แด่คนที่ฉันรัก

กระทู้คำถาม
สองคืนที่ผ่านมาเหมือนสายลมช่วยพัดความรู้สึกในอดีตคล้ายจดหมายที่ส่งไปไม่เคยถึงผู้รับ เมื่อภาพในอดีตตีกลับเมื่อนั้นความทรงจำสีจางก็ค่อย ๆเริ่มบรรยายภาพให้เห็นทีละเล็ก ทีละน้อยค่อยๆผสมเข้าจนรูปภาพและข้อความต่างๆนั้นย้อนมา เหมือนดังภาพยนตร์ ไม่สิ น่าจะเป็นหนังสั้นที่รวมๆแล้วออกจะคล้ายนิยาย มากกว่า หากเจอเพื่อนสนิทที่ไม่ได้พบปะกันเป็นเวลานานก็รู้สึกสนุกทุกครั้งที่ได้คุยเรื่องเดิมๆ เจอทุกครั้งแทบไม่เคยคุยเรื่องใหม่ อย่างมากก็ถามว่าชีวิตเป็นอย่างไรเล่าให้กูฟังบ้าง หากมีปัญหาช่วยเหลือกันได้ก็ช่วยๆกันไป ไม่รู้ว่าผมเริ่มชอบสีเหลืองตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่แน่ๆรู้ว่าชอบเพราะผู้หญิง แรกๆสมัยเรียนมัธยมศึกษาปีที่หนึ่งจำได้ว่าเคยหลงรักผู้หญิงที่เป็นฝาแฝด คงน่ารักที่สุดในชั้นแล้วมั้งในตอนนั้น แยกไม่ค่อยออกคนไหนพี่คนไหนน้อง แต่ก็ชอบทั้งคู่นะ ทุกอาทิตย์แม่จะคอยเติมเงินโทรศัพท์ให้เดือนละห้าร้อย หลังๆเริ่มเปลี่ยนเป็นสัปดาห์ละสามร้อยเนื่องจากต้นเดือนเมื่อไหร่ ห้าร้อยหมดภายในวันเดียว สมัยนั้นมีเพจอยู่แต่ไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่ แต่ที่เงินโทรศัพท์หมดก็เพราะผู้หญิงนี่ล่ะ จะว่าเขามาหลอกเราก็ไม่ได้ เข้าตำราถึงเขาหลอกแต่เต็มใจให้หลอก เช้ามาหลังเข้าแถวพูดจาหวาน ๆ เตงเค้าขอยืมซิมโทรศัพท์หน่อยนะ เค้าอยากได้เกมส์ อยากได้อีโมชั่นใหม่ ๆเพิ่งออกมาเลย อารมณ์เดียวกับเตงซื้อสติ๊กเกอร์ไลน์ให้เค้าหน่อยสิ ก็ต้องยอมดิ พูดหวานๆก็ต้องเขินอยู่แล้ว ยิ่งเตะเนื้อต้องตัว ยอมรับว่าสะท้านครับ ช่วงหลังๆพอเริ่มรู้ว่าเค้าไม่ได้คิดอะไรด้วยกับหมูอ้วนอย่างผม ปิดเทอมมอหนึ่งเลยแอบไปฟิตหุ่น เลิกให้เค้าหลอกเสียที ไม่เอาก็อย่ามาหลอกกัน แต่ก็ยอมมาเป็นปีนะ ตัดมาพออยู่มอสี่แรกๆแอบปลื้มผู้หญิงคนนึง รู้สึกว่าชอบแต่ก็ปล่อยให้มันเป็นไปเรื่อยๆ เรียนก็ไม่เก่งเกเรอีกต่างหาก อยู่ไม่ใกล้แต่ก็ไม่ไกลน่าจะดีกว่า ผมนั่งเยื้องจากเค้าประมาณแถวนึง เค้านั่งข้างหน้าเพื่อนชื่อฟอร์ม ไม่แน่ใจว่าเค้านั่งข้างภูรินทร์แต่ข้างหลังเพียวโยที่นั่งข้างเตยรึเปล่า ส่วนผมนั่งข้างเบสหรือพี่เบสเนื่องจากเบสเป็นคนสุภาพและดูเป็นผู้ใหญ่คนจึงเรียกว่าพี่เบส จริงๆผมน่าจะหลงรักเพื่อนผู้หญิงคนนี้ตั้งแต่ต้นนะ จนกระทั่งวันที่เรียนพละศึกษา