กระทู้นี้จะขอรวบรวมคำถาม -คำตอบและแลกเปลี่ยนความรู้ที่เกี่ยวข้องกับโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา และเรียนเชิญท่านผู้รู้ทุกท่านร่วมกันแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์นะคะ กระทู้นี้เป็นกระทู้แรก หากผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
1.โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาคืออะไร
ตอบ โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา เป็นโรคที่มักจะรุนแรงถึงชีวิตซึ่งมีอัตราป่วยตายสูงถึงร้อยละ 90 โรคนี้พบทั้งในคนและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกลุ่มอื่นที่ไม่ใช่คน (nonhuman primates เช่น ลิง กอริลลาและชิมแพนซี) โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2519 ในการระบาดที่เกิดขึ้นสองแห่งพร้อมกันแห่งหนึ่งเกิดขึ้นที่หมู่บ้านริมแม่น้ําอีโบลาในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก อีกแห่งหนึ่งเกิดที่เขตชนบทห่างไกลในประเทศซูดาน ไวรัสชนิดนี้มาจากไหนยังไม่ทราบ แต่จากหลักฐาน เท่าที่มีเชื่อว่าค้างคาวผลไม้ (Pteropodidae) น่าจะเป็นที่อาศัย (host) ของไวรัสอีโบลา
ภาพจาก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ http://www.news10.net/story/news/local/2014/08/19/kaiser-ebola-patient/14316293/
2.มนุษย์ติดเชื้อไวรัสอีโบลาได้อย่างไร
ตอบ
2.1 จากสัตว์สู่คน การสัมผัสใกล้ชิด กับเลือด สิ่งคัดหลั่ง อวัยวะ สารน้าต่างๆจากร่างกาย หรือสัมผัสกับสัตว์ที่ติดเชื้อในแอฟริกา มีรายงานการติดเชื้อจากการสัมผัสกับสัตว์ได้แก่ ชิมแพนซี กอริลล่า ค้างคาวกินผลไม้ ลิง สัตว์ประเภทเก้งกวาง และ เม่น ที่เจ็บหรือตายอยู่ในป่า
2.2 จากคนสู่คน การติดเชื้อเกิดจากการสัมผัสโดยตรงกับเลือดหรือสารเหลวในร่างกาย หรือสารคัดหลั่ง (อุจจาระปัสสาวะ น้ําลาย น้ําอสุจิ) ของคนที่ติดเชื้อ โดยสัมผัสกับบาดแผลที่ผิวหนัง หรือกับเยื่อบุอ่อนบริเวณต่างๆ การติดเชื้อยังเกิดขึ้นได้ด้วยถ้าผิวหนังที่มีบาดแผล หรือเยื่อบุอ่อนบริเวณต่างๆ ของคนที่สุขภาพดีมาสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมที่ปนเปื้อนด้วยสารเหลวที่มีเชื้อไวรัสจากผู้ป่วยโรคอีโบลา เช่น เสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อน ผ้าปูที่นอน หรือเข็มฉีดยาใช้แล้วนอกจากนี้ยังมีวิธีแพร่โรควิธีอื่นที่ได้เกิดขึ้นแล้วในชุมชนระหว่างพิธีศพ และการฝังศพด้วย เนื่องจากพบว่า ในพิธีฝังศพที่ผู้มาร่วมพิธีมีการสัมผัสแตะต้องร่างของผู้ตายโดยตรง ก็สามารถแพร่โรคอีโบลาได้เช่นกัน
เชื้ออีโบลาสามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานถึง 6 วัน
หมายเหตุ: ไวรัสอีโบลาไม่ได้ติดต่อผ่านทางเดินหายใจ แต่สามารถติดต่อได้จากการสัมผัสละอองฝอยไอจามของผู้ป่วยโดยตรง
