ขอเกริ่นเรื่องครอบครัวก่อนนะคะ
ครอบครัวเรามีพี่น้อง2คน มีเรากับน้องชาย พ่อกับแม่เราก็เป็นข้าราชการที่มีฐานะปานกลาง แต่ก็มีหนี้สินตามปกติที่พึงจะมี เราแต่งงานแล้วและมีลูกน้อย1คน น้องชายเราเป็นคนเรียนเก่งมาก ไม่ว่าจะทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ สอบได้ที่ 1 ตลอด ได้ทุนเรียนตลอด น้องเราได้ทุนมาเรียนต่อแพทย์เฉพาะทางที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่มีโรงพยาบาลมีชื่อเสียงมากที่สุดของประเทศ ซึ่งอีกไม่กี่เดือนก็จะเรียนจบไปเป็นอาจารย์หมอแล้วและยังมีทุนไปต่อ sub-specialist ที่อเมริการออยู่ เค้าเป็คความภูมิใจของวงศ์ตระกูลของเรา เราภูมิใจมากเพราะเราได้ส่งเสียเค้าจนจบเป็นนายแพทย์ที่คอยช่วยเหลือผู้ป่วยซึ่งก็เป็นปณิทานของน้องชายเรา แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ในช่วงอีก 1เทอมที่กำลังจะเรียนจบ น้องชายเราไปลาออกจากมหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่และลาออกจากทุนที่ได้รับในตำแหน่งอาจารย์แพทย์ ซึ่งตำแหน่งนี้เพิ่งจะบรรจุได้ไม่ถึงเดือน การลาออกจากการเรียนและลาออกจากงานในครั้งนี้ น้องชายเราไม่ปรึกษาที่บ้านเลย พอพ่อกับแม่และเรารู้พวกเราแทบจะเป็นลม แต่ทำอะไรไม่ได้ แล้วมันก็ไปเป็นหมอแบบพาร์ทไทม์ที่โรงพยาบาลเอกชนมีชื่อแห่งหนึ่งค่ะ
สาเหตุน่ะเหรอคะ เพราะธุรกิจขายตรงค่ะ
มีคนมาชวนน้องชายเราทำ โดยเอารถหรูทั้งพอร์ช ทั้งลัมโบกินี่ ทั้งการไปเที่ยวต่างประเทศฟรี ทั้งรายได้มหาศาลที่เรียกว่า passive income มาหลอกล่อ ซึ่งมันก็ได้ผล ทำให้น้องชายของเราหลงไปกับความโลภ ที่เค้าอยากได้ อยากมี อยากเป็น เป็นที่กลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า "อัพไลน์" มาหลอกล่อ ซึ่งน้องเราถูกเลี้ยงมาอย่างยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม เรา พ่อ แม่ ดูแลน้องชายอย่างดี เราเลี้ยงน้องมาเองตั้งแต่เด็ก เราก็เหมือนแม่คนที่สองเราที่เลี้ยงดูมันมา สิ่งเลวร้ายที่มันได้เราเอาให้พวกเราเสียใจ อับอายแทบจะแทรกแผ่นดินหนีและตอนนี้จะพลอยทำให้เรา พ่อ แม่ ล่มจมไปกับมันด้วย เราขอสรุปเป็น 5 ข้อที่เรารู้สึกว่าเลวร้ายสุดๆ มาแชร์ให้เพื่อนๆฟังค่ะ