ยิ้มมาเรียนวิชาบาสเก็ตบอล เป็นวิชาที่ผมเกลียดมาก เรียกได้ว่าต่อต้านเพราะเคยเล่นกับลูกพี่ลูกน้องเรียกว่าญาติดีกว่า เพราะมันเอาลูกบ้างเขวี้ยงยัดหน้าผมทั้งๆที่เล่นกันแค่สองคนและผมอายุแค่สิบขวบ หนำซ้ำยังเคยหักคอกว่างที่ผมเลี้ยงด้วย เพียงเพราะว่ามันไม่ยอมสู้กับกว่างของมัน  แต่ในเมื่อกีฬาที่ผมไม่ชอบแต่พ่อชอบ ผมก็ต้องหัดเล่นเพราะว่าพ่อแอบบอกแม่เมื่อปีก่อนว่าถ้าลูกเล่นบาสเป็นก็คงดี มันก็เป็นกีฬาชนิดเดียวที่ชั้นเล่นเป็น ผมเข้าใจน่าพ่อ ครั้งนึงพ่อเคยไปเตะบอลกับผมสมัยพ่อไปรับราชการประจำอยู่ที่อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน พ่อชอบไล่เตะขาคนอื่น แต่ก็ไม่มีใครว่าพ่อนะ แถมคอยส่งบอลให้พ่อตลอดด้วย พ่อแกก็ใช้ข้างเท้าเล่นบอลไม่เป็น คนเต็มสนามหลีกทางให้พ่อเลี้ยงเข้าโกลด้วย ตั้งแต่นั้นผมเลยคิดว่าผมไม่ควรเตะฟุตบอลกับพ่ออีก ตัดกลับมาบนสนามบาส ผมแนะนำเทอคนนี้ให้เพื่อนคนนึงช่วยสอนบาสเก็ตบอลให้ เอาไปเอามาเรื่องเงียบๆเหมือนแอบหลับในห้องยามบ่าย ตกเย็นได้ข่าวว่าทั้งสองคนตัดสินใจเป็นแฟนกัน แรกๆก็ไม่ค่อยอยากยินดีด้วย หลังๆมานี่ยิ่งรู้สึกแย่แต่ก็คิดว่าเพื่อนคบกันดีแล้วเหมาะสมกันดี ซึ่งมันก็เหมาะสมกันดีจริงๆนะ คนนึงนักกีฬาประพฤติตัวเยี่ยม อีกคนก็เรียนเก่ง นิสัยดีอีกต่างหาก เข้ากันดี เข้ากันดี แต่พี่เบสก็รู้นะ ว่าเราแอบชอบเค้า หลังๆตัดใจไปคบรุ่นน้องเด็กกว่าหนึ่งปี แต่พอยิ่งคบเริ่มรู้สึกว่าไม่ใช่ไม่เห็นดีเหมือนผู้หญิงห้องเดียวกัน เลิก เลิกกลับไปบอกชอบคนนั้น คือโคตรทุเรศกับคนที่เราไปขอเป็นแฟน. . . กระทั่งตัดกลับไปเมื่อหลายปีก่อนรู้สึกว่าน่าจะเลิกชอบจริงๆจังๆเพราะรู้สึกแย่กับตัวเอง อีกเพราะผมเป็นคนที่นิสัยแย่มาก ผิดถูกชั่วดีไม่รู้ ทำทุกอย่าง เลยขอหยุดลาโดยการจัดดอกไม้ช่อสีเหลืองเล็กๆไปวางไว้ที่หน้าบ้านให้ช่อนึง แล้วก็กลับบ้านมานอนซมเกือบทั้งอาทิตย์ แต่ก็ยังยืนยันว่าอายุสามสิบจะไปขอเค้าแต่งงาน เคยสัญญาด้วยนะทำเป็นเล่น "ถ้าถึงตอนนั้นยังไม่มีใคร เราจะไปขอเธอแต่งงานเอง" จำไม่ได้แล้วล่ะว่าเค้าตอบกลับผมว่าอย่างไร นี่ก็ไม่แน่ใจว่าเค้าเป็นอย่างไรบ้าง อยากถาม อยากคุยด้วยอยู่ตลอด จริงๆก็มีบางครั้งที่หลงๆลืมๆไปบ้างแล้วนะ คงเพราะแก่ขึ้นแล้ว จนกระทั่งเพื่อนแปมยิ้มถามว่ายังรักเค้าอยู่รึเปล่า ผมเลยตอบไปว่าแน่นอน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่