ไวรัสอีโบลาไม่ได้มีพาหะนำโรคเป็นแมลง อย่าสับสนกับไข้เลือดออกนะคะ
3.ใครมีความเสี่ยงต่อการติดโรคมากที่สุด
ตอบ 1.บุคลากรสาธารณสุข
2. สมาชิกในครอบครัว หรือผู้อื่นที่สัมผัสคลุกคลีกับผู้ติดเชื้อ
3. ผู้มาร่วมพิธีศพที่ได้สัมผัสแตะต้องร่างของผู้ตายโดยตรง
และ ยังต้องมีการศึกษาวิจัยมากกว่านี้เพื่อทําความเข้าใจว่าคนบางกลุ่ม เช่นผู้มีความบกพร่องทางภูมิคุ้มกันหรือผู้ที่มีภาวะสุขภาพอื่น ๆ ประจําตัว จะติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้ง่ายกว่าคนกลุ่มอื่นหรือไม่
4.อาการของโรค และอาการที่ถึงการติดเชื้อ ได้แก่อะไร
ตอบ ไข้เฉียบพลัน อ่อนเพลียรุนแรง ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหัวและเจ็บคอ เหล่านี้เป็นอาการของโรค และอาการที่แสดงว่าติดเชื้อ หลังจากนั้น อาการที่เกิดตามมา ได้แก่อาเจียน อุจจาระร่วง ผื่นขึ้นตามร่างกาย ไตและตับทํางานบกพร่อง และในผู้ป่วยบางรายจะมีเลือดออกทั้งภายนอกและภายใน ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบมีปริมาณเม็ดเลือดขาวและเกร็ดเลือดต่ําแต่เอ็นไซม์ตับมีระดับสูงกว่าปกติ ระยะฟักตัวของโรค ซึ่งเป็นระยะเวลาตั้งแต่ได้รับเชื้อจนถึงเวลาที่แสดงอาการ ตั้งแต่ 2 ถึง 21 วัน
ผู้ป่วยจะเข้าสู่ระยะแพร่เชื้อในทันทีที่แสดงอาการ และแพร่เชื้อได้มากขึ้นหลังจากวันที่ 2 ที่แสดงอาการ ผู้ป่วยที่ยังอยู่ในระยะฟักตัวของโรคจะยังไม่แพร่เชื้อจนกว่าจะแสดงอาการ การยืนยันการติดเชื้อไวรัสอีโบลาทําได้โดยการทดสอบทางห้องปฏิบัติการเท่านั้น
อาการจะคล้ายกับโรค
-Malaria
-Typhoid fever
-Cholera
-Lassa (VHF)
ที่มา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เอกสารประกอบการอบรมการตรวจตัวอย่างผู้สงสัยติดเชื้อไวรัสอีโบลาทางห้องปฏิบัติการ http://www.dmsc.moph.go.th/dmsc/news_detail.php?cid=1&id=454
5.ควรจะเข้าพบแพทย์เมื่อใด
ตอบ ผู้ที่เคยอยู่อาศัยในพื้นที่ที่มีรายงานผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา หรือผู้ที่สัมผัสคลุกคลีกับผู้ป่วยยืนยันหรือต้องสงสัยว่าป่วยด้วยโรคอีโบลา หากเริ่มแสดงอาการแล้ว ควรจะเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาในทันที ในกรณีที่มีผู้ใดถูกตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะเป็นโรคนี้ควรเร่งส่งรายงานไปยังหน่วยสาธารณสุขที่ใกล้ที่สุดโดยทันที การให้บริการทางการแพทย์โดยเร็ว มีส่วนสําคัญยิ่งในการเพิ่มอัตราการรอดชีวิตจากโรคนี้ ที่สําคัญไม่แพ้กันคือ การควบคุมการแพร่ระบาดของโรคและกระบวนการควบคุมการติดเชื้อจําเป็นต้องเริ่มต้นในทันที
6. การรักษาโรคนี้ทําได้อย่างไร
ตอบ ผู้ป่วยที่มีอาการหนักจําเป็นต้องรักษาแบบ
