http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1329560952&grpid=no&catid=53&subcatid=5300
อีกด้านหนึ่งของ "ก.ศ.ร.กุหลาบ" ในมุมมองของราชสำนัก
โดย ไกรฤกษ์ นานา นักวิชาการทางประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์มีมุมมองได้ ๒ ด้านเสมอ ถ้ามีด้านบวกก็ต้องมีด้านลบ ถ้ามีผู้แพ้ก็ต้องมีผู้ชนะ และถ้ามีคนถูกก็ต้องมีคนผิด บางทีอาจมีมากกว่า ๒ ด้านด้วยซ้ำ คือไม่ใช่ทั้งถูกและผิด ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองประวัติศาสตร์จากแง่มุมไหน บางครั้งคนมักจะพูดว่าผู้ชนะคือผู้เขียนประวัติศาสตร์ แต่ถ้าเรามองประวัติศาสตร์จากมุมมองของผู้แพ้บ้าง ก็จะเห็นสิ่งที่ปิดบังซ่อนเร้นอยู่ก็ได้ ในกรณีของคนดังจากอดีต เช่นก.ศ.ร.กุหลาบ นั้นมีทั้งด้านบวกและลบให้พิจารณา ขึ้นอยู่กับว่าเราจะให้น้ำหนักด้านไหนมากกว่ากัน
ผมมีโอกาสอ่านบทความจากปก (Cover Story) เกี่ยวกับเรื่องราวของ ก.ศ.ร.กุหลาบ ในวารสารอ่าน ฉบับเดือนมกราคม-มีนาคม ๒๕๕๔ อ่านจบเดียวไม่พอต้องอ่าน ๒ จบ จะได้เข้าใจความคิดเห็นของท่านผู้เขียนที่ตีแผ่ได้ละเอียดลออ แสดงถึงการค้นคว้าข้อมูลมาเป็นอย่างดี ด้วยความเคารพในทัศนะต่างๆ ที่ท่านนำเสนอ
เมื่ออ่านจบก็รู้ถึงความศรัทธาของผู้เขียนที่เชื่อว่านายกุหลาบถูกปรักปรำให้ตกเป็นจำเลยของสังคมโดยไม่เป็นธรรม ในยุคที่ประชาชนเดินดินไม่มีสิทธิ์มีเสียงในการ
วิพากษ์วิจารณ์ประวัติศาสตร์ ซึ่งเขียนขึ้นโดยชนชั้นศักดินาเป็นส่วนใหญ่ งานเขียนของนายกุหลาบจึงมีแนวโน้มจะปฏิวัติแนวคิดของศักดินาโดยปริยาย ด้วยเหตุนี้ทัศนะของประชาชนระดับรากหญ้าด้วยกันจึงเห็นสมควรให้น้ำหนักความชอบธรรมต่อการกระทำของนายกุหลาบว่าไม่ควรได้รับโทษใดๆ
แต่นั่นก็เป็นเพียงมุมมองด้านเดียวเท่านั้น ในมุมมองอีกด้านหนึ่ง พฤติกรรมชอบกลของนายกุหลาบยังไม่ได้รับการชี้แจงว่าเขาได้ทำความผิดอะไรในสายตาของสังคมในสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงถูกปรามาสว่ากระทำเกินกว่าเหตุจากคณะตุลาการที่ทางการตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาความผิดของเขาโดยเฉพาะประธานคณะตุลาการเป็นพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ที่คนในสังคมให้ความเคารพนับถืออย่างมาก ท้ายที่สุดคำตัดสินก็ได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าอยู่หัว ผู้เป็นที่รักใคร่ของพสกนิกรชั้นรากหญ้าทั่วทั้งแผ่นดินในเวลานั้น ซึ่งก็มิได้มีคนชั้นรากหญ้าคนใดทัดทานหรือตั้งข้อสังเกตว่าเขาถูกปรักปรำจนเกินไปในสมัยนั้น
อนึ่ง คดีของนายกุหลาบเป็นคดีที่โด่งดังมากในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ สมัยรัชกาลที่ ๕ โน่น เพราะบทความที่เขาเขียนขึ้นกระทบกระเทือนสถาบันเบื้องสูง เป็นเหตุให้รัชกาลที่ ๕ ทรงกริ้วและโปรดให้มีการไต่สวนเพื่อพิจารณาโทษ ซึ่งคดีนี้ก็หมดอายุความไปแล้วถึง ๑๑๑ ปี นับถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๔ นี้ แต่ก็ยังอุตส่าห์มีคนในสมัยปัจจุบันที่คิดว่าเขาไม่สมควรได้รับโทษทัณฑ์ใดๆ ทั้งสิ้น และต้องการรื้อฟื้นคดีนี้ขึ้นมาอีก
ผมจึงเห็นความจำเป็นต้องนำข้อมูลการไต่สวนของทางการที่ไม่ได้ถูกกล่าวถึงในบทความนั้นมาเปิดเผยอีกครั้งเพื่อให้เห็นมุมมองอีกด้านหนึ่งที่ถูกปิดบังไว้