1. น้องชายเราชวนพ่อแม่ทำ ซึ่งพ่อกับแม่ก็ทำแบบเสียไม่ได้เพราะอยากสนับสนุนลูกชาย โดยที่มัน(น้องชายเราเอง)บังคับให้พ่อกับแม่ไปหาคนมาฟังตามยอดที่มันต้องการ มันให้พ่อกับแม่ไปบอกคนอื่นไปว่าธุรกิจนี้ดีมาก ขนาดลูกชายที่เป็นหมอยังทำ ซึ่งนี่คือการเอาวิชาชีพมาแอบอ้างชัดๆ อ้อ...ก่อนหน้านี้ก็ไปบอกคนที่มันไปคุย(หลอกล่อ)มาว่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะไม่เรียนหมอให้เสียเวลา จะมาทำธุรกิจขายตรงตั้งแต่เรียนจบมอ 6 เลย มันยังชวนน้องญาติที่กำลังจบเอ็นทรานซ์ว่า ไม่ต้องเรียนต่อหรอก ให้ไปทำขายตรงกับมัน กลับมาเรื่องพ่อกับแม่เรา ท่านต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาทั้งในและนอกระบบมาลงทุนกับลูกชาย เพราะมันบอกให้พ่อกับแม่เชื่อใจมัน เชื่อใจในความเก่งและหัวสมองอันชาญฉลาดของมันว่ามันจะวางแผนธุรกิจนี้ให้ประสบความสำเร็จ
ปัจจุบันนี้ พ่อกับแม่เรามีหน้ีมากกว่าเดิม เงินจะใช้ก็ไม่ค่อยมี น้องชายก็ไม่เคยส่งเสีย พ่อกับแม่คาดหวังจะพึงพามันมาก พ่อกับแม่เสียใจจนชอบเหม่อและร้องไห้บ่อยๆ เรามารู้ทีหลังว่าทุกครั้งที่พ่อกับแม่ไปประชุมธุรกิจนี้ มันไม่เคยดูแลพ่อกับแม่เลย บางทีที่พ่อกับแม่ทำตัวเปิ่นๆตามประสาคนแก่ มันก็จะว่า "ทำตัวดีๆหน่อย อย่าทำให้ผมอาย ผมเป็นหมอนะ" และอีกหลายครั้งที่ไปประชุมต่างจังหวัด มันก็เอาพ่อกับแม่ไปด้วย แต่ขอโทษ มันไม่เคยชวนพ่อกับแม่ไปร่วมโต๊ะอาหารในโรงแรมที่พักด้วยเลย มันก็จะบอก "พ่อกับแม่ไปก่อนเลยนะ เดี๋ยวผมจะไปกับพี่ๆในทีม" ยิ่งถ้าเป็นอาหารมื้อเย็นที่ทางโรงแรมไม่ได้จัดให้ พวกมันก็จะนั่งกินร้านอาหารในโรงแรม ปล่อยให้พ่อกับแม่ไปกินบะหมี่ข้างทาง พอเรารู้เราน้ำตาร่วงเลย สงสารพ่อกับแม่ ทำไมน้องเราเห็นคนอื่นดีกว่าคนในครอบครัว
2. น้าเรา ป้าเรา ญาติๆเรา มาเล่าให้ฟังว่า มีหลายคนมาถามว่าน้องชายเราเป็นหมอจริงรึป่าว ทำไม่มาบังคับขายอาหารเสริมให้คนไข้ (รพ.เอกชน จะมีคนที่มีตังค์มาหาหมอน่ะค่ะ) แถมมันยังชวนคนไข้มาเป็นดาวน์ไลน์ของมันอีกด้วย ที่เรารู้สึกแย่มากที่สุดคือ มันไปชวนลุงคนนึงมาทำ โดยให้ความหวังลุงคนนั้นว่าจะได้เงินเยอะจากธุรกิจนี้ ลุงคนนี้เค้าเคยกินยาฆ่าตัวตายมาแล้วเพราะปัญหาหนี้สิน แล้วมันมาให้ความหวังลุง จนลุงกอดมันแล้วร้องไห้ด้วยความตื้นตันที่มันจะมาช่วยลุงปลดหนี้ ลุงเค้าเลยไปกู้มาทำกับมันน่าจะ 30,000 ซึ่งลุงเค้าคิดว่าลงทุนเท่านี้แล้วจะได้ผลตอบแทนกลับมาปลดหนี้ แต่ก็ไม่เลยค่ะ พอลุงลงทุนไปซักพัก เค้าหาลูกทีมไม่ได้ อาจจะเพราะลุงเค้าไม่มีเครดิตมาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งรายได้ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่น้องชายเราบอก