ประคับประคองชนิดเข้มข้น ผู้ป่วยมักจะมีอาการขาดน้ําและจําเป็นต้องให้สารเหลวทางหลอดเลือดดํา หรือให้สารละลายเกลือแร่ทางปาก ในปัจจุบันนี้ยั
งไม่มียารักษาแบบจำเพาะให้หายจากโรคนี้ แต่มีรายงานการใช้
6.1 monoclonal antibody (ZMAPP)ที่ผลิตในใบยาสูบแล้ว ๓ ราย ในสหรัฐอเมริกา ๒ ราย และใน สเปนอีก ๑ ราย
6.2 ยาRibavirin เป็นยาต้านไวรัสชนิดหนึ่ง แต่ไม่ได้จำเพาะเจาะจงต่อเชื้ออีโบลา
6.3 convalescent plasma ของคนที่หายจากโรค แต่การรักษาเหล่านี้ยังไม่มีการยืนยันประสิทธิผลค่ะ
7.โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ป้องกันได้หรือไม่ มีวัคซีนป้องกันโรคหรือยัง
ตอบ ขณะนี้ยังไม่มียาหรือวัคซีนใดที่ผ่านการทดสอบจนได้รับอนุญาตให้ใช้สําหรับโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา แต่มีผลิตภัณฑ์หลายชนิดที่อยู่ระหว่างการวิจัยพัฒนา
การป้องกันการติดเชื้อและการแพร่โรค
7.1. ทำความเข้าใจเรื่องธรรมชาติของโรค วิธีแพร่โรคและวิธีหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรค
7.2. ติดตามรับฟังและปฏิบัติตามคําชี้แนะที่จัดทําโดยกระทรวงสาธารณสุข
สามารถติดตามข่าวสารได้จาก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://beid.ddc.moph.go.th/th_2011/news.php?g=1&items=1745
คำแนะนำวิธีปฏิบัติในการตรวจวิเคราะห์และจัดการสิ่งส่งตรวจจากผู้ป่วยสงสัยโรคติดเชื้ออีโบลา โดย : กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://beid.ddc.moph.go.th/th_2011/news.php?g=1&items=1770
7.3. หากท่านสงสัยว่ามีผู้ใดที่ใกล้ชิดกับท่านหรืออยู่ในชุมชนของท่านกําลังป่วยด้วยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาขอให้เชิญชวนและสนับสนุนเขาให้ไปรับการตรวจรักษาที่เหมาะสมที่หน่วยบริการทางการแพทย์ หากมีอาการป่วย เช่น มีไข้สูง อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ เจ็บคอ อาเจียน ท้องเสีย และมีผื่นนูนแดงตามตัว ให้รีบพบแพทย์ทันทีพร้อมแจ้งประวัติการเดินทาง
7.4. หากท่านตัดสินใจที่จะดูแลรักษาผู้ป่วยด้วยตนเองที่บ้านของท่าน ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขให้ทราบความประสงค์ของท่านเพื่อเจ้าหน้าที่จะได้จัดการฝึกอบรม มอบถุงมือและอุปกรณ์ปกป้องตนเองที่เหมาะสมให้แก่ท่าน (ถุงมือ เสื้อคลุมที่น้ําซึมผ่านไม่ได้รองเท้าบูท หรือรองเท้าหุ้มปิดที่มีแผ่นยางกันน้ําหุ้มทับด้านนอก หน้ากากอนามัยและแว่นป้องกันของเหลวกระเด็นเข้าตา) รวมทั้งให้คําชี้แนะที่เป็นข้อควรจําเรื่องวิธีให้การดูแลที่เหมาะสมสําหรับผู้ป่วย วิธีปกป้องตนเองและครอบครัวของท่าน และวิธีทิ้งอุปกรณ์ปกป้องตนเองอย่างถูกต้องหลังการใช้งาน หมายเหตุ: องค์การอนามัยโลกแนะนําว่าไม่ควรจัดการดูแลผู้ป่วยที่บ้านแต่แนะนําให้บุคคลตลอดจนสมาชิกในครอบครัวไปรับการดูแลรักษาตามมาตรฐานวิชาชีพที่ศูนย์การรักษาพยาบาล
