สวัสดีพี่ๆเพื่อนๆพันทิปครับ
พอดีผมมีเรื่องรบกวนขอความรู้ในกระบวนการคิดการจัดการด้านบัญชี สักนิดครับ
เรื่องมีอยู่ว่า คอนโดที่ผมอยู่ มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากเจ้าของร่วม
โดยตอนที่มีประชุมใหญ่สามัญเจ้าของร่วมประจำปี 2557 เมื่อปลายเดือน มิ.ย.57 ได้มีการแจ้งให้ทราบแล้ว
เป็นรายจ่ายประเภทซ่อมบำรุงลิฟท์และไม้กั้น ซึ่งเราจะจ่ายตามจำนวนอัตราส่วนกรรมสิทธิ์ที่เรามี (โดยจะแบ่งจ่าย 2 งวด คือ รอบ ก.ค.57 และ ต.ค.57)
เนื่องจากเอกสารในที่ประชุมทำงบรายจ่ายดังกล่าวเป็นยอดจ่ายประมาณการ ในวันที่ประชุมฯนั้น ผมได้สอบถามแล้วว่าจะจ่ายจริงตามยอดที่คอนโดได้จ่ายจริงใช่หรือไม่ ซึ่งในวันนั้นได้คำตอบจากเจ้าหน้าที่ฯ ว่า ใช่
แต่พอยอดเรียกเก็บออกมาในบิล รอบเดือน ก.ค.57
ปรากฎว่า ยอดที่ผมต้องจ่ายมันกลายเป็นการคิดมาจากยอดประมาณการเกือบทั้งหมด
โดยเป็นการคิดจาก
1.ค่าซ่อมบำรุงลิฟท์ 4 ตัว (1,360,620) (จ่าย เดือน ก.ค.) + 2. ค่าไม้กั้น (ยอดประมาณการ 150,000) ซึ่งในวันประชุมได้มีการแจ้งยอดที่ใช้จ่ายจริงแล้ว คือ 115,000 (จ่ายเดือน ก.ค.) + 3.ค่าซ่อมบำรุงลิฟท์ 3 ตัว (ยอดประมาณการ 1,500,000) (จ่าย เดือน ต.ค.)
เมื่อนำทั้ง 3 ยอดมารวมกันแล้ว จึงหาร 2 แล้วเป็นค่าใช้จ่ายที่นิติฯเรียกเก็บในแต่ละเดือน (ก.ค. และ ต.ค.)
สิ่งที่ผมอยากถามพี่ๆเพื่อนๆ คือ
- การเรียกเก็บเงินแบบนี้มันถูกต้องตามหลักบัญชีแล้วหรือปล่าวครับ (1+2+3)/2 พอดีผมไม่ได้เรียนทางด้านสาขานี้ เลยรู้สึกงง ว่าทำไมตัวเองต้องมาจ่ายในส่วนเกินให้กับทางนิติฯด้วย กับการเรียกเก็บเงินที่คิดมาจากค่าประมาณการ ทั้งๆที่ รอบเดือน ก.ค. มันมียอดตายตัวแล้ว ทำไมไม่คิดเฉพาะเดือน ก.ค. เอายอดที่ยังไม่รู้รายจ่ายจริงมาให้เจ้าของร่วมต้องจ่ายทำไม
ในเดือน ก.ค. ที่เรียกเก็บงวดแรก นั้น ด้วยเหตุที่ผมไปสอบถาม จึงมีประกาศชี้แจงจากนิติฯ ว่า ยอด 35,000 บาท จะถูกจัดเก็บอยู่ในงบประมาณรายรับมากกว่ารายจ่าย ซึ่งผมค่อนข้างมั่นใจว่าถ้าไม่มีคนทักท้วงคงไม่มีประกาสนี้ติดแน่ (แต่กว่าจะติดก็เลยไปเกือบครึ่งเดือน ก.ค.)