ลุงเลยไปทวงถามมัน มันบอกลุงคนนั้นว่าลุงต้องลงทุนอีก พอลุงลงทุนอีกกลายเป็นหนี้เพิ่มขึ้นแต่ก็ยังไม่ไดผลตอบแทนกลับมาเท่าที่ควรจะเป็น ลุงเลยไปต่อว่าน้องชายที่ไม่มาช่วยดูแลอะไรเลย ดูซิลุงเป็นหนี้มากขึ้น ใครจะรับผิดชอบ เชื่อมั๊ยคะ น้องเราตอบลุงคนนั้นว่า "ช่วยไม่ได้ ลุงไม่เดินตามแผนที่ผมวางไว้เอง ลุงเลยไม่ได้ตามเป้า" เลวดีมั๊ยคะ เชื่อมั๊ยคะ ลุงคนนั้นเค้ามาตะโกนด่าพ่อกับแม่เราที่หน้าบ้านว่า "เลี้ยงลูกยังไงให้เป็นคนเก่งอย่างเดียว ไม่มีน้ำใจหรือเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเลย มีแต่จะเอาผลประโยชน์อย่างเดียว" พ่อกับแม่เราอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีเลยค่ะ
3. มาที่เรื่อง fb ก่อนหน้าที่มันจะมาทำธุรกิจขายตรง เพื่อนๆมันมากดไลค์แต่ละโพสกันหลักร้อยเลย ซึ่งมันเป็นคนมีศิลปะในการโพสจริงๆเรายอมรับ แต่หลังจากที่มันมาทำธุรกิจนี้ มันโพสแปลกๆ โพสรูปรถหรูเอย บอกอีก1ปีเจอกัน หรือเอาข้อความของคนอื่นที่เป็นการสอนให้รวยหรือโพสแต่เรื่องความสำเร็จ โพสแต่เรื่องเงิน โพสดูถูกอาชีพอื่นรวมทั้งดูถูกอาชีพหมอของตัวเองด้วย แต่ที่ทำให้เราอับอายคือเรามีเพื่อนรุ่นน้องใน fb ของเราเป็นหมอเป็นเภสัชหลายคน ซึ่งมันเองก็ไม่ได้รู้จักเค้าเลย มันไปขอแอ๊ดเป็นเพื่อนกับเพื่อนๆกลุ่มนี้ของเรา แล้วก็ไปคุยๆบอกว่ามีเรื่องดีๆมาแบ่งปัน มีขอเบอร์คุยด้วย ซึ่งเพื่อนเรากลุ่มนี้นึกว่าน้องเราจะจีบและคิดว่าเป็นหมอเหมือนกันและเป็นน้องชายเราด้วย เพื่อนเราเลยไว้ใจให้เบอร์ไปและมีนัดเจอกันที่ร้านการแฟชื่อดังระดับโลก สุดท้ายคือจะชวนเพื่อนเราทำธุรกิจขายตรง เพื่อนเราก็โทรมาต่อว่าเราใหญ่เลยและขอบล็อค fb น้องชายเรา อันนี้เราอับอายมาก คือเพื่อนๆเราก็คิดว่าเราทำธุรกิจนี้ด้วย พลอยทำให้เพื่อนๆไม่ค่อยรับสายเราเลย โดยเฉพาะเวลาเราชวนไปข้างนอก จะถูกปฏิเสธซะส่วนใหญ่
4. เรื่องนี้อับอายทั้งวงศ์ตระกูลค่ะ เพื่อนเราที่เป็นอาจารย์หมอในมหาวิทยาลัยที่น้องเราจบมาเล่าให้ฟังว่า คณะบดีคณะแพทย์ศาสตร์นัดประชุมด่วนเรื่องมีหมอกลุ่มนึงเข้ามาชักชวนน้องๆที่กำลังเรียนเฉพาะทางไปทำธุรกิจขายตรง ซึ่งมีหมอที่ลาออกระหว่างเรียนเฉพาะทางไป2คน เลยทำให้มีประเด็นขึ้นมา ทางคณะบดีฯแจ้งรายชื่อหมอที่เป็นหัวโจกในการก่อความรำคาญ รบกวนเวลาทำงาน เพราะมักจะเข้ามาชักชวนให้บุคลากรในโรงพยาบาลไปทำแบบพวกเค้า