7.5.ในการเข้าเยี่ยมผู้ป่วยที่โรงพยาบาลหรือการดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วยที่บ้าน แนะนําให้ล้างมือด้วยสบู่และน้ําทุกครั้งภายหลังการสัมผัสแตะต้องร่างกายหรือสารเหลวจากร่างกาย หรือสิ่งแวดล้อมรอบร่างกายผู้ป่วย
7.6 การสัมผัสแตะต้องศพของผู้ที่ตายด้วยโรคอีโบลาต้องกระทําโดยใช้อุปกรณ์ปกป้องที่เหมาะสมเท่านั้นและควรให้บุคลากรสาธารณสุขที่ผ่านการฝีกอบรมเรื่องวิธีฝังศพอย่างปลอดภัยเป็นผู้นําศพไปฝังโดยทันที
7.7 บุคคลควรลดการสัมผัสคลุกคลีกับสัตว์ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดโรค (ได้แก่ค้างคาวผลไม้ ลิง และลิงเอพ) ที่อาศัยอยู่ในป่าฝนของพื้นที่ที่เกิดโรค หากท่านสงสัยว่าสัตว์ตัวใดตัวหนึ่งเป็นสัตว์ที่ติดเชื้อ จงอย่าสัมผัสแตะต้องมัน ควรปรุงผลิตภัณฑ์จากสัตว์ (เลือดและเนื้อ) ให้สุกอย่างทั่วถึงก่อนรับประทาน
7.8 ไม่มีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่ใช่คู่นอน หรือคู่รัก
7.9 หลีกเลี่ยงหรือชะลอการเดินทางไปในประเทศที่มีการระบาด (ขณะนี้มี 4 ประเทศ ได้แก่ กินี ไลบีเรีย เซียร์ราลีโอน และเมืองลากอส ประเทศไนจีเรีย) หากจําเป็นต้องเดินทางไปประเทศที่มีการระบาด ต้องไม่รับประทานเนื้อสัตว์ป่าทุกชนิด หรืออาหารเมนูพิสดารที่ใช้สัตว์ป่า หรือสัตว์แปลกๆ มาประกอบอาหาร
8. การเดินทางระหว่างเกิดการระบาดของโรคจะปลอดภัยหรือไม่ องค์การอนามัยโลกให้คำชี้แนะเรื่องการเดินทางว่าอย่างไร
ตอบ คําชี้แนะทั่วไปขององค์การอนามัยโลกสําหรับการเดินทาง
8.1 ผู้เดินทางควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสคลุกคลีกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อ
8.2 บุคลากรสาธารณสุขที่เดินทางไปยังพื้นที่ที่มีโรคระบาดควรปฏิบัติตามแนวทางการควบคุมการติดเชื้อที่แนะนําโดยองค์การอนามัยโลกอย่างเคร่งครัด
8.3 บุคคลใดที่เคยอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เพิ่งมีรายงานผู้ป่วยเมื่อเร็ว ๆ นี้ควรทราบอาการต่าง ๆ ของการติดเชื้อ และไปพบแพทย์ในทันทีที่อาการแรกของโรคปรากฏขึ้น
8.4 แพทย์ที่ตรวจรักษาผู้เดินทางที่เพิ่งกลับมาจากพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคโดยมีอาการที่เข้าข่าย พึงพิจารณาความเป็นไปได้ของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา
8.5 คําชี้แนะเพิ่มเติมเรื่องการเดินทาง ขอให้อ่านจากหัวข้อการประเมินความเสี่ยงจากการเดินทางและขนส่ง: คําแนะนําสําหรับหน่วยงานที่มีอํานาจหน้าที่ทางสาธารณสุขและคมนาคมขนส่ง ที่
http://who.int/ith/updates/20140421/en/
แถมเรื่องการล้างมือให้สะอาด
ภาพการวิจัยเรื่องการล้างมือ