การที่คนสมัยปัจจุบันเขียนวิจารณ์ในทำนองให้ท้ายนายกุหลาบว่าเขาถูกกล่าวหาโดยไม่เป็นธรรม อาจสร้างความสับสนให้เข้าใจผิดว่าเขาถูกกล่าวหาโดยไม่มีมูลความจริง ดังนั้นควรที่เราจะกลับมาพินิจพิจารณาใหม่ เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่อีกฝ่ายหนึ่งด้วย ตรงนี้ต่างหากที่สำคัญ เพราะคู่กรณีของนายกุหลาบไม่ได้อยู่ในสถานที่ปกป้องตนเองได้
ก่อนอื่น ประเด็นใหม่ที่นายกุหลาบถูกมองว่าเป็น “ไพร่” โดยแฟนพันธุ์แท้นั้นเป็นการหลงประเด็น การอุปโลกน์ว่า “นายกุหลาบเป็นไพร่ จึงผิดแหงๆ” นั้นเป็นการปรักปรำโดยปริยาย ในสมัยที่ไพร่ถูกมองว่าเป็นชนชั้น (ใหม่) ที่ควรได้รับการยอมรับอีกครั้งในปี พ.ศ. ๒๕๕๓-๕๔ และถูกนำมาเชื่อมโยงกับการเมืองของชนชั้นรากหญ้าในปัจจุบัน ที่เรียกตัวเองว่าไพร่โดยไม่จำเป็นก็เพื่อให้เห็นว่านายกุหลาบอยู่คนละขั้วกับอำมาตย์ ทั้งที่สถานะนี้ถูกยกเลิกไปนานแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕
กุหลาบไม่ใช่ไพร่ แต่เป็นนักวิชาการนอกรีต
ทว่า ในความเป็นจริงแล้วนายกุหลาบไม่ใช่ไพร่ เขาเป็นลูกผู้ดี เป็นคนมีการศึกษา พูดภาษาอังกฤษได้ และเป็นคนมีรากฐานมาจากครอบครัวอำมาตย์ จึงคบค้ากับชาวต่างชาติซึ่งเป็นชาวไฮโซในสังคมชั้นสูงของคนมีระดับในกรุงเทพฯ ดังเช่นที่ได้รับการยืนยันว่านายกุหลาบมีลูกค้า เช่น นายเยรินี และบรรดาฝรั่งในยุคนั้นที่ไหว้วานให้นายกุหลาบกว้านซื้อหนังสือเก่าเพื่อจัดหาส่งออกไปไว้ตามห้องสมุดในต่างประเทศ ผ่านเครือข่ายของนายกุหลาบ ซึ่งมีทั้งพระ พราหมณ์ และข้าราชการทุกระดับชั้น
นายกุหลาบจึงมีภาพลักษณ์ที่ห่างไกลจากชนชั้นไพร่แบบลิบลับ เขามีพื้นเพมาจากครอบครัวขุนนางชั้นอำมาตย์มาแต่ครั้งบรรพบุรุษ โดยต้นตระกูลของเขามีนามว่า พระทุกขราษฎร์ มีตำแหน่งเป็นกรมการเมืองนครราชสีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา พระทุกขราษฎร์มีลูกหลานต่อมาลงมาถึงนางตรุศ ซึ่งเป็นชั้นที่ ๕ นางตรุศได้แต่งงานกับนายเสง มีบุตรคนสุดท้องชื่อนายกุหลาบ
เมื่อท่านตรุศมารดาคลอดแล้วจึงได้พาทารกกุหลาบลงเรือชะล่ากลับไปยังบ้านของตน มีบ่าวไพร่พายเรือติดตามมาหลายลำ แต่ยังไม่ทันจะถึงบ้านก็มีนกแร้งตัวหนึ่งบินโผลงมาเกาะที่กราบเรือตรงที่วางเบาะทารกนั้น แร้งนั้นก้มหัวลงมาดมที่ทารกแล้วก็ผละบินออกไปจากเรือ ทั้งมารดาและญาติมิตรพากันตกตะลึงทำอะไรไม่ถูกตามๆ กัน
เหตุการณ์นี้เป็นที่รู้กันในหมู่ญาติใกล้ชิด โดยเฉพาะญาติผู้ใหญ่ต่างพากันลงความเห็นว่าทารกนั้นเป็นบุตรอุบาทว์ ซึ่งบิดามารดาจะเลี้ยงดูไว้ไม่ได้ เว้นเสียแต่ท่านผู้มีบุญบารมีและมีบรรดาศักดิ์สูงเท่านั้นจึงจะเลี้ยงได้
และนี่คือต้นเหตุที่นายกุหลาบจะได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตอยู่ในรั้วในวังเหตุเพราะเป็นบุตรอุบาทว์ คนธรรมดาจะเลี้ยงไว้ก็จะเป็นกาลกิณี จึงถูกส่งเข้าไปถวายตัวอยู่ในอุปการะของพระราชธิดาของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินในเวลาต่อมา
พระราชธิดาในรัชกาลที่ ๓ ที่ทรงรับเลี้ยงนายกุหลาบ มีพระนามว่าพระองค์เจ้ากินรี ประทานพระเมตตากรุณาแก่นายกุหลาบอย่างหาที่เปรียบมิได้ เริ่มตั้งแต่ทรงสั่งสอนให้อ่านเขียนจนนายกุหลาบมีอายุได้ ๑๑ ปี จึงมีรับสั่งให้เจ้าพนักงานนำไปถวายตัวเป็นมหาดเล็กไล่กาในรัชกาลที่ ๓
