เรื่องเล่าขำๆ ของคนเล่นหุ้น (TOP)

กระทู้สนทนา
Cr: K.ธนะชัย  นัยโกวิท
ผมจำได้ว่าประสบการณ์ในการเล่นหุ้นเริ่มในปี พ.ศ. 2547 หุ้นตัวแรกๆที่ผมมีโอกาสสัมผัสคือหุ้นน้องใหม่ที่จะเข้าตลาดตัวหนึ่งคือบริษัทไทยออยล์ หรือในชื่อย่อ TOP ซึ่งผมได้โอกาสในการเข้าจองซื้อหุ้น IPO จำนวน 10,000 หุ้น จำได้ว่าเปิดขายตอนนั้นหุ้นละ 32 บาท

ตอนได้รับข้อเสนอว่าจะซื้อไหม ผมใช้เวลาประมาณไม่กี่นาทีในการตัดสินใจที่จะซื้อ อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้ ผมได้มีโอกาสหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนหุ้น เล่มแรกๆที่อ่านและทำให้ผมเกิดความรู้สึกสนใจในตลาดหุ้นคือหนังสือชื่อ “ลงทุนอย่าง…อย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์”

ผมไม่รู้หรอกว่าคนที่ชื่อวอร์เรน บัฟเฟตต์นี้เป็นใคร แต่เนื้อหาที่ผมอ่านในหนังสือเล่มนั้นน่าสนใจมาก ผมจำได้ว่าในหนังสือพูดถึงวิธีการหามูลค่าของหุ้นที่แท้จริง ซึ่งผมได้ลองคิดคำนวณและทำตามหนังสือดู เพื่อค้นหามูลค่าหุ้นต่างๆที่มีอยู่ในตลาดหุ้นขณะนั้น

จากตารางคำนวณหุ้นที่ผมทำ สร้างความหึกเหิมให้กับผมว่า เพราะแสดงให้เห็นว่าหุ้นแต่ละตัวมีราคาประมาณเท่าไรที่แท้จริง

หุ้น TOP ไม่ขายไม่ขาดทุน
แต่ก็อย่างว่า ผมหาออกมาส่วนใหญ่จะมีมูลค่าหุ้นที่ต่ำกว่าราคาตลาด อาจเป็นเพราะในช่วงนั้นตลาดหุ้นอยู่ในภาวะที่ไม่ได้บูมมาก คนเล่นหุ้นยังไม่มากเท่ากับปัจจุบัน เรื่องหุ้นดูเป็นเรื่องที่เข้าใจยากสำหรับคนทั่วไป และจะมีก็แต่คนที่มีความรู้ในระดับหนึ่งที่จะกล้าเข้ามาเสี่ยงโชคในตลาดหุ้น

พูดถึงความรู้ อีกเหตุผลหนึ่งที่ผมตัดสินใจซื้อหุ้น IPO ของ TOP อาจเป็นเพราะผมพึ่งจบปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจจากสหรัฐอเมริกามาหมาดๆ ซึ่งในตอนที่เรียนนั้น ผมได้มีโอกาสเรียนวิชาที่เกี่ยวข้องกับการเงิน หรือ Finance ที่ปูพื้นฐานเกี่ยวกับการวิเคราะห์สัดส่วนทางการเงินของบริษัท ที่คนเรียนด้านนี้จะพูดกันในศัพท์เทคนิค อย่างเช่น เบต้า พีอี เรโช (PE Ratio) ควิก เรโช (Quick Ratio)

ผมจำได้อย่างแม่นยำเลยว่ามีวันหนึ่ง อาจารย์ที่สอนไฟแนนซ์ได้ให้นักศึกษาในห้องทำการวิเคราะห์สัดส่วนการเงินของหุ้นที่อยู่ในตลาดดาวโจนของสหรัฐฯ ซึ่งมีเป็นหลายร้อยตัวเป็นรายงานประจำภาค โดยที่นักศึกษาในห้องนั้นมีสักประมาณ 30 คนได้ ซึ่งแต่ละคนได้รับแจกงานกันไปคนละ 200 กว่าตัวต่อคน ทำกันเป็นอาทิตย์

ผมรู้นะว่าที่อาจารย์ให้ทำนั้น อาจารย์คงจะเอาไปใช้สำหรับซื้อหุ้นของเขาแน่ๆเลย เพราะมีหลายครั้งที่อาจารย์สอนในห้องแล้วพูดถึงประสบการณ์การเล่นหุ้นของเขากับนักศึกษา

