ชีวิตที่ผิดเพี้ยน เมื่อผมต้องกลายมาเป็น Single Dad

สวัสดีครับ ได้อ่านพันทิฟบ่อยๆ ไม่เคยคิดว่าวันนี้จะมีเรื่องราวชีวิตอยากจะมาแชร์ให้เพื่อนๆได้รับฟังกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องของผมเองครับ  
เข้าเรื่องเลยนะครับ

ใครๆก็คงฝันอยากมี ครอบครัวที่เพียบพร้อม อบอุ่นใช่ไหมครับ ผมก็เป็น 1 ในนั้น
ผมได้แต่งงานกับภรรยา แต่งงานกันมา 3 ปี เราเจอกันตอนที่บริษัทมีจัดประชุมสัมมนา เธอมาเข้าร่วมสัมมนา ได้ติดต่องานกัน จนสุดท้ายก็มาคบกัน เรื่องราวชีวิตก็ดูราบรื่นดีครับ เธออายุน้อยกว่าผม 2 ปี ขี้อ้อน ชอบเอาใจ เรียกได้ว่าช่วงที่คบกัน ผมหลงเธอพอควร เธออยากได้อะไร มักจะมาอ้อนขอ ผมก็ยอมซื้อให้ แต่ไม่ทุกครั้งนะครับ แต่ก็เกือบๆ เวลาจะซื้ออะไร ผมจะถามเหตุผลเธอก่อนว่า ทำไมถึงอยากได้ คิดว่ามันมีประโยชน์แค่ไหน ถ้าเหตุผลมันดูโอเค ก็ซื้อให้ครับ เธอเป็นคนน่ารัก น่าตาจัดอยู่ในระดับที่ไม่ขี้เหร่ครับ มีหนุ่มๆมาตามจีบเธอ ก่อนจะมาคบกับผมมากมาย แต่สุดท้ายเธอก็เลือกผม (เธอบอกแบบนั้นนะครับ)  เธอบอกว่า ผมไม่ตรงสเปคเธอซักนิดเลย เธอชอบผู้ชายคมเข้ม ดูเท่ ตรงข้ามกันเลยกับผม ผมหน้าตา ตี๋ๆ ขาวๆ เอาเป็นว่าเธอบอกว่า หน้าตาผมดูซื่อๆ ไม่มีพิษภัยกับเธอ ผมก็ขำนะครับ ช่วงที่คบกัน เราแทบจะไม่เคยทะเลาะกันเลย ช่วงคบกันปีที่สาม บริษัทผมมีโปรเจค ต้องบินไปจัดสัมมนาที่ สิงคโปร์ 2 สัปดาห์ เป็นครั้งแรกที่ต้องห่างกันนานๆ ปกติ ถ้าไม่เจอกันก็แค่ สอง สาม วัน อ๋อ ลืมบอกไป เราก็เหมือนคู่รักทั่วไปครับ มีจู๋จี๋ กันบ้างตามประสา ผมอยู่คอนโดนะครับ เพราะเป็นคน ตจว มาทำงาน กรุงเทพ ปกติ ทุกศุกร์ เธอก็จะมาค้างที่ห้องผม ช่วงที่ไปสิงคโปร์ เราก็มีคุยโทรศัพท์กันทุกวันนะครับ คุยทางไลน์ ทางเฟสบุ๊ค ปกติ เธอส่งรูปเธอมาให้ผมทุกวัน รายงานตลอด ว่าวันนี้จะไปไหนมาไหนกับใคร ด้วยความที่เราเชื่อใจกันพอสมควร เราก็ไม่เคยระแวงอะไรกัน คบกันมาสามปีตอนอยู่สิงคโปร์พอห่างกัน เลยทำให้ผมรู้ว่า ชีวิตนี้ผมคงขาด ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้แน่ๆ ผมรักเธอมากครับ เลยตัดสินใจว่า กลับไปครั้งนี้ จะวางแผนขอเธอแต่งงาน

พอกลับไปที่ไทย ผมก็ไปเจรจาสู่ขอเธอกับพ่อแม่เธอที่บ้าน โดยให้เป็นความลับ และปรึกษาเพื่อนสนิทผมแล้วก็เพื่อนของเธอ
ให้ช่วยกันวางแผน มันไม่ได้เลิศหรูอะไรมากนักครับ ผมใช้สถานที่คือ ร้านอาหารของเพื่อนผม เย็นนั้นผมพาเธอไปทานข้าว  