นายกุหลาบได้รับการอบรมสั่งสอนเฉกเช่นลูกขุนนางทั่วไป ได้เรียนหนังสือบาลี สันสกฤต และขอม กับพระราชมุนี (เอี่ยม) แล้วจึงได้บรรพชาเป็นสามเณร ได้รับพระราชทานนามว่าสามเณรเกศะโร (ต่อมาใช้เป็นอักษรย่อนำหน้าชื่อว่า ก.ศ.ร.กุหลาบ - ผู้เขียน)
ต่อมานายกุหลาบก็หันมาเอาดีทางโลกโดยสึกออกมาพักอาศัยที่ตำหนักหม่อมเจ้าหญิงน้อยหน่า บริเวณป้อมพระสุเมรุ บางลำพู แต่พระองค์เจ้ากินรีผู้ทรงชุบเลี้ยงนายกุหลาบดั่งบุตรบุญธรรมก็ยังประทานข้าวของและอุปการะนายกุหลาบมาโดยตลอด นายกุหลาบเคยทำบัญชีให้เห็นของมีค่าที่ได้รับประทานมามีเพชรพลอย ทอง นาค เงิน และของแปลกๆ เช่น หีบเสียงของฝรั่ง เป็นต้น
พระเมตตาของพระองค์เจ้ากินรีดำเนินต่อมา แม้เมื่อนายกุหลาบออกเรือนแล้ว ในปี พ.ศ. ๒๔๐๒ เมื่อนายกุหลาบอายุ ๒๕ ปี ก็ประทานเงินซื้อบ้าน เรือกสวนไร่นา และจัดหาผู้ใหญ่ไปสู่ขอสตรีชื่อหุ่นมาเป็นภรรยา หุ่นเป็นลูกพระพี่เลี้ยงของพระองค์เจ้ากินรีเอง และยังดูเหมือนว่าเจ้านายฝ่ายในมีพระเมตตานายกุหลาบเหมือนลูกหลานแท้ๆ โดยเมื่อนายกุหลาบมีลูกสาวคนแรก พระองค์เจ้ากินรีก็โปรดส่งคนเฝ้าทารกถึง ๓ คนมาเลี้ยงดู ทรงเย็บมุ้งและเบาะประทาน ทรงทำบายศรีเอง และทรงทำขวัญทารกน้อยเป็นทองคำถึง ๕ ตำลึง
หลังสึกจากพระแล้ว นายกุหลาบก็เข้ารับราชการเป็นสมุห์บัญชีในพระองค์เจ้าหญิงกินรีระยะหนึ่ง จากนั้นจึงไปเป็นเสมียนอยู่กับโรงสีไฟของฝรั่งถึง ๕ แห่ง ในจำนวนนี้มีห้างฝรั่งที่เก่าแก่และดังที่สุดของรัตนโกสินทร์ ชื่อห้างมากัว (A. Markwald Co., Ltd) จนคนเรียกติดปากว่า “เสมียนกุหลาบ” การประกอบอาชีพเป็นลูกจ้างฝรั่งนานถึง ๒๕ ปี ได้พลิกผันชีวิตของนายกุหลาบสู่โลกกว้าง เขามีโอกาสได้เดินทางไปต่างประเทศ เช่น อินเดีย จีน ญวน มลายู และชวา บางตำราว่าได้ไปถึงอังกฤษและทวีปยุโรป ส่งเสริมให้นายกุหลาบมีรสนิยมไปในทางฝรั่งตะวันตก เช่น นั่งโต๊ะยาวรับประทานอาหาร ชอบจัดเลี้ยงเพื่อนฝูงตามแบบตะวันตก รวมไปถึงการชอบคบค้าสมาคมกับชาวตะวันตก
การที่นายกุหลาบคลุกคลีกับฝรั่งนานหลายทศวรรษ เขาจึงเข้าสังคมกับพวกฝรั่งได้ดีและสามารถพูดภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสได้คล่องแคล่ว แถมยังโชคดีได้ครูฝรั่งบาทหลวงคนเดียวกันกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ คือ บาทหลวงปาลเลอกัวซ์ เขาจึงไม่ใช่ชาวบ้านชั้นธรรมดาอย่างแน่นอน แต่มีชีวิตอยู่ในแวดวงชนชั้นอำมาตย์มาตลอด
ดังนั้น หากมีผู้เข้าใจผิดโดยเขียนบรรยายว่าเมื่อนายกุหลาบหาญกล้าดัดแปลงประวัติศาสตร์ของโบราณ เป็นความผิดเพราะเขาเป็นไพร่ แต่กลับอวดรู้ในสิ่งที่เขาไม่สมควรจะรู้ อวดรู้ในเรื่องที่เป็นสมบัติของชนชั้นอำมาตย์ จึงถูกดูแคลนจากวงวิชาการอำมาตย์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๓ และปี พ.ศ. ๒๔๔๙ จึงเป็นการหลงประเด็น “ประการแรก” และเป็นการประเมินภาพลักษณ์ของนายกุหลาบต่ำกว่าความจริง