ซึ่งตัวการในการชักชวนบุคลากรในโรงพยาบาลให้มาทำธุรกิจขายตรงมี 5คน ชื่งมีการติดขึ้นบอร์ดด้วย เนื่องจากหมอพวกนี้ดูถูกวิชาชีพแพทย์และเอาอาชีพแพทย์ไปแอบอ้าง หลอกล่อให้คนมาทำธุรกิจด้วย ข้อนี้เราอับอายกันทั้งวงศ์ตระกูลจริงๆ แม้แต่สามีเรายังอายไปด้วยเพราะสามีเราไปเจอเพื่อนที่เป็นหมอแล้วเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ซึ่งเพื่อสามีเราจำได้ว่ามีหมอคนนึง(เอ่ยชื่อน้องเราด้วย) เคยไปงานแต่งสามีเราด้วยนิ รู้จักกันรึป่าว สามีเรารีบตอบ "ไม่รู้จัก" กลัวจะโดนร่างแหไปด้วย
5.เรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องที่มันกำลังทำให้ทั้งครอบครัวเราเดือดร้อน มันจะไปกู้แบงค์โดยจะบอกแบงค์ว่ากู้มาเปิดคลีนิค ทั้งที่มันกู้คนเดียวได้แต่ได้ยอดไม่เยอะ มันเลยไปขอที่ดินที่ปลูกบ้านสวนที่พ่อกับแม่เราอยู่ปัจจุบัน ราวๆ 27ไร่ไปค้ำประกันและยังจะให้เราไปกู้ร่วมด้วย ซึ่งมันจะกู้หลายล้านเพื่อที่จะมาลงทุนทำธุรกิจขายตรงนี้ เราไม่เห็นด้วยแค่มันก็มาทวงบุญคุณเราว่าที่เราซื้อบ้านมันยังมาช่วยกู้ร่วมเลย ซึ่งตอนนี้เราจ่ายค่าบ้านหมดแล้ว เราเลยปฏิเสธไม่ลง ที่บ้านเราปวดหัวมากกับเรื่องนี้ พ่อกับแม่เราก็เชื่อใจมัน เพราะมันบอกว่า หลังจากที่มันลงทุนก้อนนี้ พ่อกับแม่จะเป็นข้าราชการเกษียณอายุที่มีความสุขที่สุดและจะมีเงินใช้อย่างไม่ขาดมือโดยที่ไม่ต้องทำอะไร ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงตัดสินใจ แต่พ่อกับแม่เราเอาที่ให้มันไปค้ำประกันแล้ว ถ้าเราไม่กู้ร่วมกับมัน มันก็คงกู้ได้แต่อาจจะไม่ใช่ก้อนใหญ่เท่ากับกู้ร่วมสองคน เราก็ยังลังเล ทั้งเกรงใจสามี เพราะถ้าน้องชายเราล้ม เราต้องแบกภาระหนี้คนเดียว เราก็ยังไม่ตัดสินใจ รอดูสถานะการณ์ไปก่อน เพราะเราเองก็มีครอบครัวของเราที่จะต้องดูแล
เรื่องที่เราจะแชร์ก็มีเท่านี้แหละค่ะ จริงๆมีอีกหลายเรื่อง นี่เลือกมาแค่ประเด็นหลัก เพื่อนๆในพันทิปเคยเจอแบบเราบ้างมั๊ยคะ
ปล.1 เราเป็นพวกจิตแข็ง ไม่โลภ และชัดเจนว่าแอนตี้ขายตรงมาตลอด น้องชายเราเลยไม่เคยที่จะชวนเราทำ ญาติๆทุกคนโดนหมด ยกเว้นเรา เพราะมันรู้ว่ามันจะเสียน้ำลายเปล่า
ปล.2 พวกธุรกิจขายตรง ชอบบอกว่านี่ไม่ใช่การขาย ชั้นไม่ได้ขาย ชั้นไม่ใช่ธุรกิจขายตรงนะ เราอยากจะด่ากลับสวนไปว่า "ใช่ มันไม่ใช่ธุรกิจขายตรง มันเป็นแชร์ลูกโซ่ต่างหาก"