และได้ขอเธอแต่งงาน (ผมขอไม่ลงรายละเอียดนะครับ เดี๋ยวจะยาวไป) แต่ผิดคาดที่ผมคิดไว้ครับ ผมคิดว่าเธอจะต้องร้องไห้ดีใจ กระโดดกอดผมเหมือนในละคร เปล่าเลยครับ ชีวิตจริงไม่เหมือนใจละคร เธอตกใจ หน้าตาดูกังวล  แล้วบอกผมว่า ทำอะไรทำไมไม่ปรึกษาเธอก่อน
เอาเป็นว่าเธอขอเวลาตัดสินใจ แล้วเธอจะให้คำตอบผม คืนนั้นผมขับรถไปส่งเธอที่บ้าน เธอหอมแก้มผมว่า ไม่ต้องคิดมากเรื่องวันนี้นะ เธอแค่ขอเวลาหน่อย เธอตกใจยังไม่ได้เตรียมใจ  แต่กลับไปคืนนั้นผมนอนคิดทั้งคืน นอนไม่หลับ พยายามหาสาเหตุว่าทำไมเธอถึงปฏิเสธผม เพื่อนๆที่อยู่ในเหตุการณ์ก็พยายามทักว่าถาม ไม่อยากให้ผมคิดมาก ผมก็ได้แต่ตอบทุกคนไปว่า ไม่เป็นไร  จนผ่านไปสองวัน เธอให้ผมไปรับที่ทำงานเพื่อไปส่งบ้าน
เธอได้พูดกับผมถึงเรื่องแต่งงาน  เธอบอกผมว่าที่เธอขอกลับไปคิดคือ เธอมีภาระที่ต้องดูแลรับผิดชอบเยอะ เธอกลัวว่าจะมาเป็นภาระให้ผม
เธอมีพ่อแม่ที่ต้องดูแล และเธอมีหลานสาวหน้าตาน่ารักคนนึง ที่เธอบอกว่าเป็นลูกของลูกพี่ลูกน้องเธอที่เสียไป ที่เธอต้องดูแล ตอนนี้อายุ  5 ขวบ  ผมรับได้ไหม ถ้าเธอมีภาระมากมายขนาดนี้ แน่นอน ผมรับได้ครับ กับแค่ดูแลเด็กเพิ่มอีกคนนึง ผมเงินเดือนก็อยู่ในระดับที่ไม่น้อยเกินไป ใช้จ่ายประหยัดๆ ยังไงก็สบายครับ เธอจึงตอบตกลงแต่งงาน คืนนั้นเลยจบลงที่คอนโดของผม  

เราใช้คอนโดที่ผมซื้ออาศัยอยู่เป็นเรือนหอ และหลังจากนั้นสามเดือนเราก็ได้จัดงานแต่งงานเล็กๆ มีญาติพี่น้องและเพื่อนสนิท ของผมและเธอ
เป็นวันที่ผมมีความสุขที่สุดเลยก็ว่าได้ครับ พรุ่งนี้และต่อจากนี้ไป ผมจะตื่นขึ้นมาเจอผู้หญิงคนนี้ทุกวัน ชีวิตก็เหมือนเดิมครับ แค่มีผู้หญิงอีกคนเพิ่มเข้ามา ไม่สิ สองคน หลานสาวเธออีกคน (ปกติหลานสาวเธอจะอยู่กับพ่อแม่เธอที่บ้าน แล้วบางเสาร์ อาทิตย์ เราจะรับมานอนค้างด้วย)  
ชีวิตเราก็หวานชื่นดีครับ เป็นเหมือนเดิม แต่ผมมีงานต้องบินไปต่างประเทศบ่อย ช่วงนั้นบริษัทกำลังขยับขยาย เธอก็เข้าใจครับ ยังคงเป็นภรรยาที่ดีเหมือนเดิม ไม่ขาดตกบกพร่อง ผมคิดเสมอว่า ผมเลือกคนถูกจริงๆ ผู้หญิงที่ดีเพียบพร้อมคนนี้ ผมเป็นผู้ชายที่โชคดีจัง หลังจากแต่งงานได้ไม่นาน
ผมก็ได้รับข่าวดีจากเธอ ว่ากำลังจะมีเจ้าตัวน้อย ผมตื่นเต้นมาก ตอนนั้นรีบเปิดหาข้อมูล หาซื้อของดีๆ ให้ภรรยากิน ดูแลอย่างดีไม่ขาดตกบกพร่อง