ถ้าจะอธิบายคุณสมบัติส่วนตัวของนายกุหลาบ ก็พอจะอนุมานได้ว่าเขาเป็นนักวิชาการนอกรีต ที่อวดรู้ อวดเก่ง และเย่อหยิ่งในความรอบรู้ของตนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประวัติของพระราชวงศ์ต่างๆ ในอดีตอย่างหาตัวจับยาก แต่มีความคิดฟุ้งซ่านที่จะขยายความตามเบาะแสที่ตนรู้มาอย่างไม่มีขอบเขตโดยใช้ชั้นเชิงทางวิชาชีพและช่องทางที่ตนมีอยู่ ได้แก่ หนังสือพิมพ์และใบปลิวโฆษณาต่างๆ ที่เอกชนทั่วไปไม่มีในยุคนั้น
กุหลาบทำอะไรไว้จึงกลายเป็นคนผิด
เมื่อตัดปัจจัยด้านชนชั้นออกไป คดีของนายกุหลาบก็เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวกับการสบประมาท การใส่ร้ายป้ายสีและการให้ข้อมูลเป็นเท็จกับเอกสารของทางการ ที่สำคัญคือการจาบจ้วงเบื้องสูง อีกทั้งลบหลู่สมเด็จพระสังฆราชด้วยวาจาและบทประพันธ์ ละเมิดลิขสิทธิ์หนังสือของทางราชการ กระทำการโดยพลการโดยขาดการใคร่ครวญไตร่ตรอง ให้เป็นที่เสื่อมเสียต่อบุคคลและสถาบัน ผิดต่อศีลธรรมจรรยา และสามัญสำนึกของปัญญาชนที่น่านับถือในสังคมในฐานะที่เขาเป็นบุคคลสาธารณะคนหนึ่ง
ความเป็นผู้สันทัดกรณีและมีประสบการณ์ในแวดวงวิชาการ ทั้งยังเคยเข้านอกออกในกับราชสำนักฝ่ายหน้าฝ่ายในมานานส่งเสริมให้นายกุหลาบรู้จักมักคุ้นกับปัญญาชนชั้นอำมาตย์เป็นอย่างดี สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงยืนยันเรื่องนี้ไว้ว่า
“สมัยนั้น (ดูเหมือนในปีชวด พ.ศ. ๒๔๑๙) เมื่อสร้างพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท กรมหลวงบดินทร์ไพศาลโสภณยังดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นอักษรสารโสภณ ทรงบัญชาการกรมอาลักษณ์ดูแลรักษาหนังสือหอหลวง หาที่เก็บหนังสือหอหลวงไม่ได้จึงให้ขนเอาไปรักษาที่วังของท่าน
พอปี พ.ศ. ๒๔๒๔ มีงานฉลองอายุพระนครครบ ๑๐๐ ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ดำรัสชวนพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการตลอดจนคหบดีที่มีใจจะช่วย ให้จัดของต่างๆ อันควรอวดควรรู้และความคิดมาตั้งให้คนดู กรมหลวงบดินทร์ฯ ทรงรับอาสาแสดงหนังสือไทยฉบับเขียน เอาสมุดในหอหลวงที่มีมาแต่โบราณมาตั้งอวดห้องหนึ่ง นาย ก.ศ.ร. กุหลาบรับอาสาแสดงหนังสือไทยสมัยเมื่อแรกพิมพ์ห้องหนึ่งอยู่ติดกับห้องกรมหลวงบดินทร์ฯ ฉันเคยไปดูทั้ง ๒ ห้องและเริ่มรู้จักตัวนายกุหลาบเมื่อครั้งนั้น
นายกุหลาบมีโอกาสเข้าไปดูหนังสือหอหลวงมีเรื่องโบราณคดีต่างๆ ที่ตัวไม่เคยรู้อยู่เป็นอันมากก็ติดใจอยากได้สำเนาไปไว้เป็นของตนเอง จึงตั้งหน้าตั้งตาประจบประแจงกรมหลวงบดินทร์ฯ ตั้งแต่ที่ท้องสนามหลวงจนเลิกงานแล้ว ก็ยังตามไปเฝ้าแหนที่วังต่อมา จนกรมหลวงบดินทร์ฯ ทรงพระเมตตา นายกุหลาบทูลขอคัดสำเนาหนังสือหอหลวงบางเรื่อง แต่กรมหลวงบดินทร์ฯ ไม่ประทานอนุญาต ตรัสว่าหนังสือหอหลวงเป็นของต้องห้ามมิให้ใครคัดลอก นายกุหลาบจนใจจึงคิดทำกลอุบายทูลขออนุญาตเพียงขอยืมไปอ่านแต่ครั้งละเล่ม และสัญญาว่าพออ่านแล้วจะรีบส่งคืนในวันรุ่งขึ้น กรมหลวงบดินทร์ฯ ไม่ทรงระแวงก็ประทานอนุญาต นายกุหลาบจึงไปว่าจ้างนายทหารมหาดเล็กที่รู้หนังสือเตรียมไว้สองสามคน สมัยนั้นฉันเป็นผู้บังคับการกรมทหารมหาดเล็ก รู้จักตัวผู้ที่รับจ้างนายกุหลาบคนหนึ่งชื่อนายเมธ
ตามคำพวกทหารมหาดเล็กที่รับจ้างมาเล่าว่าเอาเสื่อผืนยาวปูที่ในพระระเบี
ธงชัยVSไกรฤกษ์กับกรณีกุหลาบฯ เมื่อประวัติศาสตร์แบบชาตินิยมกำลังหมดเวลาเสวยสุขบนความไม่รู้ของคนไทย??