ธุรกิจขายตรงเคยทำให้ครอบครัวคุณเดือดร้อนบ้างมั๊ยคะ ทั้งที่คุณไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจนี้เลย
ครอบครัวเรามีพี่น้อง2คน มีเรากับน้องชาย พ่อกับแม่เราก็เป็นข้าราชการที่มีฐานะปานกลาง แต่ก็มีหนี้สินตามปกติที่พึงจะมี เราแต่งงานแล้วและมีลูกน้อย1คน น้องชายเราเป็นคนเรียนเก่งมาก ไม่ว่าจะทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ สอบได้ที่ 1 ตลอด ได้ทุนเรียนตลอด น้องเราได้ทุนมาเรียนต่อแพทย์เฉพาะทางที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่มีโรงพยาบาลมีชื่อเสียงมากที่สุดของประเทศ ซึ่งอีกไม่กี่เดือนก็จะเรียนจบไปเป็นอาจารย์หมอแล้วและยังมีทุนไปต่อ sub-specialist ที่อเมริการออยู่ เค้าเป็คความภูมิใจของวงศ์ตระกูลของเรา เราภูมิใจมากเพราะเราได้ส่งเสียเค้าจนจบเป็นนายแพทย์ที่คอยช่วยเหลือผู้ป่วยซึ่งก็เป็นปณิทานของน้องชายเรา แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ในช่วงอีก 1เทอมที่กำลังจะเรียนจบ น้องชายเราไปลาออกจากมหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่และลาออกจากทุนที่ได้รับในตำแหน่งอาจารย์แพทย์ ซึ่งตำแหน่งนี้เพิ่งจะบรรจุได้ไม่ถึงเดือน การลาออกจากการเรียนและลาออกจากงานในครั้งนี้ น้องชายเราไม่ปรึกษาที่บ้านเลย พอพ่อกับแม่และเรารู้พวกเราแทบจะเป็นลม แต่ทำอะไรไม่ได้ แล้วมันก็ไปเป็นหมอแบบพาร์ทไทม์ที่โรงพยาบาลเอกชนมีชื่อแห่งหนึ่งค่ะ
สาเหตุน่ะเหรอคะ เพราะธุรกิจขายตรงค่ะ
มีคนมาชวนน้องชายเราทำ โดยเอารถหรูทั้งพอร์ช ทั้งลัมโบกินี่ ทั้งการไปเที่ยวต่างประเทศฟรี ทั้งรายได้มหาศาลที่เรียกว่า passive income มาหลอกล่อ ซึ่งมันก็ได้ผล ทำให้น้องชายของเราหลงไปกับความโลภ ที่เค้าอยากได้ อยากมี อยากเป็น เป็นที่กลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า "อัพไลน์" มาหลอกล่อ ซึ่งน้องเราถูกเลี้ยงมาอย่างยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม เรา พ่อ แม่ ดูแลน้องชายอย่างดี เราเลี้ยงน้องมาเองตั้งแต่เด็ก เราก็เหมือนแม่คนที่สองเราที่เลี้ยงดูมันมา สิ่งเลวร้ายที่มันได้เราเอาให้พวกเราเสียใจ อับอายแทบจะแทรกแผ่นดินหนีและตอนนี้จะพลอยทำให้เรา พ่อ แม่ ล่มจมไปกับมันด้วย เราขอสรุปเป็น 5 ข้อที่เรารู้สึกว่าเลวร้ายสุดๆ มาแชร์ให้เพื่อนๆฟังค่ะ