ซึ่งเพื่อนๆในห้องคุยกันว่าเวลาตอนที่อาจารย์คุยในห้องเกี่ยวกับหุ้นมักจะเป็นตอนที่อาจารย์ได้กำไรหรือหุ้นกำลังขึ้น แต่หากช่วงที่หุ้นตก อาจารย์จะเงียบและไม่เอ่ยถึงหุ้นออกมาสักเท่าไรเลย ผมก็ว่าน่าจะจริงนะ เพราะอารมณ์นี้ผมก็เป็นเหมือนกันตอนนี้

กลับมาเรื่องหุ้น TOP กันดีกว่า….
หลังจากตัดสินใจว่าจะซื้อหุ้น IPO ที่ผมได้โควต้ามา 10,000 หุ้น ผมก็ได้ไปเปิดบัญชีหลักทรัพย์กับบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งแถวถนนวิทยุ ใช้เวลาประมาณหลายวันอยู่ก็ได้เหมือนกัน ซึ่งบริษัทก็ได้ให้ชื่อมาเก็ตติ้งมาว่าถ้าจะสั่งซื้อขายหุ้นก็ให้โทรหาคนนี้เลย เจ้ามาเก็ตติ้งผมดูยังเด็กอยู่น่าจะจบปริญญาตรีมาได้สักปีสองปีมั่ง แต่นั่นก็ไม่เป็นไร เพราะอย่างน้อยน้องคนนี้ก็น่ารู้จักหุ้นในตลาดดีกว่าผมแน่ๆ ผมคิดในใจ

เมื่อเปิดบัญชีได้แล้ว ผมก็ดำเนินการเอาเช็คไปวางจองหุ้นและบอกเลขบัญชีหลักทรัพย์ให้กับบริษัท TOP ซึ่งก็เป็นไปเรียบร้อย
ในวันเปิดซื้อขายหุ้น TOP วันแรก ผมค่อนข้างตื่นเต้น เพราะลุ้นว่าหุ้นเราจะขึ้นไปเท่าไร (ตอนนั้นมั่นใจว่าหุ้นต้องขึ้นแน่ เพราะราคาจองค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับตัวบริษัท TOP ยังไงก็ไม่มีขาดทุนแน่ ผมคิดเองในใจอีกเหมือนกัน)

แล้วหุ้น TOP ก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง ตั้งแต่เปิดซื้อขาย หุ้น TOP ไม่เคยหลุดต่ำกว่าราคาจอง มิหนำซ้ำ มันพุ่งขึ้นไปเรื่อยๆ จาก 32 เป็น 38 เป็น 40 กว่าบาท ผมจำไม่ได้แล้วว่าตอนไหนที่เริ่มอดทนรวยไม่ไหวต้องตัดขายหุ้นตัวนี้ออกไปบ้างทีละ 1000 หุ้น 2000 หุ้น ในขณะเดียวกันเมื่อหุ้น TOP ราคาย่อตัวมาผมก็กลับไปซื้อทีละ 1000 หุ้น ลงมาก็ซื้ออีก 1000 หุ้น ทำอย่างนี้ไปมาอยู่เป็นปี

ผมใช้กลยุทธ์ซื้อแล้วถือไว้รอจนกว่าจะขึ้นแล้วก็ขายไป ทำเป็นบัญชีในไฟล์เอ็กเซลว่าซื้อที่ราคาเท่าไร ถ้าขึ้นไปจากราคาที่ซื้อประมาณ 5-10 บาทก็ขายออก แทบจะไม่ขาดทุน ส่วนหนึ่งเพราะต้นทุนต่ำ ไม่กดดัน และก็เป็นเงินเย็น คือเงินที่ไม่จำเป็นต้องเอาไปใช้อย่างอื่น ทิ้งไว้เฉยๆได้ไม่ทำให้ผมเดือดร้อน

ผมประสบการณ์เล่นหุ้นของผมตอนแรกๆ จึงมีแต่ความสุขสมหวัง ได้กำไรเป็นรอบๆ ไปเรื่อยๆ ทีละ 5,000 บาท 10,000 บาท
จนผมคิดว่า “โอโห้ ตลาดหุ้นนี่ดีจริงๆ ไม่ขายไม่ขาดทุนจริงๆ”

จนกระทั่ง สองปีผ่านไป ผมก็ยังคงใช้กลยุทธ์ซื้อถูก ถือเก็บ รอขายตอนแพง อยู่ โดยถือมันอยู่ตัวเดียวโดดๆเป็นส่วนใหญ่ เพราะหุ้นตัวอื่นไม่กล้าเล่น ไม่รู้ว่าหุ้นตัวนั้นธรรมชาติเป็นอย่างไร