อีกด้านหนึ่งของ "ก.ศ.ร.กุหลาบ" ในมุมมองของราชสำนัก
โดย ไกรฤกษ์ นานา นักวิชาการทางประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์มีมุมมองได้ ๒ ด้านเสมอ ถ้ามีด้านบวกก็ต้องมีด้านลบ ถ้ามีผู้แพ้ก็ต้องมีผู้ชนะ และถ้ามีคนถูกก็ต้องมีคนผิด บางทีอาจมีมากกว่า ๒ ด้านด้วยซ้ำ คือไม่ใช่ทั้งถูกและผิด ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองประวัติศาสตร์จากแง่มุมไหน บางครั้งคนมักจะพูดว่าผู้ชนะคือผู้เขียนประวัติศาสตร์ แต่ถ้าเรามองประวัติศาสตร์จากมุมมองของผู้แพ้บ้าง ก็จะเห็นสิ่งที่ปิดบังซ่อนเร้นอยู่ก็ได้ ในกรณีของคนดังจากอดีต เช่นก.ศ.ร.กุหลาบ นั้นมีทั้งด้านบวกและลบให้พิจารณา ขึ้นอยู่กับว่าเราจะให้น้ำหนักด้านไหนมากกว่ากัน
ผมมีโอกาสอ่านบทความจากปก (Cover Story) เกี่ยวกับเรื่องราวของ ก.ศ.ร.กุหลาบ ในวารสารอ่าน ฉบับเดือนมกราคม-มีนาคม ๒๕๕๔ อ่านจบเดียวไม่พอต้องอ่าน ๒ จบ จะได้เข้าใจความคิดเห็นของท่านผู้เขียนที่ตีแผ่ได้ละเอียดลออ แสดงถึงการค้นคว้าข้อมูลมาเป็นอย่างดี ด้วยความเคารพในทัศนะต่างๆ ที่ท่านนำเสนอ
เมื่ออ่านจบก็รู้ถึงความศรัทธาของผู้เขียนที่เชื่อว่านายกุหลาบถูกปรักปรำให้ตกเป็นจำเลยของสังคมโดยไม่เป็นธรรม ในยุคที่ประชาชนเดินดินไม่มีสิทธิ์มีเสียงในการ
วิพากษ์วิจารณ์ประวัติศาสตร์ ซึ่งเขียนขึ้นโดยชนชั้นศักดินาเป็นส่วนใหญ่ งานเขียนของนายกุหลาบจึงมีแนวโน้มจะปฏิวัติแนวคิดของศักดินาโดยปริยาย ด้วยเหตุนี้ทัศนะของประชาชนระดับรากหญ้าด้วยกันจึงเห็นสมควรให้น้ำหนักความชอบธรรมต่อการกระทำของนายกุหลาบว่าไม่ควรได้รับโทษใดๆ
แต่นั่นก็เป็นเพียงมุมมองด้านเดียวเท่านั้น ในมุมมองอีกด้านหนึ่ง พฤติกรรมชอบกลของนายกุหลาบยังไม่ได้รับการชี้แจงว่าเขาได้ทำความผิดอะไรในสายตาของสังคมในสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงถูกปรามาสว่ากระทำเกินกว่าเหตุจากคณะตุลาการที่ทางการตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาความผิดของเขาโดยเฉพาะประธานคณะตุลาการเป็นพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ที่คนในสังคมให้ความเคารพนับถืออย่างมาก ท้ายที่สุดคำตัดสินก็ได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าอยู่หัว ผู้เป็นที่รักใคร่ของพสกนิกรชั้นรากหญ้าทั่วทั้งแผ่นดินในเวลานั้น ซึ่งก็มิได้มีคนชั้นรากหญ้าคนใดทัดทานหรือตั้งข้อสังเกตว่าเขาถูกปรักปรำจนเกินไปในสมัยนั้น
อนึ่ง คดีของนายกุหลาบเป็นคดีที่โด่งดังมากในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ สมัยรัชกาลที่ ๕ โน่น เพราะบทความที่เขาเขียนขึ้นกระทบกระเทือนสถาบันเบื้องสูง เป็นเหตุให้รัชกาลที่ ๕ ทรงกริ้วและโปรดให้มีการไต่สวนเพื่อพิจารณาโทษ ซึ่งคดีนี้ก็หมดอายุความไปแล้วถึง ๑๑๑ ปี นับถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๔ นี้ แต่ก็ยังอุตส่าห์มีคนในสมัยปัจจุบันที่คิดว่าเขาไม่สมควรได้รับโทษทัณฑ์ใดๆ ทั้งสิ้น และต้องการรื้อฟื้นคดีนี้ขึ้นมาอีก
ผมจึงเห็นความจำเป็นต้องนำข้อมูลการไต่สวนของทางการที่ไม่ได้ถูกกล่าวถึงในบทความนั้นมาเปิดเผยอีกครั้งเพื่อให้เห็นมุมมองอีกด้านหนึ่งที่ถูกปิดบังไว้