1. น้องชายเราชวนพ่อแม่ทำ ซึ่งพ่อกับแม่ก็ทำแบบเสียไม่ได้เพราะอยากสนับสนุนลูกชาย โดยที่มัน(น้องชายเราเอง)บังคับให้พ่อกับแม่ไปหาคนมาฟังตามยอดที่มันต้องการ มันให้พ่อกับแม่ไปบอกคนอื่นไปว่าธุรกิจนี้ดีมาก ขนาดลูกชายที่เป็นหมอยังทำ ซึ่งนี่คือการเอาวิชาชีพมาแอบอ้างชัดๆ อ้อ...ก่อนหน้านี้ก็ไปบอกคนที่มันไปคุย(หลอกล่อ)มาว่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะไม่เรียนหมอให้เสียเวลา จะมาทำธุรกิจขายตรงตั้งแต่เรียนจบมอ 6 เลย มันยังชวนน้องญาติที่กำลังจบเอ็นทรานซ์ว่า ไม่ต้องเรียนต่อหรอก ให้ไปทำขายตรงกับมัน กลับมาเรื่องพ่อกับแม่เรา ท่านต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาทั้งในและนอกระบบมาลงทุนกับลูกชาย เพราะมันบอกให้พ่อกับแม่เชื่อใจมัน เชื่อใจในความเก่งและหัวสมองอันชาญฉลาดของมันว่ามันจะวางแผนธุรกิจนี้ให้ประสบความสำเร็จ
ปัจจุบันนี้ พ่อกับแม่เรามีหน้ีมากกว่าเดิม เงินจะใช้ก็ไม่ค่อยมี น้องชายก็ไม่เคยส่งเสีย พ่อกับแม่คาดหวังจะพึงพามันมาก พ่อกับแม่เสียใจจนชอบเหม่อและร้องไห้บ่อยๆ เรามารู้ทีหลังว่าทุกครั้งที่พ่อกับแม่ไปประชุมธุรกิจนี้ มันไม่เคยดูแลพ่อกับแม่เลย บางทีที่พ่อกับแม่ทำตัวเปิ่นๆตามประสาคนแก่ มันก็จะว่า "ทำตัวดีๆหน่อย อย่าทำให้ผมอาย ผมเป็นหมอนะ" และอีกหลายครั้งที่ไปประชุมต่างจังหวัด มันก็เอาพ่อกับแม่ไปด้วย แต่ขอโทษ มันไม่เคยชวนพ่อกับแม่ไปร่วมโต๊ะอาหารในโรงแรมที่พักด้วยเลย มันก็จะบอก "พ่อกับแม่ไปก่อนเลยนะ เดี๋ยวผมจะไปกับพี่ๆในทีม" ยิ่งถ้าเป็นอาหารมื้อเย็นที่ทางโรงแรมไม่ได้จัดให้ พวกมันก็จะนั่งกินร้านอาหารในโรงแรม ปล่อยให้พ่อกับแม่ไปกินบะหมี่ข้างทาง พอเรารู้เราน้ำตาร่วงเลย สงสารพ่อกับแม่ ทำไมน้องเราเห็นคนอื่นดีกว่าคนในครอบครัว
2. น้าเรา ป้าเรา ญาติๆเรา มาเล่าให้ฟังว่า มีหลายคนมาถามว่าน้องชายเราเป็นหมอจริงรึป่าว ทำไม่มาบังคับขายอาหารเสริมให้คนไข้ (รพ.เอกชน จะมีคนที่มีตังค์มาหาหมอน่ะค่ะ) แถมมันยังชวนคนไข้มาเป็นดาวน์ไลน์ของมันอีกด้วย ที่เรารู้สึกแย่มากที่สุดคือ มันไปชวนลุงคนนึงมาทำ โดยให้ความหวังลุงคนนั้นว่าจะได้เงินเยอะจากธุรกิจนี้ ลุงคนนี้เค้าเคยกินยาฆ่าตัวตายมาแล้วเพราะปัญหาหนี้สิน แล้วมันมาให้ความหวังลุง จนลุงกอดมันแล้วร้องไห้ด้วยความตื้นตันที่มันจะมาช่วยลุงปลดหนี้ ลุงเค้าเลยไปกู้มาทำกับมันน่าจะ 30,000 ซึ่งลุงเค้าคิดว่าลงทุนเท่านี้แล้วจะได้ผลตอบแทนกลับมาปลดหนี้ แต่ก็ไม่เลยค่ะ พอลุงลงทุนไปซักพัก เค้าหาลูกทีมไม่ได้ อาจจะเพราะลุงเค้าไม่มีเครดิตมาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งรายได้ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่น้องชายเราบอก ลุงเลยไปทวงถามมัน มันบอกลุงคนนั้นว่าลุงต้องลงทุนอีก พอลุงลงทุนอีกกลายเป็นหนี้เพิ่มขึ้นแต่ก็ยังไม่ไดผลตอบแทนกลับมาเท่าที่ควรจะเป็น ลุงเลยไปต่อว่าน้องชายที่ไม่มาช่วยดูแลอะไรเลย ดูซิลุงเป็นหนี้มากขึ้น ใครจะรับผิดชอบ เชื่อมั๊ยคะ น้องเราตอบลุงคนนั้นว่า "ช่วยไม่ได้ ลุงไม่เดินตามแผนที่ผมวางไว้เอง ลุงเลยไม่ได้ตามเป้า" เลวดีมั๊ยคะ เชื่อมั๊ยคะ ลุงคนนั้นเค้ามาตะโกนด่าพ่อกับแม่เราที่หน้าบ้านว่า "เลี้ยงลูกยังไงให้เป็นคนเก่งอย่างเดียว ไม่มีน้ำใจหรือเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเลย มีแต่จะเอาผลประโยชน์อย่างเดียว" พ่อกับแม่เราอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีเลยค่ะ
3. มาที่เรื่อง fb ก่อนหน้าที่มันจะมาทำธุรกิจขายตรง เพื่อนๆมันมากดไลค์แต่ละโพสกันหลักร้อยเลย ซึ่งมันเป็นคนมีศิลปะในการโพสจริงๆเรายอมรับ แต่หลังจากที่มันมาทำธุรกิจนี้ มันโพสแปลกๆ โพสรูปรถหรูเอย บอกอีก1ปีเจอกัน หรือเอาข้อความของคนอื่นที่เป็นการสอนให้รวยหรือโพสแต่เรื่องความสำเร็จ โพสแต่เรื่องเงิน โพสดูถูกอาชีพอื่นรวมทั้งดูถูกอาชีพหมอของตัวเองด้วย แต่ที่ทำให้เราอับอายคือเรามีเพื่อนรุ่นน้องใน fb ของเราเป็นหมอเป็นเภสัชหลายคน ซึ่งมันเองก็ไม่ได้รู้จักเค้าเลย มันไปขอแอ๊ดเป็นเพื่อนกับเพื่อนๆกลุ่มนี้ของเรา แล้วก็ไปคุยๆบอกว่ามีเรื่องดีๆมาแบ่งปัน มีขอเบอร์คุยด้วย ซึ่งเพื่อนเรากลุ่มนี้นึกว่าน้องเราจะจีบและคิดว่าเป็นหมอเหมือนกันและเป็นน้องชายเราด้วย เพื่อนเราเลยไว้ใจให้เบอร์ไปและมีนัดเจอกันที่ร้านการแฟชื่อดังระดับโลก สุดท้ายคือจะชวนเพื่อนเราทำธุรกิจขายตรง เพื่อนเราก็โทรมาต่อว่าเราใหญ่เลยและขอบล็อค fb น้องชายเรา อันนี้เราอับอายมาก คือเพื่อนๆเราก็คิดว่าเราทำธุรกิจนี้ด้วย พลอยทำให้เพื่อนๆไม่ค่อยรับสายเราเลย โดยเฉพาะเวลาเราชวนไปข้างนอก จะถูกปฏิเสธซะส่วนใหญ่
4. เรื่องนี้อับอายทั้งวงศ์ตระกูลค่ะ เพื่อนเราที่เป็นอาจารย์หมอในมหาวิทยาลัยที่น้องเราจบมาเล่าให้ฟังว่า คณะบดีคณะแพทย์ศาสตร์นัดประชุมด่วนเรื่องมีหมอกลุ่มนึงเข้ามาชักชวนน้องๆที่กำลังเรียนเฉพาะทางไปทำธุรกิจขายตรง ซึ่งมีหมอที่ลาออกระหว่างเรียนเฉพาะทางไป2คน เลยทำให้มีประเด็นขึ้นมา ทางคณะบดีฯแจ้งรายชื่อหมอที่เป็นหัวโจกในการก่อความรำคาญ รบกวนเวลาทำงาน