มาเดือนนี้ (ต.ค.) ผมก็ได้รับแจ้งยอดค่าใช้จ่าย ซึ่งแน่นอน เป็นยอดเท่ากับเดือน ก.ค. และก็ยังไม่มีการชี้แจงใดๆ ว่าจะมียอดรายรับส่วนเกินจากค่าซ่อมบำรุงลิฟท์ 3 ตัว ที่น่าจะถูกกว่างบประมาณการ
ถามว่าจ่ายได้ไหมกับส่วนต่างนี้ จ่ายได้ครับ แต่แค่งงว่าวิธีคิดทางบัญชีแบบนี้มันถูกต้องไหม ทำไมไม่รอให้เงินมันนิ่งก่อน(เพราะการจ่ายแบบนี้น่าจะมีเครดิตให้จ่ายทีหลังได้พอสมควร)
ขอบคุณครับ
การที่นิติฯ คิดค่าใช้จ่ายแบบนี้ ถูกต้องไหมครับ
พอดีผมมีเรื่องรบกวนขอความรู้ในกระบวนการคิดการจัดการด้านบัญชี สักนิดครับ
เรื่องมีอยู่ว่า คอนโดที่ผมอยู่ มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากเจ้าของร่วม
โดยตอนที่มีประชุมใหญ่สามัญเจ้าของร่วมประจำปี 2557 เมื่อปลายเดือน มิ.ย.57 ได้มีการแจ้งให้ทราบแล้ว
เป็นรายจ่ายประเภทซ่อมบำรุงลิฟท์และไม้กั้น ซึ่งเราจะจ่ายตามจำนวนอัตราส่วนกรรมสิทธิ์ที่เรามี (โดยจะแบ่งจ่าย 2 งวด คือ รอบ ก.ค.57 และ ต.ค.57)
เนื่องจากเอกสารในที่ประชุมทำงบรายจ่ายดังกล่าวเป็นยอดจ่ายประมาณการ ในวันที่ประชุมฯนั้น ผมได้สอบถามแล้วว่าจะจ่ายจริงตามยอดที่คอนโดได้จ่ายจริงใช่หรือไม่ ซึ่งในวันนั้นได้คำตอบจากเจ้าหน้าที่ฯ ว่า ใช่
แต่พอยอดเรียกเก็บออกมาในบิล รอบเดือน ก.ค.57
ปรากฎว่า ยอดที่ผมต้องจ่ายมันกลายเป็นการคิดมาจากยอดประมาณการเกือบทั้งหมด
โดยเป็นการคิดจาก
1.ค่าซ่อมบำรุงลิฟท์ 4 ตัว (1,360,620) (จ่าย เดือน ก.ค.) + 2. ค่าไม้กั้น (ยอดประมาณการ 150,000) ซึ่งในวันประชุมได้มีการแจ้งยอดที่ใช้จ่ายจริงแล้ว คือ 115,000 (จ่ายเดือน ก.ค.) + 3.ค่าซ่อมบำรุงลิฟท์ 3 ตัว (ยอดประมาณการ 1,500,000) (จ่าย เดือน ต.ค.)
เมื่อนำทั้ง 3 ยอดมารวมกันแล้ว จึงหาร 2 แล้วเป็นค่าใช้จ่ายที่นิติฯเรียกเก็บในแต่ละเดือน (ก.ค. และ ต.ค.)
สิ่งที่ผมอยากถามพี่ๆเพื่อนๆ คือ
- การเรียกเก็บเงินแบบนี้มันถูกต้องตามหลักบัญชีแล้วหรือปล่าวครับ (1+2+3)/2 พอดีผมไม่ได้เรียนทางด้านสาขานี้ เลยรู้สึกงง ว่าทำไมตัวเองต้องมาจ่ายในส่วนเกินให้กับทางนิติฯด้วย กับการเรียกเก็บเงินที่คิดมาจากค่าประมาณการ ทั้งๆที่ รอบเดือน ก.ค. มันมียอดตายตัวแล้ว ทำไมไม่คิดเฉพาะเดือน ก.ค. เอายอดที่ยังไม่รู้รายจ่ายจริงมาให้เจ้าของร่วมต้องจ่ายทำไม
ในเดือน ก.ค. ที่เรียกเก็บงวดแรก นั้น ด้วยเหตุที่ผมไปสอบถาม จึงมีประกาศชี้แจงจากนิติฯ ว่า ยอด 35,000 บาท จะถูกจัดเก็บอยู่ในงบประมาณรายรับมากกว่ารายจ่าย ซึ่งผมค่อนข้างมั่นใจว่าถ้าไม่มีคนทักท้วงคงไม่มีประกาสนี้ติดแน่ (แต่กว่าจะติดก็เลยไปเกือบครึ่งเดือน ก.ค.)
มาเดือนนี้ (ต.ค.) ผมก็ได้รับแจ้งยอดค่าใช้จ่าย ซึ่งแน่นอน เป็นยอดเท่ากับเดือน ก.ค. และก็ยังไม่มีการชี้แจงใดๆ ว่าจะมียอดรายรับส่วนเกินจากค่าซ่อมบำรุงลิฟท์ 3 ตัว ที่น่าจะถูกกว่างบประมาณการ
ถามว่าจ่ายได้ไหมกับส่วนต่างนี้ จ่ายได้ครับ แต่แค่งงว่าวิธีคิดทางบัญชีแบบนี้มันถูกต้องไหม ทำไมไม่รอให้เงินมันนิ่งก่อน(เพราะการจ่ายแบบนี้น่าจะมีเครดิตให้จ่ายทีหลังได้พอสมควร)
ขอบคุณครับ