คือ ตอนนี้เราทำงานอยู่สถานทูตค่ะ (ขอดราม่าเองนิดนึง)
แต่ ณ ตอนนี้ สามปีผ่านไป มันสุดจะทนแล้วค่ะ สิ่งที่เราเคยคิดไว้ว่าดี ตอนนี้กลับตัลปัตรไปหมด
- เพื่อนร่วมงานก็พอไหว บางคนโยนงานตลอดเราก็ไม่ว่าเพราะถือว่าใครทำคนนั้นได้ประสบการณ์ ความเก่งสร้างกันตรงนี้ละ
- ระบบภายในความจริงแล้วคือเละ
- หัวหน้า (อันนี้ตัวดีเลย) โยนงาน โยนความผิด โยนทุกอย่าง แต่เอาดีใส่ตัวแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
- เงินเดือน ขึ้นตามระบบราชการของประเทศนั้นค่ะ คือคิดออกมาเป็นเงินไทยแล้วขึ้นปีละ 390 บาท (ย้ำค่ะ 390 บาท ไม่ได้พิมพ์เลขตกแต่อย่างใด) นอกนั้นไปลุ้นค่าครองชีพที่อนุมัติเพิ่มเอาเอง โอทีไม่มี วันหยุดไม่ได้หยุดโดนเรียกใช้งานตลอด
- สวัสดิการ "ไม่มี" ค่ะ รถชน ตกเก้าอี้ รองเท้าหนีบ เป็นไข้ ผ่ากระดูกสันหลังอะไรก็ไปรักษาตัวเอง ตายไปก็ทำศพเองค่ะ
- วันลาพักร้อน อันนี้พอใจ คือปีละ 21 วัน แต่วันหยุดเสาร์ อาทิตย์หรือว่าวันหยุดราชการโดนเรียกใช้ได้ทุกเมื่อ ยิ่งวันหยุดราชการประมาณ 50% จะโดนเรียกมาเสนอใบหน้าอันเซ็งๆที่ออฟฟิสค่ะ
- แม้ระทั่งเวลาพัก 1 ชม.ตามหลักสากลไม่มี ตอนนี้กึ่งบังคับให้ทุกคนต้องกินข้าวในออฟฟิสและห้ามกินข้าวพร้อมกันและนั่งทานข้าวอยู่คุณมีสิทธิ์โดนดึงออกจากชามข้าวไปทำงานทุกเมื่อโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า (อันนี้ไม่ได้หมายถึงเวลามีงานคงค้างนะคะ)
จากที่เราเข้ามาเป็นคนอารมณ์ดี หัวเราะง่าย ใจเย็น ทุกวันนี้มีโรคซึมเศร้าติดตัวค่ะ อารมณ์ร้าย หมดค่ายาต่อเดือนเกือบพัน
ลองสมัครงานสถานทูตอื่นๆดูก็ค่อนข้างยาก เพราะเปิดรับกันน้อยรวมทั้งหลายที่ก็เปิดรับแบบสัญญาจ้าง ซึ่งเราก็ไม่อยากลาออกจากงานประจำไปหาสัญญาจ้าง ครั้นจะรอนายคนนี้หมดวาระผลัดคนใหม่มาแทนก็ต้องรอกลางปีหน้าซึ่งตอนนี้เราบอกได้แค่ว่า สภาพจิตใจมันไม่ไหวแล้วจริงๆ
ก็เลยสมัครงานบริษัทเอกชนทั่วไป คิดว่าเอาตัวเองออกจากสายงานนี้ก็ได้ แต่เสียงตอบรับจากคนรอบข้างคือ ทำงานสถานทูตดีๆ จะออกทำไม สังคมแบบนี้มีทุกที่ เงินเดือนก็นับว่าพอไหวปานกลาง ไม่ดีเด่นแต่จะไปหาแบบนี้ที่อื่นก็ยาก โดนหลายกระแสเข้าเลยลังเลแต่ครั้นจะอยู่ต่อก็จิตใจย่ำแย่ค่ะ