ภาพจาก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://hclite.in/enable/drenable/90085_016.html
ขอขอบคุณข้อมูล ที่มา: สำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://beid.ddc.moph.go.th/th_2011/news.php?g=1&items=1745
สามารถติดตามแนวทาง คําแนะนําและข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่เป็นปัจจุบันได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค
หมายเลข 1422 หรือเว็บไซต์สํานักโรคติดต่ออุบัติใหม่ กรมควบคุมโรค (http://beid.ddc.moph.go.th)
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.dmsc.moph.go.th/dmsc/news_detail.php?cid=1&id=454
โรคติดเชื้อไวรัส EBOLA ข้อเท็จจริงที่คุณควรรู้
1.โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาคืออะไร
ตอบ โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา เป็นโรคที่มักจะรุนแรงถึงชีวิตซึ่งมีอัตราป่วยตายสูงถึงร้อยละ 90 โรคนี้พบทั้งในคนและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกลุ่มอื่นที่ไม่ใช่คน (nonhuman primates เช่น ลิง กอริลลาและชิมแพนซี) โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2519 ในการระบาดที่เกิดขึ้นสองแห่งพร้อมกันแห่งหนึ่งเกิดขึ้นที่หมู่บ้านริมแม่น้ําอีโบลาในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก อีกแห่งหนึ่งเกิดที่เขตชนบทห่างไกลในประเทศซูดาน ไวรัสชนิดนี้มาจากไหนยังไม่ทราบ แต่จากหลักฐาน เท่าที่มีเชื่อว่าค้างคาวผลไม้ (Pteropodidae) น่าจะเป็นที่อาศัย (host) ของไวรัสอีโบลา
ภาพจาก [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
2.มนุษย์ติดเชื้อไวรัสอีโบลาได้อย่างไร
ตอบ
2.1 จากสัตว์สู่คน การสัมผัสใกล้ชิด กับเลือด สิ่งคัดหลั่ง อวัยวะ สารน้าต่างๆจากร่างกาย หรือสัมผัสกับสัตว์ที่ติดเชื้อในแอฟริกา มีรายงานการติดเชื้อจากการสัมผัสกับสัตว์ได้แก่ ชิมแพนซี กอริลล่า ค้างคาวกินผลไม้ ลิง สัตว์ประเภทเก้งกวาง และ เม่น ที่เจ็บหรือตายอยู่ในป่า
2.2 จากคนสู่คน การติดเชื้อเกิดจากการสัมผัสโดยตรงกับเลือดหรือสารเหลวในร่างกาย หรือสารคัดหลั่ง (อุจจาระปัสสาวะ น้ําลาย น้ําอสุจิ) ของคนที่ติดเชื้อ โดยสัมผัสกับบาดแผลที่ผิวหนัง หรือกับเยื่อบุอ่อนบริเวณต่างๆ การติดเชื้อยังเกิดขึ้นได้ด้วยถ้าผิวหนังที่มีบาดแผล หรือเยื่อบุอ่อนบริเวณต่างๆ ของคนที่สุขภาพดีมาสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมที่ปนเปื้อนด้วยสารเหลวที่มีเชื้อไวรัสจากผู้ป่วยโรคอีโบลา เช่น เสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อน ผ้าปูที่นอน หรือเข็มฉีดยาใช้แล้วนอกจากนี้ยังมีวิธีแพร่โรควิธีอื่นที่ได้เกิดขึ้นแล้วในชุมชนระหว่างพิธีศพ และการฝังศพด้วย เนื่องจากพบว่า ในพิธีฝังศพที่ผู้มาร่วมพิธีมีการสัมผัสแตะต้องร่างของผู้ตายโดยตรง ก็สามารถแพร่โรคอีโบลาได้เช่นกัน เชื้ออีโบลาสามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานถึง 6 วัน