ผมนับเดือนรอข่าวดี วันที่ผมรอคอยก็มาถึง แต่ผมก็ต้องผิดหวัง บริษัทมีเรื่องด่วนผมต้องบินไป สิงคโปร์ ผมได้แต่ภาวนาขอให้ภรรยาอย่าพึ่งปวดท้องคลอด แต่เหมือนโดนกลั่นแกล้งครับ ภรรยาผมปวดท้องคลอดอีกวันหลังจากผมบิน ผมได้รับข่าวดีตอนที่เจรจางานสำเร็จเรียบร้อย แม่ภรรยาโทรมาบอก ตอนนั้นผมดีใจจนทำอะไรไม่ถูก รีบกลับทันที หลังจากลงเครื่องผมรีบเรียกแท็กซี่ไปที่โรงพยาบาล ไปถึงรีบไปดูหน้าลูกก่อนเลย
ผมได้ลูกสาวครับ ผมได้เป็นปะป๊าแล้ว แล้วผมก็ไปหาภรรยา เธอดูหน้าตาไม่ค่อยสดชื่นเท่าไหร่ที่เห็นผม ผมก็คิดว่าคงเป็นเพราะเธอพึ่งคลอดลูก
ชีวิตผมก็กลับมาเหมือนเดิม ตอนนี้มีเจ้าตัวน้อยเพิ่มมาอีกคน มีความสุขสุดๆเลยครับ

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมเริ่มสังเกตได้ ภรรยาผม ดูไม่เหมือนเดิม เธอดูชอบเหม่อลอยมากขึ้น เหมือนมีเรื่องให้คิดตลอดเวลา เริ่มติดโทรศัพท์มากขึ้น
ขอออกไปธุระข้างนอกมากขึ้น (หลังจากคลอด ผมให้ภรรยาลาออกจากงาน เพื่อมาเป็นแม่บ้านเต็มตัวครับ แต่ลูกก็มีจ้างพี่เลี้ยงมาช่วยดูแลด้วย )  
ผมก็เห็นว่าเธอคงเหนื่อย คงอยากมีเวลาไปชอปปิ้ง เจอเพื่อนบ้างก็อนุญาติ ทุกครั้งที่เธอไป เธอจะพาหลานสาวเธอไปด้วย ช่วงเสาร์ อาทิตย์
หากเธอขอไปหาเพื่อน ผมก็จะเป็นคนเลี้ยงลูกเองครับ ผมทำได้ทุกอย่าง เพราะไปเข้าคอร์สเตรียมตัวมากับภรรยา แล้วก็ชอบหาข้อมูลศึกษาการเลี้ยงเด็ก ชีวิตผมมีความสุขได้ไม่นาน ผมก็ต้องมาพบกับชีวิตจริง ที่ไม่สวยเหมือนในละคร  ภรรยาผมลืมมือถือไว้ในห้องนอน ด้วยความที่กลัวภรรยาลำบาก
ก็เลยจะหาเบอร์ที่ติดต่อเพื่อนเธอ แต่มีไลน์เข้ามาครับ ผมเลยถือวิสาสะเปิดอ่าน เพราะอาจจะเป็นเพื่อนที่นัดเจอเธอ
ผมจะได้พิมบอกว่าเธอลืมโทรศัพท์ แล้วผมก็ต้องตกใจ

คนในไลน์ :ออกมาหรือยัง คิดถึงจะแย่แล้ว
นาทีนั้นผมงงครับ เลยย้อนกลับไปอ่านข้อความเก่าๆ  
ภรรยาผม : ตกลงจะมาหาไหม
คนในไลน์ : แล้ว…. (ชื่อผม) อยู่รึป่าว ไม่อยากเจอ
ภรรยาผม : ไม่อยู่ไปทำงานเหมือนเดิม มาได้เลย หนูเหงา อยู่คนเดียว
คนในไลน์ : แล้วเด็กหล่ะถ้าไปเจอจะขอตรวจได้ไหมว่าเป็นลูกพี่รึป่าว
ภรรยาผม :กลัวหรอ ใช่ไม่ใช่ ยังไง เขาก็เป็นพ่อเด็กอยู่ดี พี่ไม่ต้องห่วงหรอก
คนในไลน์ : งั้นเสร็จแล้วจะไปต่อไหม เอาลูกไปฝากคนอื่นเลี้ยงก่อน
ภรรยาผม : ไม่ดีกว่า ไว้วันอื่นนะ

นาทีนั้นผมช๊อคมากครับ ไม่อยากอ่านต่อ  กลัวพบความจริงอะไรหลายอย่างๆ  ผมนึกได้ว่าวันนั้นเป็นวันที่เค้าพาลูกไปฉีดวัคซีนที่โรงพยาบาล