ผมมีนิสัยเสียอยู่อย่างหนึ่งคือไม่ชอบเสี่ยงอย่างแรง ด้วยความที่เห็นว่าหุ้น TOP ถือแล้วได้กำไร โหวเฮ้งถูกแลกกับหุ้นตัวนี้ดี ก็เลยเล่นแต่ตัวนี้อยู่ตัวเดียว พอร์ทผมจึงดูง่ายมาก มีอยู่ตัวเดียว ดูราคาหุ้นก็ดูแค่ตัวนี้เป็น Benchmark หรือตัววัดตลาดหุ้นว่าขึ้นหรือลง

ถ้าในพอร์ทคิดเป็น 100 เปอร์เซนต์ หุ้น TOP น่าจะมีสัดส่วนประมาณ 90 เปอร์เซนต์ของพอร์ทผมเลย ที่บอกให้กระจายความเสี่ยง ถือหุ้นให้หลายตัว ตอนนั้นไม่อยู่ในสมองผมเลย จริงๆแล้ว ผมไม่รู้จักคำว่ากระจายความเสี่ยงเลยด้วยซ้ำ

ตลอดเวลาที่ผมเล่นมาเกือบ 2 ปีกว่า พอร์ทผมเขียวชะอุ่มตลอด คนที่เล่นหุ้นคงละรู้ว่าหมายความว่าพอร์ทหุ้นเป็นบวก มีกำไร เป็นเพราะผมมีต้นทุนราคาหุ้นที่ต่ำนั่นเอง ฮ่าฮ่าฮ่า

ผมจะเก็บหุ้นที่ราคาจองไว้อยู่ประมาณสัก 4000 หุ้นที่ราคา 32 บาท ไม่ขายออกไปไหนเลย ส่วนอีก 6000 หุ้นที่ผมมีไว้ตอนแรก ผมก็ใช้ซื้อมาขายไปสลับกันไปมา

“โอ้ จอร์จ มันเวิร์คมาก” ผมคิดว่าผมพบเทคนิคการเล่นหุ้นแบบไม่ต้องใช้สมองและการวิเคราะห์ที่ซับซ้อนเลย ไม่ต้องวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ไม่ต้องดูกราฟเทคนิค ซึ่งในสมัยนั้นก็ไม่ค่อยมีคนวิเคราะห์กันสักเท่าไร คนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นก็ซื้อตอนหุ้นขึ้น ขายตอนหุ้นลง

วันที่หุ้นขึ้นเยอะๆ ผมก็ดูว่าหุ้น TOP ขึ้นไป 5 บาทหรือยัง ถ้าขึ้นไปได้ 5-10 บาท ผมก็เริ่มขาย เชื่อหรือไม่ว่าพอผมขายไปได้สักพัก หุ้น TOP มันก็จะเริ่มหักหัวลง ราคาเริ่มลดลงๆ จนเมื่อราคาตกมาเยอะๆ กลับมาที่เดิมที่ผมเคยขายไป ผมก็เริ่มคิดจะเข้าซื้อคืนทีละ 1000 หุ้น ทำอย่างนี้ไปมา ซึ่งรอบหนึ่งใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนในการถือไว้ ถ้านานหน่อยก็ไม่เกิน 6 เดือน

สำหรับคนเล่นหุ้นแบบวันต่อวัน รอหุ้นขึ้นอาทิตย์หนึ่งก็นานแล้ว แต่สำหรับผมถือไว้เป็นเดือนๆโดยหุ้นไม่ขึ้น ผมทนได้ บางทีเรียกว่าลืมดูไปเลยด้วยซ้ำว่าหุ้นราคาเท่าไรแล้วในบางช่วงอาทิตย์ (อีกนั่นแหละ อาจเป็นเพราะผมมีต้นทุนต่ำ เห็นหุ้นที่พึ่งซื้อกลับมาใหม่ติดลบ แต่กำไรหุ้นของเดิมที่มีอยู่ก็ยังบวกอยู่)

ผมซื้อมาขายไปจนราคาสูงสุดที่ขายได้อยู่ที่ 80 บาทต้นๆ ซึ่งผมก็ทยอยขายไป 1000 หุ้น 2000 หุ้น พอราคาย่อตัวมาที่ 70 กว่าบาทก็ซื้อกลับ 1000 หุ้น 2000 หุ้น ทำอยู่อย่างนี้
อนิจัง…..และแล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น

ไว้มาตามต่อนะครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่