หมายเหตุ: ไวรัสอีโบลาไม่ได้ติดต่อผ่านทางเดินหายใจ แต่สามารถติดต่อได้จากการสัมผัสละอองฝอยไอจามของผู้ป่วยโดยตรง
ไวรัสอีโบลาไม่ได้มีพาหะนำโรคเป็นแมลง อย่าสับสนกับไข้เลือดออกนะคะ
3.ใครมีความเสี่ยงต่อการติดโรคมากที่สุด
ตอบ 1.บุคลากรสาธารณสุข
2. สมาชิกในครอบครัว หรือผู้อื่นที่สัมผัสคลุกคลีกับผู้ติดเชื้อ
3. ผู้มาร่วมพิธีศพที่ได้สัมผัสแตะต้องร่างของผู้ตายโดยตรง
และ ยังต้องมีการศึกษาวิจัยมากกว่านี้เพื่อทําความเข้าใจว่าคนบางกลุ่ม เช่นผู้มีความบกพร่องทางภูมิคุ้มกันหรือผู้ที่มีภาวะสุขภาพอื่น ๆ ประจําตัว จะติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้ง่ายกว่าคนกลุ่มอื่นหรือไม่
4.อาการของโรค และอาการที่ถึงการติดเชื้อ ได้แก่อะไร
ตอบ ไข้เฉียบพลัน อ่อนเพลียรุนแรง ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหัวและเจ็บคอ เหล่านี้เป็นอาการของโรค และอาการที่แสดงว่าติดเชื้อ หลังจากนั้น อาการที่เกิดตามมา ได้แก่อาเจียน อุจจาระร่วง ผื่นขึ้นตามร่างกาย ไตและตับทํางานบกพร่อง และในผู้ป่วยบางรายจะมีเลือดออกทั้งภายนอกและภายใน ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบมีปริมาณเม็ดเลือดขาวและเกร็ดเลือดต่ําแต่เอ็นไซม์ตับมีระดับสูงกว่าปกติ ระยะฟักตัวของโรค ซึ่งเป็นระยะเวลาตั้งแต่ได้รับเชื้อจนถึงเวลาที่แสดงอาการ ตั้งแต่ 2 ถึง 21 วันผู้ป่วยจะเข้าสู่ระยะแพร่เชื้อในทันทีที่แสดงอาการ และแพร่เชื้อได้มากขึ้นหลังจากวันที่ 2 ที่แสดงอาการ ผู้ป่วยที่ยังอยู่ในระยะฟักตัวของโรคจะยังไม่แพร่เชื้อจนกว่าจะแสดงอาการ การยืนยันการติดเชื้อไวรัสอีโบลาทําได้โดยการทดสอบทางห้องปฏิบัติการเท่านั้น
อาการจะคล้ายกับโรค
-Malaria
-Typhoid fever
-Cholera
-Lassa (VHF)
ที่มา [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
5.ควรจะเข้าพบแพทย์เมื่อใด
ตอบ ผู้ที่เคยอยู่อาศัยในพื้นที่ที่มีรายงานผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา หรือผู้ที่สัมผัสคลุกคลีกับผู้ป่วยยืนยันหรือต้องสงสัยว่าป่วยด้วยโรคอีโบลา หากเริ่มแสดงอาการแล้ว ควรจะเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาในทันที ในกรณีที่มีผู้ใดถูกตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะเป็นโรคนี้ควรเร่งส่งรายงานไปยังหน่วยสาธารณสุขที่ใกล้ที่สุดโดยทันที การให้บริการทางการแพทย์โดยเร็ว มีส่วนสําคัญยิ่งในการเพิ่มอัตราการรอดชีวิตจากโรคนี้ ที่สําคัญไม่แพ้กันคือ การควบคุมการแพร่ระบาดของโรคและกระบวนการควบคุมการติดเชื้อจําเป็นต้องเริ่มต้นในทันที