ตอนนั้นมือสั่นทำอะไรไม่ถูก เลยรีบหาข้อมูล ไปสืบว่า ผู้ชายในไลน์คนนั้นเป็นใคร  ผมก็ต้องตกใจครับ ผู้ชายคนนั้นคือ หัวหน้าของภรรยาผมที่ทำงานเก่า ซึ่งผมก็รู้จักเขาดี แล้วเขาก็ได้มาแสดงความยินดีตอนผมแต่งงาน ซึ่งเขาเองก็มีครอบครัวอยู่แล้ว ผมร้องไห้เสียใจมาก มองไปที่ลูก
ตอนนั้นสับสนมากครับ เลยโทรไประบายให้เพื่อนสนิทฟัง เพื่อนผมบอกให้ใจเย็นๆ ลองค่อยๆถาม ค่อยๆคุย เขาไม่ค่อยอยากเชื่อว่าอย่าง
ภรรยาผม จะมีชู้ แต่ผมทำใจไม่ได้ครับ เย็นนั้นผมเลยเอาลูกไปฝาก แม่ภรรยา แล้วบอกว่า มีงานด่วนต้องรีบไปทำ แล้วเขียนโน๊ตบอกภรรยาไว้
ผมซื้อตั๋วบินกลับบ้านผม ผมลืมบอกไป ผมเหลือแม่แค่คนเดียวนะครับ คืนนั้นผมไปกอดร้องไห้ เล่าเรื่องให้แม่ฟัง แม่ผมบอกให้ผมกลับไปเคลียร์ไปคุยกับภรรยาให้ดี อาจจะเข้าใจผิดก็ได้   ผมลางานใช้ชีวิต ทบทวนตัวเองอยู่ที่บ้านสองวัน ในใจก็คิดถึงลูกมาก อยากรีบกลับไปอุ้ม ไปกอด
สุดท้ายผมตัดสินใจ กลับไปเคลียร์กับภรรยา  เหมือนภรรยาจะเริ่มรู้ครับว่าผมทราบเรื่องแล้ว เธอไม่กล้ามองหน้าผม
ไปถึงผมเลยเริ่มเปิดคำถามว่า วันก่อนไปไหนมา ไปกับใครหรอ นาทีนั้นเธอก็ยังโกหกผมครับ เธอบอกไปกับ สา เพื่อนเธอไง ผมก็รู้จักหนิ
ผมเลยบอกว่า ผมเห็นหมดแล้วนะ เท่านั้นครับ เธอโมโหใส่ผม หาว่าไม่เชื่อใจเธอ ไหนบอกให้เราเชื่อใจกัน หาว่าผมใส่ร้ายเธอสารพัด
สุดท้ายเธอร้องไห้ครับ เธอบอกว่า รักผม รักลูกมาก เธอยอมรับผิด เธอไม่ได้ตั้งใจ เธอจะไม่ยุ่งกับเขาอีก ให้ผมอภัยให้เธอ
สุดท้ายด้วยความที่รักเธอมาก ผมก้ใจอ่อนยอมให้อภัย เพื่อลูก เพื่อครอบครัว แต่ความไว้ใจ มันคงไม่เหมือนเดิมครับ
ผมกลายเป็นคนขี้ระแวงตลอด เครียดกับงาน ยังต้องมาเครียดกับคน สุดท้ายก็เป็นแบบเดิมครับ
คราวนี้ผมได้รู้เรื่องที่น่าตกใจมากกว่านั้นจากปากเพื่อนของเธอ ว่า หลานสาวของเธอที่ผมช่วยดูแลส่งเสียตั้งแต่แต่งงาน เป็นลูกของเธอกับผู้ชายอีกคน ซึ่งเป็นเจ้านายที่ทำงานเก่าของเธอ ก่อนจะมาเจอผม แต่เธอโดนภรรยาของเจ้านายตามราวี จนต้องลาออกมาทำงานที่ใหม่
และตัดขาดกับเจ้านายเก่าเธอไป นาทีนั้น ผมรู้สึกตัวเองโง่มากครับ เก่งทุกอย่างยกเว้น เรื่อง ชีวิต
นี่ผมโดนเธอหลอกมาตลอดที่คบกันและแต่งงาน  หลังจากรู้ความจริง  ผมก็ยังรู้อีกว่า ภรรยาผมยังแอบไปเจอกับหัวหน้าที่แอบเป็นชู้กันของเธออยู่ตลอด เย็นวันนั้นผมเลยตัดสินใจ เคลียร์ครับ ผมบอกตัวเองว่าจะไม่เสียน้ำตาให้เธออีก  ผมบอกเธอว่าจะหย่า และขอเอาลูกมาเลี้ยงเอง