เพราะมักจะเข้ามาชักชวนให้บุคลากรในโรงพยาบาลไปทำแบบพวกเค้า ซึ่งตัวการในการชักชวนบุคลากรในโรงพยาบาลให้มาทำธุรกิจขายตรงมี 5คน ชื่งมีการติดขึ้นบอร์ดด้วย เนื่องจากหมอพวกนี้ดูถูกวิชาชีพแพทย์และเอาอาชีพแพทย์ไปแอบอ้าง หลอกล่อให้คนมาทำธุรกิจด้วย ข้อนี้เราอับอายกันทั้งวงศ์ตระกูลจริงๆ แม้แต่สามีเรายังอายไปด้วยเพราะสามีเราไปเจอเพื่อนที่เป็นหมอแล้วเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ซึ่งเพื่อสามีเราจำได้ว่ามีหมอคนนึง(เอ่ยชื่อน้องเราด้วย) เคยไปงานแต่งสามีเราด้วยนิ รู้จักกันรึป่าว สามีเรารีบตอบ "ไม่รู้จัก" กลัวจะโดนร่างแหไปด้วย
5.เรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องที่มันกำลังทำให้ทั้งครอบครัวเราเดือดร้อน มันจะไปกู้แบงค์โดยจะบอกแบงค์ว่ากู้มาเปิดคลีนิค ทั้งที่มันกู้คนเดียวได้แต่ได้ยอดไม่เยอะ มันเลยไปขอที่ดินที่ปลูกบ้านสวนที่พ่อกับแม่เราอยู่ปัจจุบัน ราวๆ 27ไร่ไปค้ำประกันและยังจะให้เราไปกู้ร่วมด้วย ซึ่งมันจะกู้หลายล้านเพื่อที่จะมาลงทุนทำธุรกิจขายตรงนี้ เราไม่เห็นด้วยแค่มันก็มาทวงบุญคุณเราว่าที่เราซื้อบ้านมันยังมาช่วยกู้ร่วมเลย ซึ่งตอนนี้เราจ่ายค่าบ้านหมดแล้ว เราเลยปฏิเสธไม่ลง ที่บ้านเราปวดหัวมากกับเรื่องนี้ พ่อกับแม่เราก็เชื่อใจมัน เพราะมันบอกว่า หลังจากที่มันลงทุนก้อนนี้ พ่อกับแม่จะเป็นข้าราชการเกษียณอายุที่มีความสุขที่สุดและจะมีเงินใช้อย่างไม่ขาดมือโดยที่ไม่ต้องทำอะไร ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงตัดสินใจ แต่พ่อกับแม่เราเอาที่ให้มันไปค้ำประกันแล้ว ถ้าเราไม่กู้ร่วมกับมัน มันก็คงกู้ได้แต่อาจจะไม่ใช่ก้อนใหญ่เท่ากับกู้ร่วมสองคน เราก็ยังลังเล ทั้งเกรงใจสามี เพราะถ้าน้องชายเราล้ม เราต้องแบกภาระหนี้คนเดียว เราก็ยังไม่ตัดสินใจ รอดูสถานะการณ์ไปก่อน เพราะเราเองก็มีครอบครัวของเราที่จะต้องดูแล
เรื่องที่เราจะแชร์ก็มีเท่านี้แหละค่ะ จริงๆมีอีกหลายเรื่อง นี่เลือกมาแค่ประเด็นหลัก เพื่อนๆในพันทิปเคยเจอแบบเราบ้างมั๊ยคะ
ปล.1 เราเป็นพวกจิตแข็ง ไม่โลภ และชัดเจนว่าแอนตี้ขายตรงมาตลอด น้องชายเราเลยไม่เคยที่จะชวนเราทำ ญาติๆทุกคนโดนหมด ยกเว้นเรา เพราะมันรู้ว่ามันจะเสียน้ำลายเปล่า
ปล.2 พวกธุรกิจขายตรง ชอบบอกว่านี่ไม่ใช่การขาย ชั้นไม่ได้ขาย ชั้นไม่ใช่ธุรกิจขายตรงนะ เราอยากจะด่ากลับสวนไปว่า "ใช่ มันไม่ใช่ธุรกิจขายตรง มันเป็นแชร์ลูกโซ่ต่างหาก"