การที่คนสมัยปัจจุบันเขียนวิจารณ์ในทำนองให้ท้ายนายกุหลาบว่าเขาถูกกล่าวหาโดยไม่เป็นธรรม อาจสร้างความสับสนให้เข้าใจผิดว่าเขาถูกกล่าวหาโดยไม่มีมูลความจริง ดังนั้นควรที่เราจะกลับมาพินิจพิจารณาใหม่ เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่อีกฝ่ายหนึ่งด้วย ตรงนี้ต่างหากที่สำคัญ เพราะคู่กรณีของนายกุหลาบไม่ได้อยู่ในสถานที่ปกป้องตนเองได้
ก่อนอื่น ประเด็นใหม่ที่นายกุหลาบถูกมองว่าเป็น “ไพร่” โดยแฟนพันธุ์แท้นั้นเป็นการหลงประเด็น การอุปโลกน์ว่า “นายกุหลาบเป็นไพร่ จึงผิดแหงๆ” นั้นเป็นการปรักปรำโดยปริยาย ในสมัยที่ไพร่ถูกมองว่าเป็นชนชั้น (ใหม่) ที่ควรได้รับการยอมรับอีกครั้งในปี พ.ศ. ๒๕๕๓-๕๔ และถูกนำมาเชื่อมโยงกับการเมืองของชนชั้นรากหญ้าในปัจจุบัน ที่เรียกตัวเองว่าไพร่โดยไม่จำเป็นก็เพื่อให้เห็นว่านายกุหลาบอยู่คนละขั้วกับอำมาตย์ ทั้งที่สถานะนี้ถูกยกเลิกไปนานแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕
กุหลาบไม่ใช่ไพร่ แต่เป็นนักวิชาการนอกรีต
ทว่า ในความเป็นจริงแล้วนายกุหลาบไม่ใช่ไพร่ เขาเป็นลูกผู้ดี เป็นคนมีการศึกษา พูดภาษาอังกฤษได้ และเป็นคนมีรากฐานมาจากครอบครัวอำมาตย์ จึงคบค้ากับชาวต่างชาติซึ่งเป็นชาวไฮโซในสังคมชั้นสูงของคนมีระดับในกรุงเทพฯ ดังเช่นที่ได้รับการยืนยันว่านายกุหลาบมีลูกค้า เช่น นายเยรินี และบรรดาฝรั่งในยุคนั้นที่ไหว้วานให้นายกุหลาบกว้านซื้อหนังสือเก่าเพื่อจัดหาส่งออกไปไว้ตามห้องสมุดในต่างประเทศ ผ่านเครือข่ายของนายกุหลาบ ซึ่งมีทั้งพระ พราหมณ์ และข้าราชการทุกระดับชั้น
นายกุหลาบจึงมีภาพลักษณ์ที่ห่างไกลจากชนชั้นไพร่แบบลิบลับ เขามีพื้นเพมาจากครอบครัวขุนนางชั้นอำมาตย์มาแต่ครั้งบรรพบุรุษ โดยต้นตระกูลของเขามีนามว่า พระทุกขราษฎร์ มีตำแหน่งเป็นกรมการเมืองนครราชสีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา พระทุกขราษฎร์มีลูกหลานต่อมาลงมาถึงนางตรุศ ซึ่งเป็นชั้นที่ ๕ นางตรุศได้แต่งงานกับนายเสง มีบุตรคนสุดท้องชื่อนายกุหลาบ
เมื่อท่านตรุศมารดาคลอดแล้วจึงได้พาทารกกุหลาบลงเรือชะล่ากลับไปยังบ้านของตน มีบ่าวไพร่พายเรือติดตามมาหลายลำ แต่ยังไม่ทันจะถึงบ้านก็มีนกแร้งตัวหนึ่งบินโผลงมาเกาะที่กราบเรือตรงที่วางเบาะทารกนั้น แร้งนั้นก้มหัวลงมาดมที่ทารกแล้วก็ผละบินออกไปจากเรือ ทั้งมารดาและญาติมิตรพากันตกตะลึงทำอะไรไม่ถูกตามๆ กัน
เหตุการณ์นี้เป็นที่รู้กันในหมู่ญาติใกล้ชิด โดยเฉพาะญาติผู้ใหญ่ต่างพากันลงความเห็นว่าทารกนั้นเป็นบุตรอุบาทว์ ซึ่งบิดามารดาจะเลี้ยงดูไว้ไม่ได้ เว้นเสียแต่ท่านผู้มีบุญบารมีและมีบรรดาศักดิ์สูงเท่านั้นจึงจะเลี้ยงได้
และนี่คือต้นเหตุที่นายกุหลาบจะได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตอยู่ในรั้วในวังเหตุเพราะเป็นบุตรอุบาทว์ คนธรรมดาจะเลี้ยงไว้ก็จะเป็นกาลกิณี จึงถูกส่งเข้าไปถวายตัวอยู่ในอุปการะของพระราชธิดาของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินในเวลาต่อมา
พระราชธิดาในรัชกาลที่ ๓ ที่ทรงรับเลี้ยงนายกุหลาบ มีพระนามว่าพระองค์เจ้ากินรี ประทานพระเมตตากรุณาแก่นายกุหลาบอย่างหาที่เปรียบมิได้ เริ่มตั้งแต่ทรงสั่งสอนให้อ่านเขียนจนนายกุหลาบมีอายุได้ ๑๑ ปี จึงมีรับสั่งให้เจ้าพนักงานนำไปถวายตัวเป็นมหาดเล็กไล่กาในรัชกาลที่ ๓