ย้ายงานดีมั้ย คิดจนเข้าขั้นวิตก
แต่ ณ ตอนนี้ สามปีผ่านไป มันสุดจะทนแล้วค่ะ สิ่งที่เราเคยคิดไว้ว่าดี ตอนนี้กลับตัลปัตรไปหมด
- เพื่อนร่วมงานก็พอไหว บางคนโยนงานตลอดเราก็ไม่ว่าเพราะถือว่าใครทำคนนั้นได้ประสบการณ์ ความเก่งสร้างกันตรงนี้ละ
- ระบบภายในความจริงแล้วคือเละ
- หัวหน้า (อันนี้ตัวดีเลย) โยนงาน โยนความผิด โยนทุกอย่าง แต่เอาดีใส่ตัวแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
- เงินเดือน ขึ้นตามระบบราชการของประเทศนั้นค่ะ คือคิดออกมาเป็นเงินไทยแล้วขึ้นปีละ 390 บาท (ย้ำค่ะ 390 บาท ไม่ได้พิมพ์เลขตกแต่อย่างใด) นอกนั้นไปลุ้นค่าครองชีพที่อนุมัติเพิ่มเอาเอง โอทีไม่มี วันหยุดไม่ได้หยุดโดนเรียกใช้งานตลอด
- สวัสดิการ "ไม่มี" ค่ะ รถชน ตกเก้าอี้ รองเท้าหนีบ เป็นไข้ ผ่ากระดูกสันหลังอะไรก็ไปรักษาตัวเอง ตายไปก็ทำศพเองค่ะ
- วันลาพักร้อน อันนี้พอใจ คือปีละ 21 วัน แต่วันหยุดเสาร์ อาทิตย์หรือว่าวันหยุดราชการโดนเรียกใช้ได้ทุกเมื่อ ยิ่งวันหยุดราชการประมาณ 50% จะโดนเรียกมาเสนอใบหน้าอันเซ็งๆที่ออฟฟิสค่ะ
- แม้ระทั่งเวลาพัก 1 ชม.ตามหลักสากลไม่มี ตอนนี้กึ่งบังคับให้ทุกคนต้องกินข้าวในออฟฟิสและห้ามกินข้าวพร้อมกันและนั่งทานข้าวอยู่คุณมีสิทธิ์โดนดึงออกจากชามข้าวไปทำงานทุกเมื่อโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า (อันนี้ไม่ได้หมายถึงเวลามีงานคงค้างนะคะ)
จากที่เราเข้ามาเป็นคนอารมณ์ดี หัวเราะง่าย ใจเย็น ทุกวันนี้มีโรคซึมเศร้าติดตัวค่ะ อารมณ์ร้าย หมดค่ายาต่อเดือนเกือบพัน
ลองสมัครงานสถานทูตอื่นๆดูก็ค่อนข้างยาก เพราะเปิดรับกันน้อยรวมทั้งหลายที่ก็เปิดรับแบบสัญญาจ้าง ซึ่งเราก็ไม่อยากลาออกจากงานประจำไปหาสัญญาจ้าง ครั้นจะรอนายคนนี้หมดวาระผลัดคนใหม่มาแทนก็ต้องรอกลางปีหน้าซึ่งตอนนี้เราบอกได้แค่ว่า สภาพจิตใจมันไม่ไหวแล้วจริงๆ
ก็เลยสมัครงานบริษัทเอกชนทั่วไป คิดว่าเอาตัวเองออกจากสายงานนี้ก็ได้ แต่เสียงตอบรับจากคนรอบข้างคือ ทำงานสถานทูตดีๆ จะออกทำไม สังคมแบบนี้มีทุกที่ เงินเดือนก็นับว่าพอไหวปานกลาง ไม่ดีเด่นแต่จะไปหาแบบนี้ที่อื่นก็ยาก โดนหลายกระแสเข้าเลยลังเลแต่ครั้นจะอยู่ต่อก็จิตใจย่ำแย่ค่ะ