6. การรักษาโรคนี้ทําได้อย่างไร
ตอบ ผู้ป่วยที่มีอาการหนักจําเป็นต้องรักษาแบบประคับประคองชนิดเข้มข้น ผู้ป่วยมักจะมีอาการขาดน้ําและจําเป็นต้องให้สารเหลวทางหลอดเลือดดํา หรือให้สารละลายเกลือแร่ทางปาก ในปัจจุบันนี้ยังไม่มียารักษาแบบจำเพาะให้หายจากโรคนี้ แต่มีรายงานการใช้
6.1 monoclonal antibody (ZMAPP)ที่ผลิตในใบยาสูบแล้ว ๓ ราย ในสหรัฐอเมริกา ๒ ราย และใน สเปนอีก ๑ ราย
6.2 ยาRibavirin เป็นยาต้านไวรัสชนิดหนึ่ง แต่ไม่ได้จำเพาะเจาะจงต่อเชื้ออีโบลา
6.3 convalescent plasma ของคนที่หายจากโรค แต่การรักษาเหล่านี้ยังไม่มีการยืนยันประสิทธิผลค่ะ
7.โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ป้องกันได้หรือไม่ มีวัคซีนป้องกันโรคหรือยัง
ตอบ ขณะนี้ยังไม่มียาหรือวัคซีนใดที่ผ่านการทดสอบจนได้รับอนุญาตให้ใช้สําหรับโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา แต่มีผลิตภัณฑ์หลายชนิดที่อยู่ระหว่างการวิจัยพัฒนา
การป้องกันการติดเชื้อและการแพร่โรค
7.1. ทำความเข้าใจเรื่องธรรมชาติของโรค วิธีแพร่โรคและวิธีหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรค
7.2. ติดตามรับฟังและปฏิบัติตามคําชี้แนะที่จัดทําโดยกระทรวงสาธารณสุข
สามารถติดตามข่าวสารได้จาก [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
คำแนะนำวิธีปฏิบัติในการตรวจวิเคราะห์และจัดการสิ่งส่งตรวจจากผู้ป่วยสงสัยโรคติดเชื้ออีโบลา โดย : กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
7.3. หากท่านสงสัยว่ามีผู้ใดที่ใกล้ชิดกับท่านหรืออยู่ในชุมชนของท่านกําลังป่วยด้วยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาขอให้เชิญชวนและสนับสนุนเขาให้ไปรับการตรวจรักษาที่เหมาะสมที่หน่วยบริการทางการแพทย์ หากมีอาการป่วย เช่น มีไข้สูง อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ เจ็บคอ อาเจียน ท้องเสีย และมีผื่นนูนแดงตามตัว ให้รีบพบแพทย์ทันทีพร้อมแจ้งประวัติการเดินทาง
7.4. หากท่านตัดสินใจที่จะดูแลรักษาผู้ป่วยด้วยตนเองที่บ้านของท่าน ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขให้ทราบความประสงค์ของท่านเพื่อเจ้าหน้าที่จะได้จัดการฝึกอบรม มอบถุงมือและอุปกรณ์ปกป้องตนเองที่เหมาะสมให้แก่ท่าน (ถุงมือ เสื้อคลุมที่น้ําซึมผ่านไม่ได้รองเท้าบูท หรือรองเท้าหุ้มปิดที่มีแผ่นยางกันน้ําหุ้มทับด้านนอก หน้ากากอนามัยและแว่นป้องกันของเหลวกระเด็นเข้าตา) รวมทั้งให้คําชี้แนะที่เป็นข้อควรจําเรื่องวิธีให้การดูแลที่เหมาะสมสําหรับผู้ป่วย วิธีปกป้องตนเองและครอบครัวของท่าน และวิธีทิ้งอุปกรณ์ปกป้องตนเองอย่างถูกต้องหลังการใช้งาน หมายเหตุ: องค์การอนามัยโลกแนะนําว่าไม่ควรจัดการดูแลผู้ป่วยที่บ้านแต่แนะนําให้บุคคลตลอดจนสมาชิกในครอบครัวไปรับการดูแลรักษาตามมาตรฐานวิชาชีพที่ศูนย์การรักษาพยาบาล