นายกุหลาบได้รับการอบรมสั่งสอนเฉกเช่นลูกขุนนางทั่วไป ได้เรียนหนังสือบาลี สันสกฤต และขอม กับพระราชมุนี (เอี่ยม) แล้วจึงได้บรรพชาเป็นสามเณร ได้รับพระราชทานนามว่าสามเณรเกศะโร (ต่อมาใช้เป็นอักษรย่อนำหน้าชื่อว่า ก.ศ.ร.กุหลาบ - ผู้เขียน)
ต่อมานายกุหลาบก็หันมาเอาดีทางโลกโดยสึกออกมาพักอาศัยที่ตำหนักหม่อมเจ้าหญิงน้อยหน่า บริเวณป้อมพระสุเมรุ บางลำพู แต่พระองค์เจ้ากินรีผู้ทรงชุบเลี้ยงนายกุหลาบดั่งบุตรบุญธรรมก็ยังประทานข้าวของและอุปการะนายกุหลาบมาโดยตลอด นายกุหลาบเคยทำบัญชีให้เห็นของมีค่าที่ได้รับประทานมามีเพชรพลอย ทอง นาค เงิน และของแปลกๆ เช่น หีบเสียงของฝรั่ง เป็นต้น
พระเมตตาของพระองค์เจ้ากินรีดำเนินต่อมา แม้เมื่อนายกุหลาบออกเรือนแล้ว ในปี พ.ศ. ๒๔๐๒ เมื่อนายกุหลาบอายุ ๒๕ ปี ก็ประทานเงินซื้อบ้าน เรือกสวนไร่นา และจัดหาผู้ใหญ่ไปสู่ขอสตรีชื่อหุ่นมาเป็นภรรยา หุ่นเป็นลูกพระพี่เลี้ยงของพระองค์เจ้ากินรีเอง และยังดูเหมือนว่าเจ้านายฝ่ายในมีพระเมตตานายกุหลาบเหมือนลูกหลานแท้ๆ โดยเมื่อนายกุหลาบมีลูกสาวคนแรก พระองค์เจ้ากินรีก็โปรดส่งคนเฝ้าทารกถึง ๓ คนมาเลี้ยงดู ทรงเย็บมุ้งและเบาะประทาน ทรงทำบายศรีเอง และทรงทำขวัญทารกน้อยเป็นทองคำถึง ๕ ตำลึง
หลังสึกจากพระแล้ว นายกุหลาบก็เข้ารับราชการเป็นสมุห์บัญชีในพระองค์เจ้าหญิงกินรีระยะหนึ่ง จากนั้นจึงไปเป็นเสมียนอยู่กับโรงสีไฟของฝรั่งถึง ๕ แห่ง ในจำนวนนี้มีห้างฝรั่งที่เก่าแก่และดังที่สุดของรัตนโกสินทร์ ชื่อห้างมากัว (A. Markwald Co., Ltd) จนคนเรียกติดปากว่า “เสมียนกุหลาบ” การประกอบอาชีพเป็นลูกจ้างฝรั่งนานถึง ๒๕ ปี ได้พลิกผันชีวิตของนายกุหลาบสู่โลกกว้าง เขามีโอกาสได้เดินทางไปต่างประเทศ เช่น อินเดีย จีน ญวน มลายู และชวา บางตำราว่าได้ไปถึงอังกฤษและทวีปยุโรป ส่งเสริมให้นายกุหลาบมีรสนิยมไปในทางฝรั่งตะวันตก เช่น นั่งโต๊ะยาวรับประทานอาหาร ชอบจัดเลี้ยงเพื่อนฝูงตามแบบตะวันตก รวมไปถึงการชอบคบค้าสมาคมกับชาวตะวันตก
การที่นายกุหลาบคลุกคลีกับฝรั่งนานหลายทศวรรษ เขาจึงเข้าสังคมกับพวกฝรั่งได้ดีและสามารถพูดภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสได้คล่องแคล่ว แถมยังโชคดีได้ครูฝรั่งบาทหลวงคนเดียวกันกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ คือ บาทหลวงปาลเลอกัวซ์ เขาจึงไม่ใช่ชาวบ้านชั้นธรรมดาอย่างแน่นอน แต่มีชีวิตอยู่ในแวดวงชนชั้นอำมาตย์มาตลอด
ดังนั้น หากมีผู้เข้าใจผิดโดยเขียนบรรยายว่าเมื่อนายกุหลาบหาญกล้าดัดแปลงประวัติศาสตร์ของโบราณ เป็นความผิดเพราะเขาเป็นไพร่ แต่กลับอวดรู้ในสิ่งที่เขาไม่สมควรจะรู้ อวดรู้ในเรื่องที่เป็นสมบัติของชนชั้นอำมาตย์ จึงถูกดูแคลนจากวงวิชาการอำมาตย์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๓ และปี พ.ศ. ๒๔๔๙ จึงเป็นการหลงประเด็น “ประการแรก” และเป็นการประเมินภาพลักษณ์ของนายกุหลาบต่ำกว่าความจริง