เธออึ้งครับ ร้องไห้เหมือนเดิม ขอโทษผม บอกผิดไปแล้ว เธอขาดผม ขาดลูกไม่ได้จริงๆ เธอขอให้ผมยกโทษให้เธอ
ครั้งนี้ผมตัดใจครับว่าต้องเด็ดขาด  ตอนนั้นลูกผม 6 เดือนครับ คืนนั้นผมนอนหน้าห้องให้เธอนอนกับลูกในห้อง
ผมนอนคิดทั้งคืน ว่าจะทำยังไง ถ้าต้องเลี้ยงลูกคนเดียว งานก็ต้องทำ ผมเลยโทรไปหาแม่ครับ ตอนนั้นผมต้องการใครซักคนรับฟัง
คนๆเดียวที่เคยเห็นผมตอนอ่อนแอ ผมไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็นนะครับ ทุกครั้งมีเรื่องหนักใจ ผมจะโทรไประบายให้แม่ฟัง จริงๆ มันดูบาปนะครับ
เอาแต่เรื่องทุกข์ใจไปให้ท่าน แต่ชีวิตผมตอนนี้เหมือนมีแค่แม่ครับ แม่รับฟังผมจนจบ แม่พูดแค่ว่า “ลูกชายแม่ แม่เลี้ยงมาจนโตได้ ด้วยตัวคนเดียว จะเป็นไร จะเลี้ยงหลานให้อีกคน เอ็งเอาไง แม่ก็เอาด้วย”  ตอนนั้นเหมือนยกภูเขาออกจากอก แม้มันเหมือนจะเป็นการเอาภาระไปให้แม่ก็ตามครับ  
ตอนเช้าผมตัดสินใจ บอกภรรยาว่า ผมจะหย่าเธอต้องการอะไรขอให้บอก แต่ผมขอลูกไว้กับผม เธอเลิกกับผมไป เธอก็ยังมีลูกสาวเธออีกคน
แต่ผมไม่มีใคร แล้วอีกอย่าง ตอนนี้เธอก็ไม่ได้ทำงาน จะเลี้ยงดูลูกสองคน คงไม่ไหว เธอยอมแต่โดยดีครับ เธอบอกว่าไม่เรียกร้องอะไร
แล้วแต่ผมจะเมตตากรุณาเธอ ถ้าเป็นไปได้ เธอจะเลือกให้ผมไม่หย่ากับเธอ เธอยังยืนยันว่ารักผม และลูกมาก แต่ผมตอนนั้นยอมรับว่า
ก็ยังรักเธอครับ แต่ผมจะไม่ทนเป็นคนโง่อีกแล้ว ชีวิตนี้มีแค่ลูกก็พอ ผมจึงตัดสินใจ ยกคอนโดที่อยู่ให้เธอ และให้เงินเธออีกก้อน
เธอขอมาเยี่ยมลูก ให้ผมพาลูกไปหาเธอบ้าง ผมตกลงครับ ในใจก็ไม่คิดว่ามันจะง่ายขนาดนี้ วันนั้นเราก็ไปหย่ากันครับ
ผมขอเวลา 1 เดือน ในการหาที่อยู่ใหม่ในกรุงเทพ ผมได้ไปซื้อบ้านทาวเฮาท์ ใกล้ๆที่ทำงาน และขอให้แม่ย้ายลงมาอยู่กรุงเทพกับผม เพื่อช่วยเลี้ยงนางฟ้าตัวน้อยของผม ช่วงนั้นมีคนหลายคนที่ทราบเรื่อง ก็พยายามรบเร้าให้ผมไป  ตรวจดีเอ็นเอ ว่าลูกใช่ลูกผมรึเปล่า
ตอนแรกผมก็อยากจะไปตรวจนะครับ แต่ถึงเขาจะไม่ใช่ลูกผม ยังไงผมก็รักเขาไปแล้ว ผมคงไม่ยอมยกเขาให้ใคร
เพื่อความสบายใจผมเลยตัดสินใจไม่ตรวจ เพราะไม่ว่าเขาจะเป็นสายเลือดผมหรือไม่ เขาก็คือลูกสาวของผม  

ต่อด้านล่างนะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่