า “นางฟ้า” มันไม่ใช่สิ่งที่คนเรียกกัน แต่มันเป็นสิ่งที่เราทำจากใจต่างหากล่ะ
เครดิต https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1492284407704410&id=100007685955194&substory_index=0
อ่านจบแล้วได้ข้อคิดดีๆ กับอาชีพในฝันของใครหลายๆคนอีกเยอะ
ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน ที่มีความฝันนะครับ
สู้ๆ ขอให้ทำความฝันให้เป็นความจริงนะครับ✈️