7.5.ในการเข้าเยี่ยมผู้ป่วยที่โรงพยาบาลหรือการดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วยที่บ้าน แนะนําให้ล้างมือด้วยสบู่และน้ําทุกครั้งภายหลังการสัมผัสแตะต้องร่างกายหรือสารเหลวจากร่างกาย หรือสิ่งแวดล้อมรอบร่างกายผู้ป่วย
7.6 การสัมผัสแตะต้องศพของผู้ที่ตายด้วยโรคอีโบลาต้องกระทําโดยใช้อุปกรณ์ปกป้องที่เหมาะสมเท่านั้นและควรให้บุคลากรสาธารณสุขที่ผ่านการฝีกอบรมเรื่องวิธีฝังศพอย่างปลอดภัยเป็นผู้นําศพไปฝังโดยทันที
7.7 บุคคลควรลดการสัมผัสคลุกคลีกับสัตว์ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดโรค (ได้แก่ค้างคาวผลไม้ ลิง และลิงเอพ) ที่อาศัยอยู่ในป่าฝนของพื้นที่ที่เกิดโรค หากท่านสงสัยว่าสัตว์ตัวใดตัวหนึ่งเป็นสัตว์ที่ติดเชื้อ จงอย่าสัมผัสแตะต้องมัน ควรปรุงผลิตภัณฑ์จากสัตว์ (เลือดและเนื้อ) ให้สุกอย่างทั่วถึงก่อนรับประทาน
7.8 ไม่มีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่ใช่คู่นอน หรือคู่รัก
7.9 หลีกเลี่ยงหรือชะลอการเดินทางไปในประเทศที่มีการระบาด (ขณะนี้มี 4 ประเทศ ได้แก่ กินี ไลบีเรีย เซียร์ราลีโอน และเมืองลากอส ประเทศไนจีเรีย) หากจําเป็นต้องเดินทางไปประเทศที่มีการระบาด ต้องไม่รับประทานเนื้อสัตว์ป่าทุกชนิด หรืออาหารเมนูพิสดารที่ใช้สัตว์ป่า หรือสัตว์แปลกๆ มาประกอบอาหาร
8. การเดินทางระหว่างเกิดการระบาดของโรคจะปลอดภัยหรือไม่ องค์การอนามัยโลกให้คำชี้แนะเรื่องการเดินทางว่าอย่างไร
ตอบ คําชี้แนะทั่วไปขององค์การอนามัยโลกสําหรับการเดินทาง
8.1 ผู้เดินทางควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสคลุกคลีกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อ
8.2 บุคลากรสาธารณสุขที่เดินทางไปยังพื้นที่ที่มีโรคระบาดควรปฏิบัติตามแนวทางการควบคุมการติดเชื้อที่แนะนําโดยองค์การอนามัยโลกอย่างเคร่งครัด
8.3 บุคคลใดที่เคยอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เพิ่งมีรายงานผู้ป่วยเมื่อเร็ว ๆ นี้ควรทราบอาการต่าง ๆ ของการติดเชื้อ และไปพบแพทย์ในทันทีที่อาการแรกของโรคปรากฏขึ้น
8.4 แพทย์ที่ตรวจรักษาผู้เดินทางที่เพิ่งกลับมาจากพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคโดยมีอาการที่เข้าข่าย พึงพิจารณาความเป็นไปได้ของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา
8.5 คําชี้แนะเพิ่มเติมเรื่องการเดินทาง ขอให้อ่านจากหัวข้อการประเมินความเสี่ยงจากการเดินทางและขนส่ง: คําแนะนําสําหรับหน่วยงานที่มีอํานาจหน้าที่ทางสาธารณสุขและคมนาคมขนส่ง ที่ http://who.int/ith/updates/20140421/en/
ขอขอบคุณข้อมูล ที่มา: สำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้