ถ้าจะอธิบายคุณสมบัติส่วนตัวของนายกุหลาบ ก็พอจะอนุมานได้ว่าเขาเป็นนักวิชาการนอกรีต ที่อวดรู้ อวดเก่ง และเย่อหยิ่งในความรอบรู้ของตนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประวัติของพระราชวงศ์ต่างๆ ในอดีตอย่างหาตัวจับยาก แต่มีความคิดฟุ้งซ่านที่จะขยายความตามเบาะแสที่ตนรู้มาอย่างไม่มีขอบเขตโดยใช้ชั้นเชิงทางวิชาชีพและช่องทางที่ตนมีอยู่ ได้แก่ หนังสือพิมพ์และใบปลิวโฆษณาต่างๆ ที่เอกชนทั่วไปไม่มีในยุคนั้น
กุหลาบทำอะไรไว้จึงกลายเป็นคนผิด
เมื่อตัดปัจจัยด้านชนชั้นออกไป คดีของนายกุหลาบก็เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวกับการสบประมาท การใส่ร้ายป้ายสีและการให้ข้อมูลเป็นเท็จกับเอกสารของทางการ ที่สำคัญคือการจาบจ้วงเบื้องสูง อีกทั้งลบหลู่สมเด็จพระสังฆราชด้วยวาจาและบทประพันธ์ ละเมิดลิขสิทธิ์หนังสือของทางราชการ กระทำการโดยพลการโดยขาดการใคร่ครวญไตร่ตรอง ให้เป็นที่เสื่อมเสียต่อบุคคลและสถาบัน ผิดต่อศีลธรรมจรรยา และสามัญสำนึกของปัญญาชนที่น่านับถือในสังคมในฐานะที่เขาเป็นบุคคลสาธารณะคนหนึ่ง
ความเป็นผู้สันทัดกรณีและมีประสบการณ์ในแวดวงวิชาการ ทั้งยังเคยเข้านอกออกในกับราชสำนักฝ่ายหน้าฝ่ายในมานานส่งเสริมให้นายกุหลาบรู้จักมักคุ้นกับปัญญาชนชั้นอำมาตย์เป็นอย่างดี สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงยืนยันเรื่องนี้ไว้ว่า
“สมัยนั้น (ดูเหมือนในปีชวด พ.ศ. ๒๔๑๙) เมื่อสร้างพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท กรมหลวงบดินทร์ไพศาลโสภณยังดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นอักษรสารโสภณ ทรงบัญชาการกรมอาลักษณ์ดูแลรักษาหนังสือหอหลวง หาที่เก็บหนังสือหอหลวงไม่ได้จึงให้ขนเอาไปรักษาที่วังของท่าน
พอปี พ.ศ. ๒๔๒๔ มีงานฉลองอายุพระนครครบ ๑๐๐ ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ดำรัสชวนพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการตลอดจนคหบดีที่มีใจจะช่วย ให้จัดของต่างๆ อันควรอวดควรรู้และความคิดมาตั้งให้คนดู กรมหลวงบดินทร์ฯ ทรงรับอาสาแสดงหนังสือไทยฉบับเขียน เอาสมุดในหอหลวงที่มีมาแต่โบราณมาตั้งอวดห้องหนึ่ง นาย ก.ศ.ร. กุหลาบรับอาสาแสดงหนังสือไทยสมัยเมื่อแรกพิมพ์ห้องหนึ่งอยู่ติดกับห้องกรมหลวงบดินทร์ฯ ฉันเคยไปดูทั้ง ๒ ห้องและเริ่มรู้จักตัวนายกุหลาบเมื่อครั้งนั้น
นายกุหลาบมีโอกาสเข้าไปดูหนังสือหอหลวงมีเรื่องโบราณคดีต่างๆ ที่ตัวไม่เคยรู้อยู่เป็นอันมากก็ติดใจอยากได้สำเนาไปไว้เป็นของตนเอง จึงตั้งหน้าตั้งตาประจบประแจงกรมหลวงบดินทร์ฯ ตั้งแต่ที่ท้องสนามหลวงจนเลิกงานแล้ว ก็ยังตามไปเฝ้าแหนที่วังต่อมา จนกรมหลวงบดินทร์ฯ ทรงพระเมตตา นายกุหลาบทูลขอคัดสำเนาหนังสือหอหลวงบางเรื่อง แต่กรมหลวงบดินทร์ฯ ไม่ประทานอนุญาต ตรัสว่าหนังสือหอหลวงเป็นของต้องห้ามมิให้ใครคัดลอก นายกุหลาบจนใจจึงคิดทำกลอุบายทูลขออนุญาตเพียงขอยืมไปอ่านแต่ครั้งละเล่ม และสัญญาว่าพออ่านแล้วจะรีบส่งคืนในวันรุ่งขึ้น กรมหลวงบดินทร์ฯ ไม่ทรงระแวงก็ประทานอนุญาต นายกุหลาบจึงไปว่าจ้างนายทหารมหาดเล็กที่รู้หนังสือเตรียมไว้สองสามคน สมัยนั้นฉันเป็นผู้บังคับการกรมทหารมหาดเล็ก รู้จักตัวผู้ที่รับจ้างนายกุหลาบคนหนึ่งชื่อนายเมธ
ตามคำพวกทหารมหาดเล็กที่รับจ้างมาเล่าว่าเอาเสื่อผืนยาวปูที่ในพระระเบี